หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1110

ตอนที่ 1110

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1110 เข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
เวลาผ่านไปดินแดนสุดขอบตะวันตกก็คึกคักมากขึ้น

แม้แต่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ เข้าใกล้ แต่เมื่อรู้สึกถึงการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่พวกเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงไป ท้ายที่สุดไม่มีใครอยากสร้างปัญหาในตอนนี้เพื่อที่จะไม่รุกรานศัตรูที่ทำให้ลำบากใจ

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ห้าวันผ่านไปอย่างเงียบๆ

เมื่อวันที่ห้ามาถึงมู่เฉินที่กำลังฝึกฝนอยู่บนยอดเขาก็สัมผัสถึงบางอย่างจนลืมตาขึ้น เขายืนขึ้นมองไปในระยะไกล

มิติยังคงอยู่ในสภาพรุนแรง แต่ก็เริ่มสงบลงและส่วนแตกร้าวก็แสดงสัญญาณของการฟื้นฟู

มองจากระยะไกลดูเหมือนว่ามีมือขนาดใหญ่กำลังต่อพื้นที่เข้าด้วยกัน

“ฟ้าดินฟื้นฟูด้วยตัวเอง” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้องที่เบื้องหลัง นางยืนอยู่บนก้อนหินสีฟ้าอมเขียว สายลมที่พัดมาทำให้ชุดพลิ้วไหว ร่างเล็กดูราวกับกำลังจะถูกลมหอบออกไป

แต่มีเพียงคนที่รู้จักนางเท่านั้นที่รู้ว่ามีพลังงานที่น่ากลัวอยู่ในร่างเล็กจิ๋วนั่น

มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นสายตาก็หดลงขณะมองไปรอบๆ เวลานี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ จากใจกลางของดินแดนตะวันตกสุดขอบ

พวกเขาน่าจะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ที่เฝ้าดูและรอโอกาสที่ดีที่สุด

ซึ่งโอกาสนั้นจะเกิดในวันนี้

ทุกคนจากภูมิภาคทางเหนือก็สามารถสัมผัสได้ถึงมิติที่สงบลง ทันใดนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า

“ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะดำเนินการ” เสียงดังก้องจากด้านหลัง มู่เฉินเหลือบไปมองก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนที่พูด เขาก็คือประมุขตำหนักสุดนภา…หลิ่วเทียนเต้า

ตอนนั้นมีความเป็นศัตรูกันระหว่างเขากับตำหนักสุดนภา เพราะทั้งหลิ่วหมิงและหลิ่วเหยียนต่างพ่ายแพ้ในมือเขา

แต่พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตำหนักสุดนภาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งยโสอย่างที่เป็นมา

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการรวมตัวกันของจอมยุทธ์ทั่วทวีปเทียนหลัว ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของพวกเขาธรรมดามาก จึงต้องพึ่งพาพลังของมั่นถัวหลัว มิฉะนั้นจุดยืนของพวกเขาจะถูกยึดครองโดยผู้อื่นทันที

ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไปที่หลิ่วเทียนเต้า อีกฝ่ายก็สีมผัสได้ การแสดงออกของเขาดูกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขากระตุกก่อนที่จะเลื่อนสายตาออกไป

“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ถึงสถานการณ์ของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเราจะผนึกกำลังเพื่อสร้างอุโมงค์มิติเพื่อส่งผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไป” มั่นถัวหลัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ทว่าอุโมงค์มิติเช่นนี้ไม่สามารถให้คนผ่านไปได้มาก ดังนั้นจึงมีจำนวนจำกัด อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการสามที่”

พันธมิตรในปัจจุบันก่อตั้งขึ้นด้วยห้าขั้วอำนาจเกรียงไกรของภูมิภาคทางเหนือ จากการคาดการณ์น่าจะส่งคนเข้าไปได้เพียงสิบคนเท่านั้น ซึ่งสามที่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เอาไปก็ชัดว่าไม่น้อยแล้ว

แต่พวกเขาก็ไม่มีความคิดคัดค้าน เนื่องจากพลังของมั่นถัวหลัวมีคุณสมบัติที่จะได้หลายที่

“มู่เฉิน จิ่วโยวและแม่นางหลินจิ้ง ข้ามอบสามที่ของสำนักให้พวกเจ้า” มั่นถัวหลัวหันไปมองทั้งสามคน

หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นตะลึงไป เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซุ่ยนอนน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากมั่นถัวหลัว ไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่เลือกเขา

เป็นเรื่องปกติสำหรับมู่เฉินและจิ่วโยว แต่หญิงสาวที่ชื่อหลินจิ้งเป็นใคร?

“ข้าด้วยเหรอ? ขอบคุณมากท่านประมุข!” หลินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉินก็อึ้งไป จากนั้นก็หายจากตกใจพร้อมกับดวงตาเป็นประกายยิ้มแย้มแจ่มใส

“ข้าเชื่อว่าแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเรา เจ้าก็สามารถเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลได้เอง ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมข้าไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้าซะเองล่ะ?” มั่นถัวหลัวยิ้มทันทีที่พูด

แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่ใช่จอมยุท์ขมพลังตี้จื้อจุน แต่สัญชาตญาณบอกมั่นถัวหลัวว่ามิติรุนแรงนอกวังสวรรค์บรรพกาลหยุดยั้งแม่นางน้อยคนนี้ไม่ได้

หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ กะพริบตาวิบวับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของมั่นถัวหลัว

ขณะที่หลินจิ้งและมั่นถัวหลัวสนทนากัน ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็เลือกจอมยุทธ์เรียบร้อย ซึ่งล้วนเป็นผู้อาวุโสในสำนักที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า

คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้อาวุโสจากตำหนักสุดนภาที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่จะเข้าไป

“ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดเรอะ?” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าตำหนักสุดนภาจะได้จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจ่ายราคาไปมากเลยทีเดียว

“เขาคือเฉวียนหมิงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งเป็นหมาป่าเดียวดายที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างยิ่ง แต่ครั้งนี้ตำหนักสุดนภาจ่ายราคาสูงลิ่วจนเขายอมเข้าร่วมด้วย” จิ่วโยวพูดเบาๆ ที่ด้านข้างมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้า

มั่นถัวหลัวมองไปยังทุกคน “ในการเดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลทุกคนถือว่าเป็นสหายกัน ดังนั้นหากใครมีปัญหา ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยกัน ในสถานที่นี้ถ้าใจไม่คิดช่วยกัน คงยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้”

มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้ารับทราบคำพูดของนาง

เฉวียนหมิงยกเปลือกตาขึ้นขณะที่กวาดสายตามองไปที่พวกมู่เฉิน “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์โปรดวางใจชายชราคนนี้ ข้าจะดูแลเด็กๆ เอง”

แม้จะมีเสียงแหบแห้ง แต่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองซึ่งทำให้คนที่ถูกเลือกคนอื่นๆ เบ้ปาก ตาแก่นี่พยายามมากเกินไปที่จะแสดงตัว

มู่เฉินและจิ่วโยวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่ได้ว่าอะไร แม้ว่าชายชราจะดูหยิ่งยโส แต่ก็พูดด้วยเจตนาดีดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเคืองใจ

เมื่อเห็นดังนี้ มั่นถัวหลัวก็แค่ยิ้ม จากนั้นพยักหน้าเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ก็ไปกันได้เลย”

“ไป!”

เมื่อพูดจบร่างนางก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป

ผู้นำคนอื่นๆ ตามไปอย่างใกล้ชิดโดยมีคนที่ถูกเลือกตามหลังมา

ขณะที่พวกมู่เฉินเคลื่อนพล คลื่นหลิงมหาศาลและทรงพลังอื่นๆ ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน

เห็นได้ชัดว่าผู้นำสำนักอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน

ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขาเดินตามมั่นถัวหลัวลึกเข้าไปในดินแดนสุดขอบตะวันตก พวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามิติแตกร้าวน่ากลัวเพียงใด คลื่นพลังงานรุนแรงพัดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคลื่นหลิงกำลังจะถูกฉีกออกจากร่างกาย

“ช่างเป็นแรงฉีกมิติที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้…” สีหน้าของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด นี่เป็นเพียงระลอกคลื่นถ้าพวกเขาอยู่ภายใน ร่างกายและคลื่นพลังงานของพวกเขาคงจะถูกแยกออกจากกันทันที

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิติที่แตกร้าวในระยะไกล รอยแตกแผ่ซ่านออกมาราวกับมังกร ความผันผวนที่มาจากรอยแตกทำให้หนังหัวชาหนึบไปหมด

มั่นถัวหลัวและเหล่าประมุขหยุดอยู่ห่างจากรอยแตกหลายหมื่นจั้ง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตของพวกเขาปะทุออกมาจากร่างซึ่งปกคลุมกลุ่มมู่เฉินปิดกั้นจากผลกระทบของพายุมิติ

ยืนอยู่ตรงหน้ารอยแตกขนาดใหญ่โดยมีความมืดมิดปกคลุมก็ดูราวกับหลุมเหวลึกดำ หากมองใกล้เข้าไปมากขึ้นก็จะตระหนักถึงวังโบราณที่เปล่งประกายความเก่าแก่และลึกลับ

นั่นก็คือทางเข้าของวังสวรรค์บรรพกาล

มั่นถัวหลัวเอี้ยวศีรษะแลกเปลี่ยนสายตากับประมุขคนอื่นๆ ก่อนที่จะออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แสงหลิงก่อตัวเป็นรูปธรรมกวาดออกจากร่างพวกเขาพุ่งไปที่รอยแตกสีดำ

ตู้ม! ตู้ม!

เมื่อลำแสงพุ่งออกไป เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน อุโมงค์ความกว้างสิบกว่าจั้งค่อยๆ ถูกฉีกออก

เมื่อมองไปที่อุโมงค์ที่เปิดออกมู่เฉินก็แอบเดาะลิ้น คนเหล่านี้คู่ควรกับการเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าราวกับหิ่งห้อยวูบไหวเบื้องหน้าดวงจันทร์เมื่อเทียบกับพลังหลิงขนาดใหญ่เหล่านั้น

“เข้าไป!” มั่นถัวหลัวส่งเสียงดังลั่น

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นในดินแดนนี้มีลำแสงขนาดใหญ่จำนวนมากทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเปิดเส้นทางในเวลาเดียวกัน

ชัดว่าตอนนี้ขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปเทียนหลัวก็เลือกวิธีเดียวกันเพื่อฉีกเส้นทางเปิดกว้างส่งสมาชิกเข้าไปเป็นตัวเชื่อมกับวังโบราณ

สามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดหลังจากจอมยุทธ์จำนวนมากเช่นนี้เข้าไป

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกริบ

“ไป!” เขาคำรามไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในอุโมงค์

จิ่วโยว หลินจิ้งและคนที่เหลือก็ตามหลัง พวกเขาหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเข้าไปในอุโมงค์มิติ ไฟแห่งการต่อสู้ก็ลุกโชนในส่วนลึกดวงตาของมู่เฉิน

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ข้ามาแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท