หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที ่1122

ตอนที ่1122

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1122 เข้าสู่เขตชั้นใน
เบื้องหน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์

มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้าไป ก็ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าสงบรอคอยทั้งสอง เขาไม่ได้สนใจกับสายตาพิลึกพิลั่นที่จ้องมองมา

สายตาของผู้คนวูบไหว แม้ว่าพวกเขาจะคันปากอยากถามว่ามู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูด เพราะตอนนี้มู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีพลังเท่าเดิมแค่ภายนอกเท่านั้น

แต่ซูชิงหยิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “พี่มู่ดูเหมือนจะมีพัฒนาการด้วยใช่ไหม? ยินดีด้วยนะ”

นางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เปล่งออกมาจากมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าเขาได้พัฒนาในประตูมังกรทะยานสวรรค์ บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว

โดยปกติแล้วระดับจื้อจุนขั้นเก้าไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรของนาง แต่ถ้าเป็นมู่เฉินนางก็ชักผวาหน่อยๆ

นอกจากนี้ซูชิงหยิงมั่นใจว่าเหตุผลข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ เขาจะต้องมีไพ่ตายทรงพลังอย่างอื่นอยู่ในมือแน่นอน

เมื่อได้ยินเสียงซูชิงหยิง มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบคุณ”

ซูชิงหยิงไม่ได้เสียใจกับการตอบแบบเฉยชาของมู่เฉิน นางยังคงหรี่ตายิ้มถาม “ศิษย์ระดับมังกรทองคำยากที่จะจัดการ ไม่รู้ว่าพี่มู่เอาชนะได้อย่างไร?”

พวกฉิงจิงเจ๋อ หลิ่วกุยก็เงี่ยหูฟัง

เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “โชคดีน่ะ”

ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นไพ่ตายของเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางมาเปิดเผยที่นี่ หากคู่ต่อสู้รู้เรื่องพวกนี้ คงไม่มีใครให้เวลาเขาสร้างค่ายกลตอนประมือกันในอนาคตแน่

“หลอกผีไปเถอะ!”

ทุกคนสบถด่าในใจเมื่อได้ยินคำตอบ คำพูดที่ว่าเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ด้วยโชคเอาไปหลอกได้แค่ผีจริงๆ แต่พวกเขาก็ทำอะไรเขาที่คิดจะปกปิดความลับไม่ได้

ซูชิงหยิงยิ้ม นางไม่คาดหวังอยู่แล้วว่ามู่เฉินจะเปิดเผยไพ่ตายตั้งแต่ต้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้การประเมินมู่เฉินในใจนางก็เพิ่มขึ้น คนที่คว้าตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำมาได้ ต่อให้อาศัยโชคจริงๆ ก็ต้องมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่น

จุดนี้ซูชิงหยิงที่เคยต่อสู้กับศิษย์ระดับทองคำมาก่อนรู้ดีกว่าใคร

หลังจากบทสนทนานี้ ทั่วบริเวณก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผู้คนจะเริ่มทะยานเข้าไปในประตูอีกครั้ง ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก

มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังรักษาสีหน้าสงบนิ่งรอคอยจิ่วโยวและหลินจิ้ง

เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดสายตาเขาก็เคลื่อนไหว เนื่องจากเห็นเกลียวแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับร่างร่างหนึ่งอยู่ภายใน ซึ่งนี่ก็คือจิ่วโยว

ที่เบื้องหน้าจิ่วโยว รังสีควบแน่นเป็นป้ายโบราณที่ภาพเจียวทองคำอยู่ด้านบน

นี่คือป้ายเจียวทองคำ

ความโกลาหลระเบิดในฝูงชนอีกครั้งเมื่อมองไปทางจิ่วโยวด้วยความตะลึงพรึงเพริด ภายนอกนางดูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่ได้รับป้ายเจียวทองคำ ซึ่งฉินจิงเจ๋อเป็นคนเดียวที่ได้รับมาก่อน สำหรับหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ก็ได้รับป้ายเจียวขาวเท่านั้น

นั่นหมายความว่าพลังของจิ่วโยวเหนือชั้นกว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ เสียอีก

มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้แปลกใจอะไร เนื่องจากจิ่วโยวได้รับมรดกจากวิหคอมตะโบราณ มิหนำซ้ำยังได้รับคำแนะนำส่วนตัวจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นนางจึงมีไม้เด็ดทรงพลังเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่มู่เฉินไม่ประหลาดใจกับเรื่องที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวทองคำ

“ไม่รู้ว่าหลินจิ้งจะได้ตำแหน่งไหน?” มู่เฉินมองไปที่ประตูด้วยความสนใจ กระทั่งเขาก็ไม่สามารถตรวจสอบความลึกลับของหลินจิ้งได้อย่างเต็มที่ นางมีอาวุธล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน มิหนำซ้ำยังนำตุ๊กตาน้ำแข็งที่เทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมาได้ง่ายๆ แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่เคยลงมือเอง แต่มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูจะอ่อนแอกว่าเขา

เขาไม่ได้รอนานประมาณสิบกว่านาทีเสาแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับมังกรทองส่งเสียงคำราม

นี่คือเสามังกรทองคำอีกเสา!

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางหลุดโลกไปเลย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดที่จะมีศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนปรากฏขึ้นในเวลาที่ต่อจากมู่เฉินไม่นาน!

หรือว่าความยากของประตูมังกรทะยานสวรรค์ลดลงแล้วเหรอ?

ทุกคนมีความคิดนี้แวบเข้ามาในใจแต่แล้วก็ถูกระงับ เพราะยังมีจอมยุทธ์ทรงพลังมากมายเข้าไปในประตูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตัดสินจากผลลัพธ์ก็พิสูจน์ถึงความยากลำบากในบททดสอบ

แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสาสีทอง แสงควบแน่นเป็นเงาร่างสะคราญโฉม ซึ่งจะเป็นใครได้นอกจากหลินจิ้ง?

“นั่นนาง”

ทุกคนหดตาลงด้วยความตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นหลินจิ้งเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งทรงพลังต่อกรกับซูชิงหยิงมาก่อนและรู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่านางจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองไปด้วย

นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินมีศิษย์ระดับมังกรทองคำสองคนและเจียวทองคำหนึ่งคน? ความจริงข้อนี้ทำให้ดวงตาทุกคู่แดงก่ำด้วยความอิจฉา

ในวังโบราณตอนนี้ ขั้วอำนาจทั้งหมดที่เข้ามามีมากเพียงใด? นอกจากนี้ต่างยังเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงไม่น้อย แต่สมาชิกที่พวกเขารวบรวมมากลับไม่สามารถสู้กับทั้งสามคนได้

เมื่อซูชิงหยิงเห็นภาพนี้ก็หดตาลงพร้อมกับความครั่นคร้ามวูบไหวในนัยน์ตาขณะมองไปที่ทั้งสาม ถ้าพวกเขาอยู่เดี่ยวๆ นางอาจไม่กลัว แต่เมื่อทั้งสามอยู่รวมกัน แม้แต่นางก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะปะทะด้วย

“สุดยอดมาก”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หลินจิ้ง

หลินจิ้งมองไปที่ประตูอย่างพร้อมกับความปรารถนาแรงกล้า “ใช้ได้ แม้แต่ตุ๊กตาน้ำแข็งของข้าก็ไม่สามารถจัดการกับเจ้านั่นได้ ข้าเลยต้องจัดการเอง”

มู่เฉินรู้ว่านางหมายถึงศิษย์ระดับมังกรทองคำ จากการคาดเดาของเขาต่อให้หลินจิ้งนำตุ๊กตาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมา ก็ยังยากที่จะเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำ ดูท่าสุดท้ายหลินจิ้งก็ได้ลงมือเอง

ดังนั้นเขาสามารถสรุปได้ว่าพลังการต่อสู้ของนางเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแน่นอน

องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง

หลังจากการท้าทายของจิ่วโยวและหลินจิ้ง พวกนางก็กลับมายืนเคียงข้างมู่เฉิน ในเวลานี้สมาชิกพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็มีผลลัพธ์กันทุกคนแล้ว ทว่าพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา กระทั่งจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเฉวียนหมิงก็ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวขาวเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับมู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้งเลย

“ในเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็ไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าพรรคพวกได้รับตำแหน่งเรียบร้อย มู่เฉินก็ไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ

หลังจากที่เขาได้รับป้ายมังกรทองคำก็ไม่มีใครในกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือตั้งแง่กับมู่เฉินอีกแล้ว แม้แต่เฉวียนหมิงก็ยังถอนความเย่อหยิ่ง ดูสุภาพขึ้นมากเลยทีเดียว

ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย

มู่เฉินพยักหน้าให้จิ่วโยวและหลินจิ้ง จากนั้นก็หันไปประสานมือคำนับซูชิงหยิง เขากำป้ายมังกรทองคำ เกลียวแสงระเบิดออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้แล้วเจาะผ่านค่ายกลพุ่งเข้าไปในเขตชั้นในของวังสวรรค์บรรพกาล

ด้านหลังพรรคพวกก็ติดตามมา

ทั้งกลุ่มจากไปอย่างรวดเร็วและหายไปภายใต้การถอนหายใจของฝูงชน

เมื่อฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุยและคนอื่นๆ มองกลุ่มของมู่เฉินที่จากไปก็พรูลมหายใจยาวเหยียด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจากนี้ชื่อของทั้งสามจะเขย่าทวีปเทียนหลัว

ด้วยความแข็งแกร่งที่แสดงให้ประจักษ์โดยมู่เฉินและหลินจิ้ง พวกเขาคงสามารถต่อสู้กับซูชิงหยิง เซี่ยหยู่ จาโหลหลัว พวกสัตว์ประหลาดต่างๆ ได้เลยทีเดียว

การประจันหน้ากันในวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องดุเดือดเลือดพล่านแน่นอน

ซูชิงหยิงเฝ้ามองพวกมู่เฉินที่หายไปก่อนจะบิดขี้เกียจพึมพำกับตัวเอง “มู่เฉิน…เป็นคนที่น่าสนใจ ในอนาคตเราคงได้พบกันอีก ถึงตอนนั้นข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าทำยังไงถึงได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ!”

พูดจบนางก็หมดความสนใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เท้าแตะเบาๆ เสียงครางกระหึ่มก็เปล่งมาจากแมลงวิญญาณที่ด้านล่าง ป้ายมังกรเขียวก็เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าอมเขียวพานางเคลื่อนย้ายเข้าสู่ค่ายกล

เมื่อจอมยุทธ์หัวกะทิทยอยเข้าสู่เขตชั้นในแล้ว ทุกคนก็ไม่รีรอเข้าไปในประตูกันอย่างรวดเร็วเพื่อได้รับป้ายระบุตัวตน เพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล

การเข้าไปในเขตชั้นในเท่านั้นถึงจะได้รับการพิจารณาว่ามาถึงวังสรรค์บรรพกาลแล้ว ในเวลานั้นถ้าพวกเขาโชคดีอาจจะเป็นเหมือนปลาคาร์พกระโจนเข้าสู่ประตูมังกร บางทีอาจสามารถต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดและสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปเทียนหลัวเลยก็ได้

ทันทีที่คิดได้ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท