หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1106

ตอนที่ 1106

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1106 ทำเนียบจอมยุทธ์
ข่าวการประลองที่เมืองซียังคงกระจายไปทั่วต่อให้ผ่านมาหลายวัน

ทำให้จอมยุทธ์ส่วนมากในดินแดนสุดขอบตะวันตกรู้ข่าวว่ามีจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนืออยู่ในเมืองซี

ชื่อของมู่เฉินก็เป็นที่รู้จักของขั้วอำนาจอื่นๆ ไปแล้ว

มู่เฉินไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตนเองที่ขจรขจายไปไกล หลังจากเอาชนะเซี่ยหงแล้วเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะออกจากเมือง ถึงยังไงที่นี่ก็คือสถานที่รวบรวมข้อมูลและเนื่องจากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงจึงไม่มีใครกล้าก่อปัญหาใดๆ กับเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้

ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในเมืองไปอีกหลายวัน แต่ในหลายวันนี้พวกเขากลับไม่ได้ทำตัวเด่นเพียงเพราะเอาชนะเซี่ยหง

ภายใต้การไม่ทำตัวเด่นของกลุ่มมู่เฉินก็ทำให้ทุกคนที่ให้ความสนใจค่อยๆ เปลี่ยนไปที่อื่น เพราะยังไงตอนนี้ก็จอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี จึงมีเรื่องต่างๆ นานาเกิดขึ้นตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะจับตามองไปที่คนคนเดียว

เพราะท้ายที่สุดคนที่มู่เฉินเอาชนะคือเซี่ยหงไม่ใช่องค์ชายใหญ่—เซี่ยหยู่…

ในสวนเงียบสงบ

ครืน!

ทันใดแสงหลิงขนาดมหึมาก็ระเบิดขึ้นในอากาศ ลวดลายสลับซับซ้อนหลอมรวมกันในชั้นบรรยากาศเชื่อมโยงกันและกันก่อตัวเป็นค่ายกลแสงตระการตา เอิบอาบด้วยความผันผวนที่โบราณและลึกซึ้ง

มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ดวงตาหรี่ลงจ้องมองไปที่ลวดลายแสงซับซ้อนนับไม่ถ้วน อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกมาจากมือ

เมื่อแสงสีขาวยิงออกมาก็มีเสียงคำรามเปล่งออกมาด้วย มองให้ละเอียดก็จะพบว่าในแสงสีขาวเป็นโครงกระดูกหยก ซึ่งมีพลังอำนาจมังกรเบาบางแผ่ซ่านออกมา

โครงกระดูกเหล่านั้นก็คือกระดูกมังกร

เมื่อกระดูกมังกรรวมเข้ากับค่ายกล ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังงานหลิงน่ากลัวควบแน่นกันรุนแรงบรรจบบนกระดูกมังกร

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

คลื่นหลิงในค่ายกลทวีความรุนแรงมากขึ้น รอยแตกปรากฏที่กระดูกมังกรเหล่านั้นก่อนที่จะระเบิดออก

ตู้ม!

พลังงานหลิงป่าเถื่อนระเบิดขึ้นทำลายค่ายกลทั้งหมดทันที

มู่เฉินถอนหายใจด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นภาพนี้จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเป็นม่านพลังปิดกั้นคลื่นกระแทกอย่างสมบูรณ์

“ค่ายกลระดับจงซือ ต่อให้ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง นอกจากนี้ยังซับซ้อนจนเหลือเชื่อ ความผิดพลาดเศษเสี้ยวเดียวก็ยากจะรักษารูปแบบไว้”

สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงมาก เขาพยายามสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

มู่เฉินส่ายหัว แต่ไม่ได้รู้สึกท้อแท้เพียงเพราะเหตุนี้ นั่นเพราะเขารู้สึกได้ว่าพร้อมกับความล้มเหลวทุกครั้งจะทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน ตราบใดที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือนี้ได้สำเร็จ

ทว่านี่ยังต้องใช้เวลา

“ล้มเหลวอีกแล้วเหรอ?” จิ่วโยวที่กำลังฝึกฝนอยู่เบื้องหลังปรือตาขึ้นมองไปที่มู่เฉิน

“นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือถึงจะยังไม่สมบูรณ์ก็ยากที่จะเข้าใจ อันที่จริงก็น่านับถือมากแล้วที่สามารถสร้างรูปแบบคร่าวๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น” ในเก๋งหินหลินจิ้งพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่สลายไปพร้อมกับความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา ขณะที่นางเอนตัวด้วยท่าทางเกียจคร้านในผ้าห่มขนนุ่มมีหนังสือโบราณอยู่ในมือ พิจารณาจากหน้าปกหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน แต่เป็นบันทึกผลไม้แปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ นางพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยความสนใจและกระหายอยาก

แม้ว่านางจะไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ แต่ก็เคยเห็นค่ายกลระดับจงซือมาแล้ว ดังนั้นสายตาจึงไม่ธรรมดา

ดังนั้นนางจึงรู้ชัดว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับมู่เฉินที่สามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือที่ไม่สมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงสิบวัน

มู่เฉินยิ้มจากการประเมินของหลินจิง แต่ไม่รู้สึกภาคภูมิใจอะไร

“คนที่ให้ความสนใจเราน่าจะน้อยลงแล้วมั้ง?” มู่เฉินเดินเข้าไปในเก๋งหินถามถานชิวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ

ถานชิวพยักหน้าพลางยิ้ม “แม้ว่าจะมีบางคนที่ดื้อรั้น แต่ก็ไม่กล้าดูเราแบบหน้าด้านอีกแล้ว”

มู่เฉินพยักหน้า ดูเหมือนว่าการขู่จากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงค่อนข้างได้ผล มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกขั้วอำนาจอื่นๆ รบกวนตลอดก็ได้

“นอกจากนี้เราได้รับข่าวจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ว่ากองทัพพันธมิตรจะมาถึงที่นี่ในอีกห้าวัน” ถานชิวรายงาน

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้จอมยุทธ์หัวกะทิจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี แต่ละคนล้วนมีขั้วอำนาจเป็นภูมิหลัง ถ้ามั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง มู่เฉินก็ต้องอยู่แบบเงียบๆ ต่อ กลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีใครในระดับเดียวหนุนหลัง งานนี้คงถึงวาระแน่

“นอกจากนี้ก่อนหน้าที่นายท่านมู่สั่งให้เรารวบรวมข้อมูล เราทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ถานชิวหยิบม้วนหนังส่งให้มู่เฉินด้วยความเคารพ

“ไม่เลว” มู่เฉินยิ้มบางชมเชยก่อนจะรับม้วนหนังไป เขาสั่งให้พวกถานชิวรวบรวมข้อมูลสำคัญในช่วงสองวันที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธ์รุ่นใหม่

ออกจากภาคเหนือเข้าสู่ทวีปเทียนหลัว เขาก็ตระหนักถึงน้ำหนักการจัดอันดับ ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนหัวกะทิรุ่นใหม่ ทุกคนได้รับการยกย่องในความสำเร็จที่ไม่อาจประมาทได้

แสงแวววาวแล่นพล่านเมื่อเขาเปิดม้วนหนังซึ่งบนยอดเขียนไว้ว่า ‘ทำเนียบจอมยุทธ์’ จากนั้นคำอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้น

“อันดับยี่สิบ มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนือ มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา เอาชนะเซี่ยหงองค์ชายสี่แคว้นเซี่ยที่เมืองซีทำให้ชื่อเสียงขจรขยาย

มู่เฉินอึ้งไปกับข้อความแรก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าชื่อตัวเองจะไปปรากฏในอันดับยี่สิบ เมื่อพิจารณาจากวิธีนี้ การจัดอันดับน่าจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง

มู่เฉินจำได้ว่าอันดับของเซี่ยหงอยู่ที่ยี่สิบ ดังนั้นการที่มู่เฉินเอาชนะได้ จึงเข้าแทนที่เซี่ยหงทันที

มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้ใส่ใจอันดับตัวเองมากนัก เขาอ่านข้อมูลต่อไป

“อันดับสิบเก้า ลู่ซันศิษย์เอกจากสำนักกำราบภูผา ขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ฝึกฝนร่างกำราบภูผา มีพลังมหาศาลสามารถถอนภูเขาได้”

“…”

“อันดับสิบหก หวังทงเสียน…”

“อันดับสิบสาม…”

ข้อความยังคงปรากฏขึ้นและทุกคำต่างเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัว พลังและความสำเร็จสร้างความประหลาดใจให้มู่เฉิน ในแง่ของคุณภาพสูงกว่าจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรที่เคยพบในดินแดนเสินโซ่เสียอีก!

เมื่อข้อความยังปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เพราะตอนนี้ชื่ออันดับห้าเผยออกมาแล้ว…

“อันดับห้า ฉินจิงเจ๋อประมุขน้อยแห่งสำนักกระบี่บัวเขียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ยอดเยี่ยมของสำนักชื่อว่าร่างกระบี่บัวเขียว อันดับสี่สิบเก้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง เคยเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดสามคนและไม่พ่ายแพ้”

“สู้แบบสามต่อหนึ่งและไม่แพ้ น่าเกรงขามนัก”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าฉินจิงเจ๋อได้รับชัยชนะ แต่การยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่พ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์ได้ว่าทรงพลังเพียงใด สมควรได้รับลำดับห้าจริงๆ

ขณะที่ถอนหายใจ มู่เฉินก็มองต่อไปที่ข้อความ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

“อันดับสี่ เซี่ยหยู่องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์อันดับสี่สิบห้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างชื่อว่าร่างราชันฟากฟ้า ว่ากันว่าสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้”

“ร่างราชันฟากฟ้า…”

มู่เฉินหดตาลง ร่างราชันฟากฟ้าทรงพลังมากกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงได้รับการฝึกฝน สมกับเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าความสำเร็จจะไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่คำพูดที่บอกว่าเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากันในอนาคต

“อันดับสาม จาโหลหลัวจอมยุทธ์ฟ้าประทานจากตำหนักเทพปีศาจ ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้จัดอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแต่ก็ทรงพลังมาก ครั้งสุดท้ายที่ลงมือคือหนึ่งปีก่อน ซึ่งได้ไล่ล่าผู้อาวุโสขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและสังหารผู้ทรยศ”

“ตอนนี้เหมือนจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว การประเมินผลไม่อาจหยั่งรู้ได้”

มู่เฉินมองข้อความเหล่านั้นโดยไม่ได้เลื่อนสายตา จาโหลหลัวร้ายกาจแท้จริง เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ถ้าตอนนี้เข้าสู่ระยะเต็มแล้ว เขาก็คงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิดภายใต้ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น

นี่เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ

ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้กลัว ที่จริงดวงตาเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู่อีกต่างหาก เส้นทางของยอดยุทธ์จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่กลัวคู่ต่อสู้ใดๆ

“คราวนี้เจ้าคือคู่ต่อสู้ของข้า!”

มู่เฉินแตะข้อความเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาสาดประกายคมกล้า

หลังจากอึดใจสั้น ๆ เขาก็ระงับไฟการต่อสู้ลงก่อนที่จะมองไปที่ข้อมูลจอมยุทธ์อีกสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็นในใจ เขาอยากรู้มากว่าอัจฉริยะประเภทไหนที่ได้รับการจัดอันดับสูงกว่าคนอย่างจาโหลหลัวอีก?

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท