หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1117

ตอนที่ 1117

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1117 สิทธิ์การท้าทาย
เมื่อซูชิงหยิงมองไปที่หลินจิ้ง

ทุกสายตาก็เลื่อนตามมา ตอนนี้จอมยุทธ์มีชื่อเสียงทั้งหมดที่นี่ทดสอบแล้ว ยกเว้นพวกมู่เฉิน…

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดซูชิงหยิง เขาก็บอกได้ว่านางพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลินจิ้ง

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเกินไป เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เจิดจ้าพลางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวไปข้างหน้า

จังหวะที่เขาก้าวออกมา สายตานับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงมารวมกระทั่งซูชิงหยิงก็เปลี่ยนความสนใจมาที่มู่เฉิน ทว่าสีหน้าไม่แยแสนั้นเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดหวังกับมู่เฉินมากมายนัก

“ข้าไปลองก่อนนะ” มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวกับหลินจิ้งขณะยิ้ม

จิ่วโยวพยักหน้า ส่วนหลินจิ้งชูกำปั้นเล็กขึ้นมาพูดอย่างร่าเริง “สู้ๆ ต้องให้ได้ป้ายมังกรทองคำมานะ!”

นางไม่ได้ปกปิดเสียงหัวเราะ นี่ทำให้เกิดรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของผู้คน แม้แต่ซูชิงหยิงยังได้แค่ป้ายมังกรเขียว สำหรับมู่เฉินที่อยู่อันดับยี่สิบในทำเนียบ เป็นเรื่องยากแม้แต่จะได้รับป้ายอินทรีทองคำ ไม่ต้องพูดถึงป้ายมังกรทองคำเลย

เผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นมู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจ เขามองไปที่ประตูร่างเคลื่อนไหวเร็วรี่กลายเป็นร่างแสงสว่างจ้าทะยานออกมา

วาบ!

เมื่อเขาไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าประตู แสงเจิดจ้าก็โอบล้อมและกลืนเขาเข้าไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อมู่เฉินเข้าไปภายใน เสียงสนทนาก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับประตูอะไรมากนัก กลับจ้องมองไปที่เสาแสงสีทองด้วยความเคารพในสายตา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับอันดับยี่สิบบนทำเนียบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า

มีเพียงหญิงสาวสองคนที่ยังมองไปที่ประตูนั่นก็คือจิ่วโยวและหลินจิ้ง ด้วยความเข้าใจของพวกนางที่มีต่อมู่เฉินมากกว่าใคร พวกนางรู้ดีว่าไพ่ตายของเขาไปไกลเกินกว่าขุมพลังนัก

แม้แต่จอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่เบื้องหลังพวกนางก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงก็เป็นศิษย์ระดับมังกรเขียว ดังนั้นพวกเขาจึงยากที่จะมั่นใจในตัวมู่เฉิน

มู่เฉินไม่รู้เกี่ยวกับความคิดของคนอื่น

เมื่อถูกกวาดเข้ามาในประตูเขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนมิติรอบตัว เมื่อแสงเข้มข้นสลายลง เขาก็ปรากฏตัวบนลานขนาดมหึมา

ขอบฟ้าไร้ขอบเขตนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณที่มีร่องรอยถูกทิ้งเอาไว้บนพื้น ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน

“นี่เป็นลานทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เหรอ?” มู่เฉินกวาดมองทั่วลานประลอง ก่อนจะมองไปในที่ไกลเบื้องหน้า

เขาเห็นเสาหินสิบกว่าเสาตั้งอยู่ แต่ละเสามีรูปปั้นหินที่ดูกระจ่างสดใสมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แผ่กระจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าทึ่ง

มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหินและรู้ว่าการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์เกี่ยวกับอะไร เมื่อกวาดมองจากทางขวาไปซ้าย สายตาก็เริ่มตึงเครียด

เนื่องจากเขาสังเกตได้ว่ารูปปั้นหินทางซ้ายให้ความรู้สึกของภัยคุกคามหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะรูปหินทางซ้ายสุด ที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านจับใจ

รูปปั้นนั้นดูอ่อนเยาว์ถือหอกยาวปลดปล่อยอากาศที่น่ากลัวออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้มิติถึงกับแปรปรวน

ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินกวาดมองรูปปั้นหิน ความผันผวนผิดปกติก็แผ่กระจายออกมา อึดใจมู่เฉินก็รู้สึกว่า ลานประลองกำลังสั่นสะเทือน

“ผู้ท้าชิงขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว” เสียงเก่าแก่ดังก้องไปทั่วลานโดยไม่มีสติปัญญาใดๆ ฟังดูช่างว่างเปล่า

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์เป็นอาวุธมหสวรรค์ที่มีสติปัญญา แต่ดูจากตอนนี้คงจะถูกทำลายไปแล้ว…” หัวใจมู่เฉินกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงที่กลวงเปล่านั่น

“สิทธ์การท้าทาย ศิษย์ระดับอินทรีขาว?” มู่เฉินพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นก็เห็นรูปปั้นหินบนเสาที่สามเคลื่อนไหวก่อนจะเริ่มมีชีวิต จากนั้นก็พุ่งออกมากระแทกลงที่พื้นเบื้องหน้ามู่เฉิน

รูปปั้นหินนี้สวมชุดเกราะหนาหนักราวกับหอคอยเหล็ก พลังที่น่ากลัวสาดออกมาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

“อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า…” มู่เฉินกวาดมองก็สัมผัสกำลังของรูปปั้นได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ที่แท้ประตูมังกรทะยานสวรรค์จะจำกัดการท้าท้ายของผู้ท้าชิงที่เข้ามาตามขุมพลังที่มี

เช่นด้วยขุมพลังของเขาที่อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นศิษย์ระดับอินทรีขาวที่มีขุมพลังเท่ากัน ถ้าเป็นเช่นนี้ในกรณีนี้ซูชิงหยิง นางคงสามารถท้าทายศิษย์ระดับมังกรได้ตั้งแต่เข้ามา

“อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องสู้ขึ้นไปทีละคน?” มู่เฉินพึมพำ

ตู้ม!

ขณะที่เขาพึมพำ ร่างหอคอยเหล็กก็คำรามก่อนจะชกหมัดออกมา ส่งระลอกคลื่นกระเพื่อมบนมิติ

หมัดบรรจุพลังน่าหวาดเสียวขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตามู่เฉิน แต่สีหน้าเขากลับสงบนิ่ง เมื่อหมัดพุ่งมาถึงเขาก็ก้าวเท้าออกไปชกหมัดหลุ่นๆ ออกมา

ฮึ่ม!

แสงสีทองเปล่งประกายออกจากร่างพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่คลุมเครือ

ตู้ม!

หมัดทั้งสองปะทะกัน พื้นดินก็สั่นสะเทือน ร่างมู่เฉินไม่ขยับเขยื้อนออกไปแม้แต่น้อย แต่มีพลังที่น่ากลัวเหลือล้นพวยพุ่งออกมาจากกำปั้น

ภายใต้พลังที่น่าสะพรึงกลัว รูปปั้นหินก็กระเด็นถอยหลังพลางระเบิดออกกลายเป็นประกายลำแสงโปรยปรายกลางอากาศ

เขาซัดรูปปั้นเป็นอากาศธาตุด้วยหมัดหมัดเดียว

สีหน้าของมู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากผลลัพธ์ หากแค่จอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้ายังยากที่จะจัดการก็ไม่ควรท้าทายอะไรอีกต่อไป

เมื่อรูปปั้นถูกจัดการด้วยหมัดเดียว ทั่วลานประลองก็เงียบลง ทว่าไม่นานเสียงสั่นสะเทือนก็กระจายออกมาอีกครั้ง

มู่เฉินขยับสายตาขึ้นก็เห็นรูปหินบนเสาที่หกตื่นขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง

เขาเป็นชายสวมชุดคลุมสีเทาที่มีภาพเจียวขาวปักไว้ เจียวขาวแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเปล่งความดุร้ายออกมา

“ศิษย์ระดับเจียวขาว?”

มู่เฉินหดตาลงกับฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าการท้าทายของเขาจะยกระดับหลายขั้นในครั้งเดียว จากอินทรีขาวกลายเป็นเจียวขาว ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะประเมินพลังการต่อสู้ของเขาว่าเกินระดับขุมพลังที่มีไปไกล จากการที่เขาซัดหมัดเดียวก็จัดการศิษย์ระดับอินทรีขาวได้

ตามการประเมินของมู่เฉิน พลังของศิษย์ระดับเจียวขาวนี้มาถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับหลิ่วกุย หวังทงเสียนและเฉวียนหมิง

ศิษย์ระดับเจียวขาวพลิ้วตัวลงมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแสงควบแน่นอยู่ในฝ่ามือทั้งสอง ซึ่งดูราวกับทำมาจากหยกขาว เปล่งอันตรายแต่ก็แฝงความงดงามในเวลาเดียวกัน

มือหยกขวาสร้างตราประทับก่อนที่แสงจ้าจระเบิดออก ร่างสิงโตหยกขาวก่อร่างขึ้นอย่างคลุมเครือ

“ตราประทับสิงโตหยก!”

เสียงไม่แยแสดังออกมาจากปากศิษย์ระดับเจียวขาว กำปั้นซัดออกไปข้างหน้า

โฮก!

แสงจ้าสีขาวครอบงำพื้นที่ก่อนจะก่อร่างเป็นสิงโตหยกขนาดพันจั้งพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน

ทันทีที่ออกกระบวนท่าก็เป็นท่าไม้ตาย ทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน

มู่เฉินยังคงรักษาอารมณ์นิ่งสงบก่อนที่จะย่ำเท้า แสงสีทองระเบิดออกมา ร่างเทพสุริยะควบแน่นอยู่ที่เบื้องหลัง

ดวงตะวันสีทองอร่ามลุกโชนรอบร่างมหึมาก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นกระแสพลังสีทอง

แสงสีทองรวมกันอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะ ก่อตัวเป็นกงล้อที่ลึกซึ้ง

“กงล้อแสงสวรรค์!”

มู่เฉินคำราม เขาไม่ได้ถอยแต่หันไปเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของศิษย์ระดับเจียวขาว เขาใช้ท่ารุกรับที่สมบูรณ์แบบประสานกัน

ตู้ม!

สิงโตหยกกระโจนเข้ามาปะทะกับกงล้อแสง ทว่าไม่มีเสียงกัมปนาทที่น่าทึ่งใดๆ เพราะเมื่อกงล้อหมุน สิงโตหยกก็หมุนติ้วหันหลัง ฉีกมิติกระโจนกลับไปหาศิษย์ระดับเจียวขาว

ปัง!

พายุพลังงานครอบงำกวาดออก ภายใต้การโจมตีของสิงโตหยก ศิษย์ระดับเจียวขาวก็พังทลาย ก่อนที่จะกลายเป็นประกายแสงพร่างพราว

ศิษย์ระดับเจียวขาวแพ้แล้ว!

มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะ แสงสีทองรอบร่างค่อยๆ ถอนกลับไป เขาไม่ได้มองไปที่ศิษย์ระดับเจียวขาว แต่หลุบตาลงรอคอยอย่างเงียบๆ

เขาอยากรู้ว่าการท้าทายรอบต่อไปที่ประตูมอบให้คืออะไร

ความเงียบแขวนอยู่ในอากาศหลายสิบลมหายใจ ก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงแผ่นดินไหว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น รูปปั้นหินบนเสาที่สามจากด้านซ้ายกำลังตื่นขึ้น

มังกรขาวตัวใหญ่ปักอยู่บนแขนเสื้อของรูปปั้นหิน ซึ่งปล่อยแรงกดดันทรงพลัง คล้ายกับคลื่นครอบงำทั่วลานประลอง

นั่นคือ…ศิษย์ระดับมังกรขาว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท