หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1121

ตอนที่ 1121

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1121 ศิษย์ระดับมังกรทองคำคนที่สี่
เกาะหินโดดเดี่ยวเอิบอาบด้วยรัศมีโบราณ

ล้อมรอบด้วยซากปรักหักพัง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่นี่

ตึก

เสียงฝีเท้าดังกึกก้องพร้อมกับร่างร่างหนึ่งเดินออกจากด้านข้างเกาะหิน เมื่อร่างเงานี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่แห่งนี้เดือดพล่าน

ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม รอยเท้าของเขาละลายก้อนหินเป็นลาวาพร้อมกับพลังทำลายล้างที่น่ากลัว

คนผู้นี้มีผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวไฟลุกโชติช่วงในระยะไกล เขายืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจขณะที่หันหน้าออกไปด้านนอกวังโบราณก็เห็นเสาแสงทองคำพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาไม่ประหลาดใจกับลำแสงนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้รับมาเช่นกัน

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคน? หรือจะเป็นซูชิงหยิง? นางเต็มใจที่ใช้แมลงวิญญาณสู้ด้วยรึ?” เขายิ้มด้วยความประหลาดใจ แต่จากนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก ฝ่าเท้ากระทืบลงไป เสาลาวาก็ทะยานขึ้นไปบนทองฟ้า เงาเขาหายวับไปในลาวา

ในเวลาเดียวกัน

ที่หอหินปรักหักพังอีกมุมหนึ่งของวังโบราณ ร่างสองร่างก็ยืนเผชิญหน้ากัน ความผันผวนของคลื่นหลิงอันน่าอัศจรรย์แผ่ออกมา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปหมด

นี่เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง

ผู้ชายรูปร่างสูงบางสวมชุดสีดำ ใบหน้าหล่อราวกับเทพสลัก ดวงตาลึกซึ้ง รอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มประดับบนใบหน้า

ยามนี้เขากำลังจ้องมองหญิงสาวงดงามที่อยู่ในระยะไกลด้วยสายตาอ่อนโยน

ร่างสะคราญโฉมสวมชุดสีสันสดใส ผมยาวเป็นลอนทำให้ดูน่าหลงใหล นางมีเอวเล็กคอดกิ่วรับกับช่วงขาเรียวยาว แต่นางกลับสวมผ้าคลุมหน้าบางๆ ปกปิดรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงทรงเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

หญิงสาวแผ่รัศมีเย็นเยือก ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความงามของนาง แต่เป็นความจริงที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำต่างหาก

“สวัสดี แม่นาง ข้าชื่อจาโหลหลัวแห่งตำหนักเทพปีศาจ ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากไหน? ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหญิงงามทรงพลังอย่างเจ้าในทวีปเทียนหลัวเลย” จาโหลหลัวยิ้มบาง

ตอนที่เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ ไม่นานความชื่นชมก็พังทลายและคนที่ทำลายก็เป็นหญิงสาวลึกลับตรงหน้านี้

นี่ทำให้จาโหลหลัวรู้สึกสงสัยจนต้องติดตามนางมาเพื่อพยายามที่จะค้นหาตัวตนของนาง ดูว่าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนางได้ไหม

แต่ตอบสนองต่อคำถามอ่อนโยนของเขา หญิงสาวกลับกวาดสายตาเย็นชาให้และพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้ายังตามก้นข้ามาอีกละก็ ข้าจะแปลความว่าเจ้าต้องการสู้กับข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดไม่ไยดีของนาง ท่าทางของจาโหลหลัวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปพลางเงยหน้าขึ้นมองเสาแสงสีทองที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าห่างไกล

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนเรอะ? จะเป็นซูชิงหยิง? หรือเซี่ยหยู่?” จาโหลหลัวมองแสงสีทองพร้อมกับริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา

หญิงสาวลึกลับก็เหลือบมองไปที่เสาแสงทองคำ แต่นางไม่ได้ให้ความสนใจมาก เท้าแตะพื้นเตรียมเคลื่อนตัวออกไป

“แม่นาง…” จาโหลหลัวร้องออกมาอีกครั้งที่เห็นนางกำลังจะไป

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ แสงเย็นก็วาววับในนัยน์ตาของหญิงสาวลึกลับ ก่อนที่นางจะสะบัดนิ้ว ลำแสงสีรุ้งก็ยิงออกมาเล็งเป้าไปที่หน้าผากของจาโหลหลัว

การจู่โจมกะทันหันทำให้ดวงตาจาโหลหลัวหรี่แคบลง เขาไม่กล้าชักช้าเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายลึกลับเพียงใด ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้า แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาปกคลุมร่างกายทั้งหมด ทำให้ดูเหมือนไม่สามารถทำลายได้

ปัง!

เมื่อลำแสงอยู่ห่างออกไปจากหน้าผากครึ่งชุ่นก็ถูกขัดขวางโดยแสงสีทอง แต่พลังงานน่าอัศจรรย์ที่บรรจุอยู่ภายในก็ยังทำให้ร่างของจาโหลหลัวกระตุก

เขาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเงางดงามพุ่งออกไปไกลในพริบตา

“น่าสนใจ” จาโหลหลัวยิ้มบางขณะมองไปที่ทิศทางนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง หญิงสาวลึกลับคนนี้มีภูมิหลังไม่แน่ชัด แต่ความแข็งแกร่งของนางเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาไม่สามารถเลี้ยงดูได้อย่างแน่นอน

ทว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของนางในการมาที่วังสวรรค์บรรพกาล หวังว่าจะไม่ขัดแย้งอะไรกับเขานะ ไม่งั้นคงจะปวดหัวน่าดู

“ท่านประมุขบอกว่าข้าอาจจะได้พบกับจอมยุท์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน ตราบใดที่ข้าสังหารอีกฝ่ายได้ ข้าถึงจะได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ” จาโหลหลัวยืนมือไพล่หลัง เสื้อคลุมสีดำปลิวไปตามสายลม ความเย็นเยียบวูบไหวในดวงตา

“หวังว่าคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะจะไม่อ่อนแอเกินไป ไม่งั้นคงจะน่าเบื่อจริงๆ ร่างเทพสุริยะของข้าต้องการเลือดสดของเจ้ามาสังเวย”

จาโหลหลัวส่ายหน้าแบบไม่แยแส ก่อนจะก้าวออกไป มิติสั่นสะท้านร่างเขาก็หายไป

เสาทองคำทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้าจากประตูมังกรทะยานสวรรค์ราวกับทะลุผ่านฟ้าดินและมีมังกรตัวใหญ่ขดอยู่รอบๆ ส่งเสียงคำรามของมังกรสะเทือนไปทั่วปฐพี

ผู้คนตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ จากนั้นก็ฟื้นจากความตกใจขึ้นมาพลางอุทานลั่น

“นั่นคือเสามังกรทองคำใช่ไหม?”

“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเรอะ?!”

“แม้แต่ซูชิงหยิงยังทำไม่สำเร็จ มู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำได้อย่างไร?”

“เขาเป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง!”

“…”

เสียงอุทานดังลั่น ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้านี้ การระเบิดนี้น่ากลัวเกินไปในสายตาพวกเขา

ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะทำในสิ่งที่ซูชิงหยิงทำไม่สำเร็จได้

ฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุย หวังทงเสียนรวมทั้งจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวก็มีสีหน้าแข็งทื่อ ความไม่เชื่อพล่านไปทั่วดวงตา

เมื่อพิจารณาจากพลังภายนอกพวกเขาไปไกลกว่ามู่เฉินหลายขุม โดยเฉพาะฉินจิงเจ๋อซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่ก็ได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น

พวกเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ซูชิงหยิง ขณะนี้หญิงสาวกำหมัดแน่น ความตกตะลึงฉายบนใบหน้า

นางผ่านมาแล้วดังนั้นจึงรู้เกี่ยวกับการทดสอบของประตูและรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำยากแค่ไหน แม้แต่นางก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ แต่สุดท้ายนางไม่เต็มใจที่จะยอมสูญเสีย ดังนั้นจึงเลือกถอยกลับรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรเขียวแทน

ทว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะนำหน้านาง ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำไป

นั่นหมายความว่ามู่เฉินต้องมีไพ่ตายทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้!

“เจ้านั่น!” ซูชิงหยิงกัดฟัดกรอด ครั้งนี้นางมองพลาดไป ตอนแรกนางคิดว่าจะเป็นหญิงสาวอ่อนวัยที่น่ากลัวที่สุด แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะน่าเกรงขามเช่นกัน

“เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำจริงๆ”

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง หลินจิ้งก็เงยหน้าหัวเราะคิกคัก ท่าทางไม่ได้ดูแปลกใจ เพราะแม้แต่มารดาของนางก็ยังประเมินผู้ชายคนนี้ไว้สูงมาก ดังนั้นหลินจิ้งจึงไม่เชื่อว่าแค่ป้ายมังกรทองคำจะทำให้เขาล้มเหลวได้

จิ่วโยวยิ้มพลางพยักหน้าไม่มีความแปลกใจเช่นกัน

ที่ด้านหลังพวกนางเหล่าจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือก็อึ้งกิมกี่ราวกับว่าเห็นผี แม้พวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินมีไพ่ตายเต็มแขนเสื้อ แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เฉวียนหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าแข็งทื่อไป หากมู่เฉินได้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำด้วยความสามารถที่มี นั่นก็หมายความว่าเขาซ่อนความสามารถไว้ลึกและความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏภายนอก

ความจริงนี้ทำให้เขาแตกเหงื่อพลั่ก ก่อนหน้าเขายังต้องการจะเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยนี้ แต่ตอนนั้นมู่เฉินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะแข่งขัน มิฉะนั้นขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดที่มีคงไม่พอแน่

ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงสีทองบนท้องฟ้าก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นภาพเงาของมู่เฉินและรังสีสีทองควบแน่นเป็นป้ายทองคำโบราณเบื้องหน้า

มู่เฉินมองไปที่ป้ายมังกรทองคำก็คลี่ยิ้มก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ภายใต้สายตาที่กวาดผ่าน ทุกคนก็บ่ายหน้าหลบไม่กล้ามองตรงๆ ที่เขาอีกแล้ว

ฉากนี้บ่งบอกทุกคนว่ามู่เฉินเป็นพวกพยัคฆ์ซ่อน พลังที่เขาครอบครองน่าสะพรึงพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นเก้าระยะเต็มด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงระยะปลายเลย

ในโลกนี้พลังคือสิ่งที่ได้รับการเคารพเสมอ

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นมู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าอีกแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับความคิดของผู้คน เขายังไม่ได้เปิดใช้งานป้ายมังกรทองคำกลับมองไปหาหลินจิ้งและจิ่วโยวและพยักหน้าให้พวกนาง

หญิงสาวทั้งสองพยักหน้า พุ่งตัวออกมาในเวลาเดียวกัน ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท