หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1123

ตอนที่ 1123

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1123 เก้าตำหนัก
ป้ายมังกรทองคำนำพามู่เฉินผ่านค่ายกลที่ล้อมรอบวังโบราณ

เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความผันผวนรุนแรงของมิติ จากนั้นแสงวูบไหวที่เบื้องหน้าครรลองสายตา เมื่อมองขึ้นไปเบื้องหน้าวิวทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ากวาดมองภาพรอบด้าน โลกโบราณปรากฏให้เห็นออกมาพร้อมกับรัศมียิ่งใหญ่ ที่ไม่มีที่ใดในเขตชั้นนอกเทียบคียงได้

ทั่วมิติปกคลุมไปด้วยยอดเขาแหลมและแม้จะถูกทิ้งร้างมานับหมื่นปี แต่สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยคลื่นพลังงานยิ่งใหญ่ ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าเป็นสถานที่นี้เหมาะสำหรับการเพาะบ่มพลังเพียงใด

มองเห็นตึกอาคารนับไม่ถ้วนตั้งเรียงรายบนยอดเขาโดยมีน้ำตกขนาดใหญ่คล้ายกับมังกรยักษ์ม้วนตัวลงมาพร้อมกับเสียงก้องกังวาลสะท้อนระหว่างฟ้าดิน

โดยเฉพาะบนท้องฟ้ามีเกาะหินลอยอยู่นับไม่ถ้วนซึ่งเต็มไปด้วยหออาคารแสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยรุ่งเรืองมาก่อนขนาดไหน

มู่เฉินมองไปที่ฉากยิ่งใหญ่เบื้องหน้าก็อดถอนหายใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเทียบกับที่นี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูเล็กไปเลย

“นี่คือวังสวรรค์บรรพกาลเหรอ?” น้ำเสียงสงสัยของหลินจิ้งดังขึ้นข้างหลังขณะมองไปทางซ้ายทีมองไปทางขวาทีแล้วอุทานขึ้น แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงน้อยของแคว้นหวู นางก็ประเมินสถานที่นี่ไว้สูงเช่นกัน

มู่เฉินพยักหน้ากวาดตาสำรวจไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่กระเพื่อมไหวอยู่ในมิตินี้ ซึ่งน่าจะเป็นพวกล่าสมบัติที่เข้ามายังเขตชั้นในได้แล้ว

ความเงียบที่ดำเนินมานับหมื่นปีพังทลายอย่างสมบูรณ์

คนที่เข้ามาได้คล้ายกับโจรปล้นสะดมราวกับว่าต้องการพลิกพื้นดินขึ้นมาสำรวจทุกตารางนิ้ว เพราะแม้แต่คนที่โง่เขลาก็รู้รากฐานของมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ครอบครองทวีปเทียนหลัวในยุคโบราณนี้น่ากลัวเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาได้รับโอกาสก็จะเหมือนปลาคาร์พกระโจนผ่านประตูมังกร สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว

มู่เฉินหันไปมองสมาชิกจากพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ตอนนี้ทุกคนกำลังน้ำลายหกกับภาพขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ ท่าทางกระตื้อรือร้นเหมือนจะรอกันไม่ไหวแล้ว

“ทุกคนถ้าต้องการหาสมบัติกันเองก็ไปได้เลย ถ้าเจอกับอันตรายก็ขอความช่วยเหลือได้”

มู่เฉินยิ้ม คนกลุ่มนี้รวมตัวกันแบบหลวมๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา หากทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ทุกคนจะไม่ชอบใจ แต่ยังลำบากหากพบสมบัติอีกด้วย

ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะแยกกันชั่วคราวและคอยติดต่อกันไว้เท่านั้นเอง

เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือที่คันไม้คันมือมานานได้ยิน ความสุขก็ปรากฏบนหน้าและพยักหน้ารับทราบ

มู่เฉินยิ้มก่อนจะเตือนต่อว่า “แม้จะมีสมบัติมากมายในวังโบราณแต่สถานที่แห่งนี้ยังคงมีคลื่นพลังหนาแน่น มิหนำซ้ำบางจุดยังมีคลื่นหลิงเลือนรางซ่อนอยู่ ดังนั้นจงระวังอย่าไปกระตุ้นค่ายกลจนทิ้งชีวิตไป”

ทุกคนพยักหน้าขอบคุณแล้วพุ่งตัวออกไป

“หากไม่มีคนกลุ่มนี้ห้อยตามกันไป ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นสำหรับเรา” มุมปากของจิ่วโยวยกขึ้นเมื่อมองกลุ่มคนจากไป ในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้นอกจากเฉวียนหมิง คนที่เหลือคงช่วยอะไรไม่ได้หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งแต่ยังเป็นภาระอีกด้วย แต่ในตอนแรกก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะพาพวกเขา เพราะเบื้องหลังของพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนของภูมิภาคทางเหนือสนับสนุน มิฉะนั้นนี่เพียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งเดียวคงไม่สามารถข่มขั้วอำนาจชั้นนำในทวีปเทียนหลัวได้

มู่เฉินยิ้ม นี่คือเหตุผลที่เขาให้ทุกคนแยกออกจากกลุ่มไป มีสหายสองคนข้างๆ ก็พอแล้ว

“แล้วเราจะทำยังไงต่อ?” หลินจิ้งถามเสียงตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะลุยแล้ว

มู่เฉินมองออกไปครุ่นคิดครู่หนึ่ง “วังสวรรค์บรรพกาลกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากนี้ในตอนนั้นที่จู่ๆ หายไปทั้งขั้วอำนาจก็เป็นเรื่องแปลกพิสดาร ดังนั้นเราต้องระมัดระวังหน่อย…”

“ตามการคาดการณ์ของข้าชั้นแรกน่าจะเป็นตำหนักทั้งเก้า ถัดจากนั้นก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของเราทะเลสาบสวรรค์!”

วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักและเจ็ดหอ โดยที่นี่ควรเป็นพื้นที่ของตำหนักทั้งเก้าแห่ง

เมื่อได้ยินคำว่าทะเลสาบสวรรค์ ดวงตาของหลินจิ้งก็เปล่งประกายระยิบระยับ “ไม่รู้ว่าตอนนี้ทะเลสาบสวรรค์ของวังสรรค์บรรพกาลยังมีประสิทธิภาพพิเศษเหมือนอดีตหรือไม่?”

“เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจแต่แวบเดียวก็เข้าใจได้ทันทีว่า ด้วยบิดาของนางความลับของวังสวรรค์บรรพกาลไม่มีทางที่หลินจิ้งไม่รู้

หลินจิ้งพยักหน้าพลางตอบ “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดเรื่องนี้ จักรพรรดิฟ้าเป็นหนึ่งในเหตุผลที่วังสวรรค์บรรพกาลเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว แต่ทะเลสาบสวรรค์ก็เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลเช่นกัน ในเวลานั้นจุดประสงค์ของอัจฉริยะมากมายที่มาร่วมกับที่นี่ก็คือการได้ทำพิธีชำระล้างในทะเลสาบ”

“ว่ากันว่าการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์สามารถเปลี่ยนร่างกายผู้ฝึกและปรับแต่งคลื่นหลิงในเวลาเดียวกัน มากจนสามารถกล่อมเกลาร่างเทห์สวรรค์จนยกขึ้นอีกระดับ”

“มีข่าวลือกันว่าเคยมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้บรรลุเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนตอนทำพิธีชำระด้วย”

สายตาของจิ่วโยวสั่นไหว ตัวนางเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนแล้ว นางรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะทำลายห่วงนี้ได้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในใต้หล้านี้ล้มเหลว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการนี้ยากเพียงใด

บางทีข่าวลือที่หลินจิ้งพูดอาจจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความหัศจรรย์ของทะเลสาบสวรรค์แล้ว

มู่เฉินยิ้มบาง “แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติที่จะรับพิธีชำระล้าง ตามกฎศิษย์ต้องได้รับความเห็นชอบจากเก้าตำหนักและรับป้ายมาเท่านั้นถึงสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์ได้”

“แม้ว่าวังสวรรค์บรรพกาลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน แต่ข้าเชื่อว่ากฎยังคงอยู่เหมือนกับประตูมังกรทะยานสวรรค์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องค้นหาตำหนักทั้งเก้าก่อน ดูสิว่าสามารถได้รับป้ายมาหรือไม่?”

จิ่วโยวพยักหน้า ด้วยจำนวนจอมยุทธ์หัวกะทิมากมายที่เข้ามา ทั้งหมดก็น่าจะมุ่งสู่ทะเลสาบสวรรค์ ในเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทุกคนก็ต้องเร่งรีบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

มู่เฉินก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมากโบกมือเป็นสัญญาณทันที “ไปเถอะ เราควรไปได้แล้ว”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองฟ้าดินกว้างใหญ่ ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังเกาะหินลอยแห่งหนึ่ง

จิ่วโยวและหลินจิ้งติดตามไปอย่างใกล้ชิดที่เบื้องหลัง เปิดฉากการผจญภัยในวังสวรรค์บรรพกาล

ทั้งสามไม่ได้เก็บเกี่ยวใดๆ ในเกาะหินแห่งแรก เนื่องจากอาคารทั้งหลายกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าจะพบอาวุธโบราณบางอย่าง แต่ก็ซีดจางจนกำลังจะแตกหัก

แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมบนเกาะ มู่เฉินก็เดาได้ว่าต้องเกิดการสู้รบสะเทือนฟ้าดินขึ้นที่นี่

การค้นหาครั้งแรกล้มเหลว แต่ทั้งสามคนก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ยังคงมุ่งหน้าสำรวจไปรอบๆ

ขณะที่พวกเขาสำรวจเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็พบบางอย่างที่ทำให้ปวดหัว เกาะหินลอยเหล่านี้มีบางส่วนถูกล้อมรอบด้วยค่ายกล แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้ทรงพลังเกินไป แต่ก็สามารถปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาได้ เว้นแต่พวกเขาจะทำลายค่ายกล ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าด้านในเกาะเป็นอย่างไร

ทว่ามีเกาะหินลอยเคว้งคว้างในวังโบราณนับพันนับหมื่น หากพวกเขาต้องทำลายค่ายกลและสำรวจทีละเกาะ จะเสียเวลาไปนานเท่าไร?

ทั้งสามรู้สึกจนใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลและตรวจสอบไปทีละเกาะเท่านั้น ทว่าโชคดีที่ความช่วยไม่ได้อยู่ไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการเก็บเกี่ยวบนเกาะหินแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่น

มู่เฉินพบม้วนคัมภีร์หยกข้างซากกระดูกโครงหนึ่ง ซึ่งในม้วนคัมภีร์หยกไม่ได้บันทึกทักษะพิเศษอะไรไว้ แต่เป็นแผนที่ธรรมดา

ทว่าในสายตาของเขาแผนที่นี่คือขุมทรัพย์

นั่นเป็นเพราะแผนที่นี้แสดงถึงการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนของวังสวรรค์บรรพกาล โดยมีจุดที่ตั้งของเก้าตำหนักและห้าหอ

ด้วยสิ่งนี้พวกเขาสามารถละเกาะหินที่ไม่สำคัญตรงไปยังตำหนักทั้งเก้าได้เลย

“มู่เฉิน เจ้าเจ๋งมาก!” หลินจิ้งกระโดดตัวลอย เกาะหินว่างเปล่าก่อนหน้าทำให้นางรู้สึกหดหู่ใจ

มู่เฉินยิ้มกว้างกวาดสายตามองแผนที่จากนั้นก็มองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ “ตามแผนที่นี้ ตำหนักสายลมตั้งอยู่ในทิศทางนั้น เราไปสำรวจกันเถอะ”

ตำหนักสายลมเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีผู้ดูแลเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นจะต้องมีสมบัติแท้จริงให้คว้าแน่นอน

“ไป!”

สายตาของมู่เฉินลุกโชน กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไปในทิศทางที่ระบุไว้ในแผนที่โดยไม่ลังเลใดๆ

ภายใต้แผนที่ระบุสถานที่ชัดเจน พวกมู่เฉินใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก่อนที่จะหยุดตัวลง เกาะหินธรรมดาปรากฏต่อหน้าพวกเขา

ทว่าไม่มีใครคิดว่าเกาะที่ดูธรรมดาแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในเก้าตำหนัก—ตำหนักสายลม!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท