หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1119

ตอนที่ 1119

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1119 บรรลุ
ความแข็งกระด้างของรูปปั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เผยให้เห็นภาพเงาสีดำถือหอกยาวสีดำที่มีลวดลายโบราณสลักอยู่ที่ส่วนปลาย ทำให้มีมิติสั่นสะเทือนไปด้วยเกลียวแสง

ร่างนั้นยืนอยู่เหนือเสาหินอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว แต่มีรัศมีข่มขวัญพล่านออกมา

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีครอบงำที่ตื่นขึ้น มุมหางตาของเขากระตุกไม่หยุด นี่คือศิษย์ระดับมังกรทอง? น่าเกรงขามอย่างแท้จริง จากการประเมินรัศมีที่อีกฝ่ายมีน่าจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อยแล้ว

อีกก้าวเดียวก็จะได้ชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

มู่เฉินกำหมัดอย่างช้าๆ ในแขนเสื้อพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขารู้สึกว่ารูขุมขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ ผิวหนังก็ตึงแน่น ร่างกายอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากศิษย์ระดับมังกรทองคำคนนี้

“ขั้นเก้าระยะเต็ม…”

มู่เฉินถอนหายใจ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้แม้แต่ตัวเขาก็พบว่ายากที่จะรับมือ แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้…

“ดูท่าจะถึงเวลาลองค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารซะหน่อยแล้ว…”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นค่ายกลระดับจงซือ หากเขาสามารถสร้างได้ก็น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับนี้ได้

ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง แม้จะศึกษามาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ล้มเหลวหลายครั้งยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

ถึงกระนั้นเขาก็ค่อยๆ ปรับแต่งข้อบกพร่องให้สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ตามการคาดการณ์ตราบใดที่คลื่นหลิงในร่างกายหนาแน่นขึ้นอีกนิด เขาก็มีความมั่นใจที่จะจัดเรียงค่ายกลนี้

วิธีเดียวที่จะเพิ่มคลื่นหลิงในร่างก็คือบรรลุขุมพลัง ถ้าสำหรับคนอื่นอาจต้องการค้นหาโอกาสสะสมไปเรื่อยๆ แต่สำหรับมู่เฉินในตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว…

ย้อนกลับไปที่มหาสมุทรเทพสร้าง เขาก็สามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว ทว่าตัวเขาพยายามยับยั้งพลังเอาไว้อย่างรุนแรง เนื่องจากเขาต้องการสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อน

แต่ตอนนี้… ถึงเวลาที่จะบรรลุอีกครั้งแล้ว

ใบหน้าสงบนิ่ง มู่เฉินก็สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือ ของเหลวจื้อจุนมหาศาลกวาดออกล้อมรอบร่างเข้าไว้ เติมเต็มมิตินี้ด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต

ขณะที่หายใจหมอกสีขาวก็ลอยขึ้นแรงดูดพุ่งออกมา ของเหลวจื้อจุนไร้ขอบเขตแยกออกเป็นสาย เข้าสู่ร่างมู่เฉินจากทางปากและจมูก

ที่เบื้องหลังมิติผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเลือนราง เหมือนจะเห็นท้องฟ้าแตกออก คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูเข้าสู่ทะเลพลัง

มู่เฉินตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นเก้าที่นี่!

ศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นบนเสา ก็กระชับหอกสีดำแน่น ดวงตานิ่งไม่ไหวติง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงรัศมีการสู้จากมู่เฉิน ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขยับ

เพราะสุดท้ายประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็มีไว้เพื่อทดสอบศักยภาพของศิษย์ ดังนั้นหากศิษย์คนใดเลือกที่จะบรรลุที่นี่ ตามกฎประตูก็จะไม่รบกวนแต่จะปกป้องแทนด้วยซ้ำ

มู่เฉินรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพัฒนาขุมพลังที่นี่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนที่ห้อมล้อมร่างมู่เฉินก็เบาบางลง เนื่องจากคลื่นหลิงภายในได้รับดูดซับโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

ระดับน้ำของทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นทะเลพลังยังดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกกลิ้งผ่านไปมา

ในเวลาเดียวกันแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างกายของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง

ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา ของเหลวจื้อจุนหยดสุดท้ายก็ถูกดูดซับไป ทั้งมิติเงียบงันลงโดยมีเพียงมู่เฉินที่ยืนนิ่งราวกับหินผาโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็หายไป มู่เฉินดูสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นเปล่งออกมาแม้แต่น้อย

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา ดังนั้นหลังจากความเงียบดำเนินไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ดวงตาปิดสนิทของมู่เฉินก็เบิกโพลง

ตู้ม!

แสงหลิงพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับคลื่นกระแทกไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าคำรน

แรงกดดันทรงพลังของคลื่นหลิงกระจายออกไปโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง

มู่เฉินค่อยๆ กำกำปั้นแน่น รับรู้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังกลิ้งตัวไปมาอยู่ในร่างกายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจประดับที่มุมปาก

หลังจากยับยั้งคลื่นพลังในร่างไว้หลายเดือนในที่สุดเขาก็บรรลุสำเร็จ เข้าสู่ขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริง!

แม้ว่าจะเป็นอีกครึ่งก้าว แต่ก็เป็นการเพิ่มที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสำหรับมู่เฉิน

นั่นเป็นเพราะการบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำให้เขาสามารถใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาได้… อย่างเช่นค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

“เจ้าผู้ท้าชิงบรรลุเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีกับพลังที่เพิ่มขึ้น เสียงแผ่วเบาก็ดังก้องไปทั่ว

มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นศิษย์ระดับมังกรทองคำก้มหัวลงมองมา จอมยุทธ์คนนี้ดวงตาไม่ว่างเปล่าเหมือนคนอื่น มีสติปัญญาแฝงอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรทองคำจะแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ

มู่เฉินประหลาดใจไปก่อนที่จะยิ้มแล้วพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เริ่มกันเลยเถอะ ตราบใดที่เจ้าประสบความสำเร็จก็จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่มีตำแหน่งสูงของวังสวรรค์บรรพกาล หากล้มเหลวก็เป็นศิษย์ระดับมังกรขาวไป” ศิษย์ระดับมังกรทองคำชี้ปลายหอกมาที่มู่เฉิน แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นบนผิวหนัง

“ถ้าล้มเหลวไม่มีกระทั่งคุณสมบัติที่จะท้าประลองศิษย์ระดับมังกรเขียวรึ…” มู่เฉินพึมพำ ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ในอดีตอีกต่อไป มีข้อบกพร่องในกฎท้าทายดังกล่าว

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก หากเขาไม่ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ จะมังกรขาวหรือมังกรเขียวก็ไม่ต่างกันหรอก

แต่ตามความเห็นของเขาดูเหมือนว่ามีเพียงศิษย์ระดับมังกรทองคำเท่านั้นที่สามารถได้รับวิธีพัฒนาร่างเทพสุริยะ ดังนั้นเขาต้องพยายามเต็มที่เพื่อครอบครองตำแหน่งนี้

ด้วยความคิดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเล สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะวาดตราประทับขึ้นมา เกลียวแสงพุ่งออกมาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเข้มข้นนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมารวมเข้ากับอากาศ

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงมาก ขณะกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนเกินขอบเขตค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงที่สร้างก่อนหน้าแล้ว

ศิษย์ระดับมังกรทองคำยังยืนนิ่งอยู่บนเสาหินโดยไม่ได้เริ่มการโจมตี ตามกฎแล้วจะต้องรับกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ท้าชิงก่อนจะประเมินขั้นสุดท้าย

การรอคอยของอีกฝ่ายให้เวลามู่เฉินอย่างเพียงพอในการเตรียมการ

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากบินฉวัดเฉวียนออกไปรัศมีหลายหมื่นจั้งก็เกิดความผันผวนพร้อมกับสายผนึกแผ่ซ่านออกมา ถักทอกันและกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

โครงสร้างค่ายกลค่อยๆ สมบูรณ์ เส้นสายแสงกลายเป็นสายผนึกที่หนาแน่นบัดนี้มู่เฉินบรรลุอีกระดับแล้ว หน้าผากของมู่เฉินปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อชื้น ตอนนี้เขาถึงได้พบว่างานนี้ต้องเสียพลังแค่ไหน

ถ้าเขาไม่ได้บรรลุขุมพลังก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลนี้ ไม่ว่าเขาจะศึกษาหรือทำความเข้าใจมานานแค่ไหนก็ตาม

ในมิตินี้ค่ายกลมหึมาถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ ความซับซ้อนและลึกซึ้งนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่ไม่เข้าใจศาสตร์ค่ายกลเลือดร้อนขึ้นมา

แม้แต่สายตาศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด กระทั่งอากาศครอบงำรอบตัวก็ยังถูกระงับ วงรัศมีหดลงมาเรื่อยๆ

เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากมู่เฉินขณะที่ดวงตาจ้องไปที่ค่ายกลและจัดการอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าจะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ หากเขาล้มเหลวก็จะไม่สามารถจัดเรียงค่ายกลใหม่ได้อีกในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงการท้าทายจบสิ้นลง

แต่โชคดีที่มู่เฉินเคยฝึกฝนหลายครั้งในอดีต ดังนั้นในที่สุดค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ เอิบอาบไปด้วยแรงกดดันที่คลุมเครือ

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่กำลังก่อตัวก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแสงสีขาวหลายสายพุ่งเข้าไปในค่ายกล

มองทะลุผ่านแสงสีขาวก็จะเห็นว่านี่คือกระดูกมังกร!

กระดูกมังกรแต่ละชิ้นเปล่งพลังมังกร

ซึ่งกระดูกเหล่านี้จะเป็นใจกลางของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อกระดูกมังกรเข้าสู่ค่ายกลก็เกิดการสั่นไหว แสงหลิงนับไม่ถ้วนแปรปรวน สุดท้ายมารวมตัวกันรุนแรงพุ่งไปยังกระดูกมังกร

โฮก!

แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยาน จากนั้นมู่เฉินก็เห็นว่าก่อร่างเป็นมังกรขนาดมหึมาที่น่ากลัวในค่ายกล

มู่เฉินมองไปที่มังกรก็รู้สึกโล่งอกพร้อมกับความสุขกระจายในนัยน์ตา

ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท