หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1106 ทำเนียบจอมยุทธ์
ข่าวการประลองที่เมืองซียังคงกระจายไปทั่วต่อให้ผ่านมาหลายวัน
ทำให้จอมยุทธ์ส่วนมากในดินแดนสุดขอบตะวันตกรู้ข่าวว่ามีจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนืออยู่ในเมืองซี
ชื่อของมู่เฉินก็เป็นที่รู้จักของขั้วอำนาจอื่นๆ ไปแล้ว
มู่เฉินไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตนเองที่ขจรขจายไปไกล หลังจากเอาชนะเซี่ยหงแล้วเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะออกจากเมือง ถึงยังไงที่นี่ก็คือสถานที่รวบรวมข้อมูลและเนื่องจากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงจึงไม่มีใครกล้าก่อปัญหาใดๆ กับเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในเมืองไปอีกหลายวัน แต่ในหลายวันนี้พวกเขากลับไม่ได้ทำตัวเด่นเพียงเพราะเอาชนะเซี่ยหง
ภายใต้การไม่ทำตัวเด่นของกลุ่มมู่เฉินก็ทำให้ทุกคนที่ให้ความสนใจค่อยๆ เปลี่ยนไปที่อื่น เพราะยังไงตอนนี้ก็จอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี จึงมีเรื่องต่างๆ นานาเกิดขึ้นตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะจับตามองไปที่คนคนเดียว
เพราะท้ายที่สุดคนที่มู่เฉินเอาชนะคือเซี่ยหงไม่ใช่องค์ชายใหญ่—เซี่ยหยู่…
ในสวนเงียบสงบ
ครืน!
ทันใดแสงหลิงขนาดมหึมาก็ระเบิดขึ้นในอากาศ ลวดลายสลับซับซ้อนหลอมรวมกันในชั้นบรรยากาศเชื่อมโยงกันและกันก่อตัวเป็นค่ายกลแสงตระการตา เอิบอาบด้วยความผันผวนที่โบราณและลึกซึ้ง
มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ดวงตาหรี่ลงจ้องมองไปที่ลวดลายแสงซับซ้อนนับไม่ถ้วน อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกมาจากมือ
เมื่อแสงสีขาวยิงออกมาก็มีเสียงคำรามเปล่งออกมาด้วย มองให้ละเอียดก็จะพบว่าในแสงสีขาวเป็นโครงกระดูกหยก ซึ่งมีพลังอำนาจมังกรเบาบางแผ่ซ่านออกมา
โครงกระดูกเหล่านั้นก็คือกระดูกมังกร
เมื่อกระดูกมังกรรวมเข้ากับค่ายกล ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังงานหลิงน่ากลัวควบแน่นกันรุนแรงบรรจบบนกระดูกมังกร
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
คลื่นหลิงในค่ายกลทวีความรุนแรงมากขึ้น รอยแตกปรากฏที่กระดูกมังกรเหล่านั้นก่อนที่จะระเบิดออก
ตู้ม!
พลังงานหลิงป่าเถื่อนระเบิดขึ้นทำลายค่ายกลทั้งหมดทันที
มู่เฉินถอนหายใจด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นภาพนี้จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเป็นม่านพลังปิดกั้นคลื่นกระแทกอย่างสมบูรณ์
“ค่ายกลระดับจงซือ ต่อให้ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง นอกจากนี้ยังซับซ้อนจนเหลือเชื่อ ความผิดพลาดเศษเสี้ยวเดียวก็ยากจะรักษารูปแบบไว้”
สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงมาก เขาพยายามสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง
มู่เฉินส่ายหัว แต่ไม่ได้รู้สึกท้อแท้เพียงเพราะเหตุนี้ นั่นเพราะเขารู้สึกได้ว่าพร้อมกับความล้มเหลวทุกครั้งจะทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน ตราบใดที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือนี้ได้สำเร็จ
ทว่านี่ยังต้องใช้เวลา
“ล้มเหลวอีกแล้วเหรอ?” จิ่วโยวที่กำลังฝึกฝนอยู่เบื้องหลังปรือตาขึ้นมองไปที่มู่เฉิน
“นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือถึงจะยังไม่สมบูรณ์ก็ยากที่จะเข้าใจ อันที่จริงก็น่านับถือมากแล้วที่สามารถสร้างรูปแบบคร่าวๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น” ในเก๋งหินหลินจิ้งพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่สลายไปพร้อมกับความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา ขณะที่นางเอนตัวด้วยท่าทางเกียจคร้านในผ้าห่มขนนุ่มมีหนังสือโบราณอยู่ในมือ พิจารณาจากหน้าปกหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน แต่เป็นบันทึกผลไม้แปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ นางพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยความสนใจและกระหายอยาก
แม้ว่านางจะไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ แต่ก็เคยเห็นค่ายกลระดับจงซือมาแล้ว ดังนั้นสายตาจึงไม่ธรรมดา
ดังนั้นนางจึงรู้ชัดว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับมู่เฉินที่สามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือที่ไม่สมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงสิบวัน
มู่เฉินยิ้มจากการประเมินของหลินจิง แต่ไม่รู้สึกภาคภูมิใจอะไร
“คนที่ให้ความสนใจเราน่าจะน้อยลงแล้วมั้ง?” มู่เฉินเดินเข้าไปในเก๋งหินถามถานชิวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ
ถานชิวพยักหน้าพลางยิ้ม “แม้ว่าจะมีบางคนที่ดื้อรั้น แต่ก็ไม่กล้าดูเราแบบหน้าด้านอีกแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า ดูเหมือนว่าการขู่จากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงค่อนข้างได้ผล มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกขั้วอำนาจอื่นๆ รบกวนตลอดก็ได้
“นอกจากนี้เราได้รับข่าวจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ว่ากองทัพพันธมิตรจะมาถึงที่นี่ในอีกห้าวัน” ถานชิวรายงาน
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้จอมยุทธ์หัวกะทิจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี แต่ละคนล้วนมีขั้วอำนาจเป็นภูมิหลัง ถ้ามั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง มู่เฉินก็ต้องอยู่แบบเงียบๆ ต่อ กลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีใครในระดับเดียวหนุนหลัง งานนี้คงถึงวาระแน่
“นอกจากนี้ก่อนหน้าที่นายท่านมู่สั่งให้เรารวบรวมข้อมูล เราทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ถานชิวหยิบม้วนหนังส่งให้มู่เฉินด้วยความเคารพ
“ไม่เลว” มู่เฉินยิ้มบางชมเชยก่อนจะรับม้วนหนังไป เขาสั่งให้พวกถานชิวรวบรวมข้อมูลสำคัญในช่วงสองวันที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธ์รุ่นใหม่
ออกจากภาคเหนือเข้าสู่ทวีปเทียนหลัว เขาก็ตระหนักถึงน้ำหนักการจัดอันดับ ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนหัวกะทิรุ่นใหม่ ทุกคนได้รับการยกย่องในความสำเร็จที่ไม่อาจประมาทได้
แสงแวววาวแล่นพล่านเมื่อเขาเปิดม้วนหนังซึ่งบนยอดเขียนไว้ว่า ‘ทำเนียบจอมยุทธ์’ จากนั้นคำอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้น
“อันดับยี่สิบ มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนือ มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา เอาชนะเซี่ยหงองค์ชายสี่แคว้นเซี่ยที่เมืองซีทำให้ชื่อเสียงขจรขยาย
มู่เฉินอึ้งไปกับข้อความแรก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าชื่อตัวเองจะไปปรากฏในอันดับยี่สิบ เมื่อพิจารณาจากวิธีนี้ การจัดอันดับน่าจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง
มู่เฉินจำได้ว่าอันดับของเซี่ยหงอยู่ที่ยี่สิบ ดังนั้นการที่มู่เฉินเอาชนะได้ จึงเข้าแทนที่เซี่ยหงทันที
มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้ใส่ใจอันดับตัวเองมากนัก เขาอ่านข้อมูลต่อไป
“อันดับสิบเก้า ลู่ซันศิษย์เอกจากสำนักกำราบภูผา ขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ฝึกฝนร่างกำราบภูผา มีพลังมหาศาลสามารถถอนภูเขาได้”
“…”
“อันดับสิบหก หวังทงเสียน…”
“อันดับสิบสาม…”
ข้อความยังคงปรากฏขึ้นและทุกคำต่างเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัว พลังและความสำเร็จสร้างความประหลาดใจให้มู่เฉิน ในแง่ของคุณภาพสูงกว่าจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรที่เคยพบในดินแดนเสินโซ่เสียอีก!
เมื่อข้อความยังปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เพราะตอนนี้ชื่ออันดับห้าเผยออกมาแล้ว…
“อันดับห้า ฉินจิงเจ๋อประมุขน้อยแห่งสำนักกระบี่บัวเขียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ยอดเยี่ยมของสำนักชื่อว่าร่างกระบี่บัวเขียว อันดับสี่สิบเก้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง เคยเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดสามคนและไม่พ่ายแพ้”
“สู้แบบสามต่อหนึ่งและไม่แพ้ น่าเกรงขามนัก”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าฉินจิงเจ๋อได้รับชัยชนะ แต่การยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่พ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์ได้ว่าทรงพลังเพียงใด สมควรได้รับลำดับห้าจริงๆ
ขณะที่ถอนหายใจ มู่เฉินก็มองต่อไปที่ข้อความ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
“อันดับสี่ เซี่ยหยู่องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์อันดับสี่สิบห้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างชื่อว่าร่างราชันฟากฟ้า ว่ากันว่าสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้”
“ร่างราชันฟากฟ้า…”
มู่เฉินหดตาลง ร่างราชันฟากฟ้าทรงพลังมากกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงได้รับการฝึกฝน สมกับเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าความสำเร็จจะไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่คำพูดที่บอกว่าเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากันในอนาคต
“อันดับสาม จาโหลหลัวจอมยุทธ์ฟ้าประทานจากตำหนักเทพปีศาจ ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้จัดอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแต่ก็ทรงพลังมาก ครั้งสุดท้ายที่ลงมือคือหนึ่งปีก่อน ซึ่งได้ไล่ล่าผู้อาวุโสขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและสังหารผู้ทรยศ”
“ตอนนี้เหมือนจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว การประเมินผลไม่อาจหยั่งรู้ได้”
มู่เฉินมองข้อความเหล่านั้นโดยไม่ได้เลื่อนสายตา จาโหลหลัวร้ายกาจแท้จริง เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ถ้าตอนนี้เข้าสู่ระยะเต็มแล้ว เขาก็คงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิดภายใต้ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น
นี่เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ
ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้กลัว ที่จริงดวงตาเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู่อีกต่างหาก เส้นทางของยอดยุทธ์จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่กลัวคู่ต่อสู้ใดๆ
“คราวนี้เจ้าคือคู่ต่อสู้ของข้า!”
มู่เฉินแตะข้อความเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาสาดประกายคมกล้า
หลังจากอึดใจสั้น ๆ เขาก็ระงับไฟการต่อสู้ลงก่อนที่จะมองไปที่ข้อมูลจอมยุทธ์อีกสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็นในใจ เขาอยากรู้มากว่าอัจฉริยะประเภทไหนที่ได้รับการจัดอันดับสูงกว่าคนอย่างจาโหลหลัวอีก?