หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1115

ตอนที่ 1115

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1115 ศิษย์ระดับเจียวทองคำ
ประตูหินโบราณตั้งตระหง่านเงียบๆ

พร้อมกับจอมยุทธ์ชั้นสูงจากหลากหลายสำนักทั่วทวีปเทียนหลัวจ้องมองไปด้วยสายตาร้อนแรง ความตื่นเต้นอัดแน่นไปหมด ประตูที่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นการเริ่มต้นเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เฉพาะคนที่ผ่านไปได้เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปภายใน

ภายใต้สายตาทั้งหมด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบด้วยการก้าวออกมา

“ฮ่าๆ! ในเมื่อทุกคนระวังตัวแจกันแบบนี้ งั้นพวกข้าสำนักเคลื่อนบรรพตขอลองเป็นคนแรกแล้วกัน!” เสียงหัวเราะดังกึกก้อง ร่างแสงหลายร่างก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูมังกร

ทุกคนเบนสายตาไปมองทันที

มู่เฉินกวาดมองไปก็เห็นคนสวมชุดสีเทาหลายคน พร้อมกับมีคนคนหนึ่งยืนที่หน้ากลุ่ม เขาเป็นชายร่างสูงกำยำมีลวดลายสีเทาปกคลุมผิวกาย ทำให้ร่างกายเขามีความรู้สึกหนักหน่วง ราวกับไม่ใช่คนแต่เป็นภูเขาตั้งตระหง่าน

เมื่อมู่เฉินเห็นความคิดสายหนึ่งแล่นผ่านใจ “หลินเจี๋ยแห่งสำนักเคลื่อนบรรพต ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า อันดับยี่สิบแปดบนทำเนียบ”

หลินเจี๋ยไม่ใช่จอมยุทธ์ไม่มีชื่อเสียง อันดับนี้สามารถพิสูจน์ถึงความโดดเด่นของเขาในทวีปเทียนหลัวแล้ว

ในเวลาปกติหลินเจี๋ยเป็นจุดรวมสายตาเมื่อปรากฏตัว แต่ที่นี่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกัน กระทั่งคนอย่างซูชิงหยิงยังมา ดังนั้นความเจิดจรัสของหลินเจี๋ยจึงลดลง แต่พลังของเขายังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถโต้แย้งได้

เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวบนกลางอากาศ สายตาร้อนแรงก็จับจ้องอยู่ที่ประตูหินโบราณ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายเคลื่อนไหวโดยไม่มีความลังเล เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไป

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เขา

วาบ!

อึดใจหลินเจี๋ยก็ปรากฏตัวด้านหน้าประตูมังกร ทันใดนั้นแสงก็ส่องมาจากด้านบนของประตู นำพาหลินเจี๋ยหายเข้าไปในประตู

ทุกคนจ้องมองการหายไปอย่างใจจดใจจ่อ

ทั่วบริเวณเงียบงัน สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ประตูโบราณ ซึ่งกลับสู่ความสงบหลังจากดูดร่างหลินเจี๋ยเข้าไป

ทว่าความเงียบกินเวลาไม่นาน เสียงครางกระหึ่มก็ดังออกมา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ประตูสั่นสะเทือน แสงไหลเวียนเหนือประตู พร้อมกับอักษรลึกลับกลิ้งไปมา

แคร็ก!

ประตูที่ปิดแน่นหนาแง้มออก แสงสว่างจ้าพรั่งพรูออกมา เผยเงาร่างที่ดูสมเพช นี่ก็คือหลินเจี๋ยที่พุ่งเข้าไปเมื่อครู่

เมื่อหลินเจี๋ยปรากฏตัวขึ้น แสงก็เริ่มควบแน่นที่เบื้องหน้ากลายเป็นป้ายโบราณ

วาบ!

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ป้ายโลหะทันที

มู่เฉินก็จ้องมองไปที่ป้ายเห็นภาพอินทรีเขียวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนป้าย

“ป้ายอินทรีเขียว!”

หลายคนมีดวงตาเฉียบคม ความโกลาหลจึงระเบิดออก จากนั้นหลายคนก็ผงะไป พวกเขาไม่ได้ตกใจกับผลลัพธ์ของหลินเจี๋ย แต่อึ้งไปที่หลินเจี๋ยมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ระดับอินทรีเขียวเท่านั้น ทั้งที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้

ตามการจัดอันดับ อินทรีเขียวถือเป็นระดับปานกลางเท่านั้น

หลินเจี๋ยเป็นหนึ่งในสามสิบของจอมยุทธ์หัวกะทิของทวีปและถือว่าเป็นตัวหลักไม่ว่าจะอยู่ขั้วอำนาจใดก็ตามในทวีปเทียนหลัวซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

“กฎเกณฑ์ของวังสวรรค์บรรพกาลเข้มข้นไปแล้ว” มีบางคนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ พลังของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยเสียอีก ถ้าพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างมากก็จะได้รับแค่ป้ายหมาป่ารึไง?

นั่นจัดเป็นศิษย์อันดับต่ำสุดในวังสวรรค์บรรพกาลเลยนะ

“ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรไม่ใช่งานง่ายแล้ว” มู่เฉินพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว

“อย่าเพิ่งพูดถึงศิษย์ระดับมังกร ข้าว่ากระทั่งศิษย์ระดับเจียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นอดีตผู้ปกครองทวีปเทียนหลัวจริงๆ…” จิ่วโยวเผยรอยยิ้มหมดหนทาง

มู่เฉินพยักหน้า แต่ไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ ด้วยรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล จอมยุทธ์ชั้นสูงธรรมดาก็เป็นศิษย์แบบดาษดื่นเท่านั้น มีเพียงจอมยุท์มากพรสวรรค์จริงๆ ที่จะสามารถโดดเด่นได้

เผชิญหน้ากับสายตาเศร้าสลดของผู้คน หลินเจี๋ยก็มองไปที่ป้ายอินทรีเขียวพลางยิ้มขมขื่น เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์นี้ แต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อนึกถึงการทดสอบโหดหินของประตูมังกรมะยานสวรรค์

หลินเจี๋ยยื่นมือออกคว้าป้ายอินทรีเขียว รังสีสีฟ้าอมเขียวก็เบ่งบานออกมาโอบกอดตัวเขา เปลี่ยนเป็นเกลียวแสงสีอมเขียวพุ่งออกไป

เมื่อเกลียวเส้นสายในค่ายกลสัมผัสกับเกลียวแสงสีฟ้าอมเขียว ค่ายกลก็เปิดออก ร่างหลินเจี๋ยก็หายเข้าไปในค่ายกล

“เข้าไปแล้ว?”

ทุกคนเบิกตากว้างกับภาพที่เกิดขึ้น จากนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า ตามคาดตราบใดที่พวกเขาได้รับป้ายประจำตัวก็จะสามารถผ่านค่ายกลเข้าไปได้

เมื่อตัดสินจากการหายไปของหลินเจี๋ย สิ่งที่พวกเขาเห็นต่อหน้าบางทีอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อผ่านเข้าไปในค่ายกลได้เมื่อไรก็จะได้เห็นวังสวรรค์บรรพกาลที่แท้จริง

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เดือดพล่าน ทุกคนรู้สึกโล่งใจ

วาบ!

สมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตก็พุ่งเข้าไปในประตูมังกรทะยานสวรรค์โดยไม่ลังเล ครั้งนี้ใช้เวลายิ่งสั้นลง เพียงสิบกว่าอึดใจก็กระเด็นออกมาในลักษณะน่าสมเพช

ทั้งหมดได้รับเพียงป้ายหมาป่าเขียว

ชัดว่าผลลัพธ์จากการทดสอบของพวกเขาด้อยกว่าหลินเจี๋ยมาก

เมื่อจอมยุทธ์สำนักเคลื่อนบรรพตเห็นสิ่งนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะคว้าป้ายพุ่งตัวเป็นร่างแสงเข้าไปในค่ายกล

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

หลังจากได้เห็นสมาชิกสำนักเคลื่อนบรรพตผ่านเข้าไปแล้ว กลุ่มคนอื่นๆ ก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเสียงลมแหวกอากาศก็ดังก้องไม่หยุด ร่างแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์

ฮึ่ม ฮึ่ม

แสงสว่างพุ่งออกมาจากประตูอย่างต่อเนื่อง ดูดทุกคนที่เข้าใกล้

ในเวลาต่อไปหน้าประตูก็คึกคักอย่างยิ่ง มีผู้คนพุ่งเข้าไปตลอดเวลาก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับแสงสีขาวหรือสีเขียว กระทั่งแสงสีทองก็มองเห็นได้

มู่เฉินสังเกตจากภาพทั้งหมด ก็เห็นว่าป้ายระดับสูงสุดที่ปรากฏเป็นเพียงป้ายอินทรีทองคำ คนที่ได้ป้ายอินทรีทองคำอยู่ในลำดับยี่สิบเอ็ดของทำเนียบ ซึ่งต่ำกว่ามู่เฉินเพียงอันดับเดียว

“ถ้าเป็นไปตามการจัดอันดับ อย่างมากข้าคงเป็นได้แค่ศิษย์ระดับอินทรีทองทองคำเท่านั้น” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพูดติดตลก

“ขำตายล่ะ…” จิ่วโยวกลอกตาบนเมื่อได้ยินมุกเยาะเย้ยตัวเอง เพราะนางรู้ดีกว่าใครเกี่ยวกับไพ่ตายที่มู่เฉินมี ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า คนอย่างมู่เฉินมีกระทั่งพลังที่จะเผชิญหน้าขั้นเก้าระยะเต็ม

“คนน่าสนใจเคลื่อนไหวแล้ว” หลินจิ้งที่เฝ้าดูก็พูดออก

เมื่อได้ยินมู่เฉินและจิ่วโยวก็หันไปมองเห็นว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและฉินจิงเจ๋อพุ่งเข้าประตูมังกรทะยานสวรรค์

ชัดว่าพวกเขาก็อดรอต่อไปไม่ไหวแล้ว

ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียง การเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ทุกสายตาหันมาสนใจ

วาบ!

ทั้งสามคนหายเข้าไปที่หน้าประตูในเวลาใกล้เคียงกัน

นอกเหนือจากเหตุการณ์นี้ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็เงียบลงครู่ คนอื่นๆ หยุดกิจกรรม เนื่องจากต้องการเห็นผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ทั้งสาม

เวลาไหลไปอย่างรวดเร็ว

ระยะเวลาที่ทั้งสามเข้าไปยาวนานกว่าคนอื่นก่อนหน้าชัดเจน นี่ทำให้ผู้คนหนังตากระตุก เมื่อมองดูแล้วดูเหมือนว่าป้ายอินทรีทองคำที่สูงสุดในตอนนี้จะถูกตีแตกแล้ว

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูมังกรทะยานสวรรค์ที่เงียบมานานก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เกลียวแสงแข็งแกร่งพุ่งออกมา

แสงสามสายควบรวมกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อร่างเป็นชายทั้งสามคน

เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นรังสีก็มารวมที่เบื้องหน้าพวกเขา ควบแน่นเป็นป้ายสามป้าย

ทุกสายตาพุ่งตรงไป จากนั้นเสียงโกลาหลก็ดังขึ้น

เจียวสีขาวขดตัวเป็นป้ายที่เบื้องหน้าหลิ่วกุยพร้อมกับความผันผวนทรงพลังกระจายออกมา

“ป้ายเจียวขาว! หลิ่วกุยได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาว!”

บางคนอุทานออกมา ในที่สุดก็มีคนได้รับการจัดอันดับเป็นศิษย์ระดับเจียวขาวจากการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์แล้วเรอะ?

“หวังทงเสียนก็เป็นศิษย์ระดับเจียวขาวเช่นกัน!” มีคนสังเกตเห็นป้ายที่เบื้องหน้าหวังทงเสียนที่มีภาพเจียวขาวขดอยู่

“แล้วฉินจิงเจ๋อล่ะ?”

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ฉินจิงเจ๋อ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นรังสีสีทองถักทอเป็นรูปร่างเจียวทองคำที่ดูเหี้ยมหาญที่เบื้องหน้าเขา

“นั่นคือ…” มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองคำก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตา

“ป้ายเจียวทองคำ!”

แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นแบบฉินจิงเจ๋อก็ได้รับเพียงป้ายเจียวทองคำ ไม่ใช่แม้แต่ป้ายมังกรขาว

กฎเกณฑ์การทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ยากขนาดนี้เชียวหรือ?!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท