หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1128

ตอนที่ 1128

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1128 โชคชะตาของข้า
เมื่อมู่เฉินจับพัดขนนกสีเขียวเอาไว้

คลื่นหลิงในร่างกายก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน มิติแปรปรวนอยู่ข้างหลัง จุดจื้อจุนไห่มองเห็นได้เลือนรางพร้อมกับคลื่นสูงหมื่นจั้งซัดสาดแผดเสียงดังกึกก้อง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้าน เนื่องจากสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกายที่ไหลผ่านแขนเทลงไปในพัดขนนก

พัดอันเล็กนี้ราวกับหลุมดำไร้ก้น ไม่ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินจะไหลเข้าไปมากเพียงใด พัดก็เขมือบลงไปโดยไม่ลังเล

แรงดูดนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเด้งขึ้น เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้าง

ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความต้องการยิ่งใหญ่ของอาวุธมหสวรรค์ต่ำเกินไป

ในทะเลพลังเสาน้ำจำนวนมากพุ่งสูงขึ้น ขณะเชื่อมโยงกับมิติว่างเปล่าราวกับมังกรมหึมา

ภายใต้การดูดระดับน้ำทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ก็ค่อยๆ ลดลง

จิ่วโยวกับหลินจิ้งก็ตกใจไปกับภาพที่เห็น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะพวกนางไม่สามารถเทคลื่นหลิงเข้าไป เนื่องจากเมื่อคลื่นหลิงสูญเสียการควบคุมก็จะสร้างปัญหาใหญ่หลวง!

มู่เฉินหน้าเขียวคล้ำ มือที่จับพัดก็สั่นเทิ้มอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในจุดจื้อจุนไห่ ตัดสินจากภาพนี้อาวุธมหสวรรค์ชิ้นนี้อาจจะดูดเขาจนแห้งเหี่ยวถ้าคิดจะใช้มัน

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตคำรามรอบร่างมู่เฉิน เมื่อคลื่นหลิงหลั่งไหลเข้าไปในพัดขนนกมากขึ้น รัศมีของพัดก็สว่างไสวขึ้นชัดเจน

ในทางกลับกันระดับน้ำทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ก็ลดลงเรื่อยๆ

นี่เป็นสถานการณ์อันตรายมาก หากคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนถูกดูดจนหมด ทะเลพลังจะสูญเสียพลังงานที่จะรองรับหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย จุดจื้อจุนไห้ก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเป็นหายนะสำหรับเขาแน่

“นรกแล้ว!”

มู่เฉินสาปแช่งในใจ เขาระมัดระวังอย่างมากแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องใช้คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเพียงนี้เพื่อใช้งานอาวุธมหสวรรค์ชิ้นนี้

ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ซึ่งอยู่ห่างจากขุมพลังตี้จื้อจุนเพียงก้าวเดียว ทว่าก้าวย่างนั้นยากที่จะก้าวผ่านไปยิ่งกว่าหุบเหวหมื่นจั้ง

มู่เฉินเกิดอาการวิงเวียนในศีรษะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะแห้งเหี่ยวเป็นมัมมี่ ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ คำรามพร้อมกับกัดฟันกรอด “ควบคุมตัวเองหน่อย ไม่งั้นข้าจะตัดการเชื่อมโยงและถอยออกจากที่นี่ทิ้งเจ้าไว้เพื่อพินาศกับชายคนนั้นเอง!”

เขาเชื่อว่าพัดขนนกเข้าใจสิ่งที่พูดด้วยจิตวิญญาณที่มี

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมู่เฉินคำรามการสั่นสะเทือนของพัดขนนกก็อ่อนลง แต่มันก็ส่งเสียงงึมงำอย่างไม่พอใจ ราวกับว่ากำลังตำหนิมู่เฉินที่ไม่สามารถตอบสนองความอยากอาหารได้

“ไปทำงานได้แล้ว กินจนอิ่มแปล้แล้วนี่!” มู่เฉินกัดฟันกรอดพูดขึ้น

ฮึ่ม!

พัดขนนกเปล่งรังสีสีฟ้าอมเขียวอย่างช้าๆ ซึ่งดูอ่อนโยนมาก แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของการทำลายล้างที่ทำให้หนังหัวชาหนึบไปหมด

เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวเบ่งบาน มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนข้อมูลที่มาจากพัดขนนกในมือ ดูเหมือนจะเป็นตราประทับโบราณหลายชิ้น ดูท่าว่าพัดขนนกต้องการให้มู่เฉินใช้ตราประทับประสานงานกันกับมัน ท้ายที่สุดมันก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนควบคุมเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา

เมื่อสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของตราประทับเหล่านั้น มู่เฉินก็วาดกระบวนท่าด้วยฝ่ามือ

การเคลื่อนไหวของเขาช้าและมั่นคง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงคลื่นหลิงในร่างกายก็จะหายไปเป็นก้อนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าการสร้างตราประทับเหล่านั้นต้องการใช้พลังมหาศาล

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินกัดฟันแน่นขึ้น พัดบ้านี่เป็นหลุมดำ ถ้าตอนนี้เขายังอยู่ในระดับเกือบจะบรรลุขั้นเก้าเขาคงหมดสติไปนานแล้ว

แต่ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่อดทนต่อสิ่งนี้ ฟันกัดกรอดจนแทบสึก หมุนเวียนคลื่นหลิงที่เหลืออยู่ในร่างกาย ดีที่จากนั้นไม่นานก็สร้างตราประทับสำเร็จจนได้

ตู้ม!

ในช่วงอึดใจสุดท้ายที่เขาสร้างตราประทับ พัดขนนกก็สั่นเทิ้มก่อนที่เขาจะยกมันขึ้น

มันไม่ได้ถูกควบคุมโดยมู่เฉิน แต่มันเป็นคนนำต่างหาก

มู่เฉินจับพัดขนนกแล้วพัดลงไปที่ผู้บัญชาการตำหนักสายลม

“ตราประทับเทพสายลม!”

เสียงเคร่งเครียดดังออกมาจากริมฝีปากของมู่เฉิน แสงสีฟ้าอมเขียวมากมายมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากพัดราวกับพายุทอร์นาโดฉีกทำลายมิติในเส้นทางที่ผ่าน

พายุทอร์นาโดปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว มวลลมน่าสะพรึงกวาดออก มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับความผันผวนของการทำลายล้างที่แผ่กระจายออกไป ซึ่งทำให้หนังหัวของมู่เฉินชาวาบไปหมด

เมื่อพายุรวมตัวกัน แสงสีฟ้าอมเขียวเข้มขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็ปรากฏขึ้น สามารถมองเห็นตราประทับโบราณที่ส่วนลึก

ตราประทับดูลึกซึ้งมาก มีพายุไม่มีที่สิ้นสุดราวกับว่าเป็นพายุที่เกิดจากการกำเนิดครั้งแรกของฟ้าดินที่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง แม้จะดูอ่อนโยนก็ตาม

แรงดูดมหาศาลระเบิดออกจากตราประทับ กลืนกินลมสลาตันสีฟ้าอมเขียว ในเวลาไม่กี่อึดใจลมสลาตันก็หายไปอย่างสมบูรณ์ มีเพียงตราประทับแสงลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้า

ฮึ่ม!

ตราประทับแสงกระตุกเบาๆ ก่อนที่ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ตู้ม!

เมื่อแสงกวาดผ่าน มิติก็ระเบิดกลายเป็นสะเก็ดจำนวนนับไม่ถ้วน สะเก็ดเหล่านั้นไม่ได้สลายไป แต่รวมตัวกันรอบๆ ตราประทับพุ่งเข้าหาผู้บัญชาการตำหนักสายลมประหนึ่งมังกรทะยาน

โฮก!

เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็คำราม ชัดว่ารู้สึกได้ถึงพลังทำลายล้างที่อยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พัดออกมารวมตัวกันที่เบื้องหน้าเขา กลายเป็นหลุมดำกว้างร้อยจั้งซึ่งดูชั่วร้ายมาก ราวกับว่าสามารถกลืนกินและปนเปื้อนอะไรก็ได้

ตู้ม!

ทว่าตราประทับสีฟ้าอมเขียวกลับไม่สนใจ ชนเข้ากับหลุมดำพร้อมกับสะเก็ดมิตินับไม่ถ้วน

ชี่ ชี่!

ในช่วงเวลาปะทะกันฟ้าดินก็เงียบงันลงชั่วครู่ ก่อนที่แสงสีฟ้าอมเขียวจะกระจายออกมาจากหลุมดำพร้อมกับคลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ระเบิดออก!

ครืน!

คลื่นกระแทกพัดออกมาทำให้หลุมดำสลายไปทันที เสาทั้งหมดในโถงก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ทิ้งรอยแตกไว้บนพื้นแข็งแรง

ทั้งสามคนเคลื่อนไหวหลบหลีกสิ่งนี้ไปไกลๆ เพราะกลัวว่าจะถูกคลื่นกระแทกซัดเอาได้

คลื่นกระแทกที่รุนแรงกินเวลาหลายนาทีก่อนที่จะค่อยๆ สงบลง เมื่อความสงบกลับคืนสู่สถานที่แห่งนี้พวกเขาก็จ้องมองไป

ทั้งโถงวินาศสันตะโร ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยังคงลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ทว่ารัศมีสีดำรอบตัวหายไปอย่างสมบูรณ์ เขายืนนิ่งโดยมีรอยแตกปกคลุมพื้นผิวของร่างกาย ไม่ช้าก็กระจายไปทั่วทุกตารางนิ้ว

แคร็ก!

จู่ๆ ชิ้นส่วนร่วงหล่นลงมาคล้ายกับหน้ากากหลุดลอก ชิ้นส่วนหลุดออกไปไปทีละน้อยร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมอีกรูปลักษณ์ก็เผยออกมา…

แต่คราวนี้ความมืดในดวงตาหายไป รัศมีปีศาจก็ไม่เหลือหลอ

ฮึ่ม

ขณะนี้พัดขนนกบินฉวัดเฉวียนไปมารอบตัวผู้บัญชาการตำหนักสายลม ส่งเสียงครางเบาๆ ใส่

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมตัวจริง…” มู่เฉินเข้าใจสถานการณ์ในทันที ดูท่ารัศมีปีศาจชั่วร้ายจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพที่ดูโปร่งใส ผู้บัญชาการตำหนักสายลมในปัจจุบันเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ในไม่ช้าก็จะจางหายไป

ภายใต้สายตาของพวกเขา ดวงตาของผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็กะพริบด้วยความคมชัด เขามองไปยังโถงวินาศสันตะโร ก่อนจะมองพัดขนนกข้างตัวพลางถอนหายใจเบาๆ

เขาลูบพัดขนนกก่อนที่จะโค้งคำนับให้ทั้งสามราวกับว่ากำลังแสดงความขอบคุณที่ปลดปล่อยเขาจากรัศมีปีศาจชั่วร้าย ทำให้สติเส้นสุดท้ายฟื้นคืนมา

หลังจากทำเช่นนี้ ร่างกายเขาก็ดูโปร่งใสมากขึ้นพร้อมกับประกายแสงกระจายออกจากร่างกาย ราวกับว่ากำลังจะสลายหายไป

พัดขนนกที่อยู่ข้างกายก็มีอาการโศกเศร้า เพราะรู้ว่าเจ้านายกำลังจะหายไปตลอดกาล

ใบหน้าของผู้บัญชาการตำหนักสายลมสงบนิ่ง จากนั้นก็สะบัดมือ ริ้วแสงสามสายบินออกมาพลิ้วลงที่หลังมือของทั้งสามก่อร่างเป็นทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวสามลูกพร้อมกับรัศมีเจ้าตำหนักสายลมเอิบอาบออกมา

นี่คือป้ายยินยอมของเจ้าตำหนักสายลม ด้วยสิ่งนี้พวกเขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์

“ขอบคุณผู้อาวุโส!”

ทั้งสามโค้งคำนับแสดงความขอบคุณด้วยมารยาทสูงสุดต่อผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยิ้มบาง จากนั้นร่างก็กระจายเป็นประกายแสง

เมื่อผู้บัญชาการตำหนักสายลมหายไป รัศมีของพัดขนนกก็ลดลงก่อนที่จะลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าเข้าสู่สถานะไร้เจ้าของ

เมื่อทั้งสามเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าทางเลือกของพวกเขาจะถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะได้รับป้ายยินยอมจากเจ้าตำหนักสายลม พวกเขายังได้รับสมบัติอีกด้วย

มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า เตรียมจะเก็บพัดขนนกเข้าในแขนเสื้อ

แต่ในทันใดนั้นความผันผวนก็พุ่งมาจากภายนอก มือลาวายื่นออกมาจากมิติคว้าเข้าที่พัดขนนก

ในเวลาเดียวกันเสียงที่คมชัดร้องแรงก็ดังขึ้นในโถง

“มาให้บังเอิญดีกว่ามาให้เร็ว ดูเหมือนว่าพัดเทพสายลมนี้จะเป็นโชคชะตาของข้า…”

**สุภาษิต มาให้บังเอิญดีกว่ามาให้เร็ว ความหมายประมาณว่าแบบมาให้ถูกเวลาดีกว่ามาเร็ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท