หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1129

ตอนที่ 1129

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1129 จู้เยี่ยน
เมื่อมือลาวาแหวกมิติคว้าพัดขนนกไป

ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนกล้าขโมยปลาใหญ่จากพวกเขา…

“ไอ้หนูขี้ขโมยตัวไหน? ไสหัวออกมา!” สีหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลง หากใครก็ตามที่เห็นว่าการเก็บเกี่ยวที่พวกเขาต่อสู้อย่างหนักไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ก็คงไม่มีใครรู้สึกดีเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเคลื่อนไหวทันที ขนนกสีม่วงปรากฏเบื้องหน้าลุกโชนด้วยเพลิงโปร่งใส ความผันผวนที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวลง

วาบ!

ขนสีม่วงพุ่งออกมาปะทะมือลาวา

เมื่อขนนกสีม่วงเข้าใกล้มิติก็ผันผวนอีกครั้ง มือลาวาอีกข้างปรากฏขึ้นจับเพลิงโปร่งใสไว้ เมื่อหินหนืดไหลลงมาก็แผดเผาเพลิงโปร่งใส สุดท้ายก็เป็นมือลาวาแข็งแกร่งกว่าดับเพลิงโปร่งใสได้ในที่สุด

“หืม? ช่างเป็นเพลิงรุนแรงอะไรเช่นนี้… ทรงพลังจริงๆ” แม้ว่าเพลิงโปร่งใสจะดับลง แต่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นตามมา เปลวไฟธรรมดาไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา แต่เพลิงโปร่งใสเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามบางเบา หากไม่ใช่เพราะเจ้าของเพลิงด้อยกว่าเขาในแง่ขุมพลังก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับเพลิงเหล่านั้นได้

ขณะที่มิติแปรปรวน ร่างเงาสีแดงเข้มก็เผยขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งสามจ้องมองไปก็เห็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีแดงเพลิง หินหนืดไหลเวียนอยู่บนร่างกายเขา ราวกับภูเขาไฟที่มีความผันผวนรุนแรงและเผาผลาญเอิบอาบออกมา

นอกจากนี้ยังมีรัศมีอันตรายอย่างยิ่ง

เมื่อมู่เฉินเห็นชายคนดังกล่าว ดวงตาก็หดลง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้จากชายคนนี้เกินกว่าซูชิงหยิงซึ่งพบมาก่อน ในทวีปเทียนหลัวอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่คนเดียวที่อยู่เหนือซูชิงหยิงได้เด่นชัดเพียงนี้…

“ไม่คิดว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับหนึ่งทวีปเทียนหลัวจะชอบลักของคนอื่น” เสียงไม่แยแสของมู่เฉินสะท้อนก้องโดยไม่ลังเล

จิ่วโยวไม่แปลกใจ ชัดว่าเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้นานแล้วเช่นกัน

จู้เยี่ยนยิ้มบางขณะถือพัดขนนกโบกไปมา “สมบัติชิ้นนี้เป็นโชคชะตาของข้า เพราะมันเข้ามาสู่สถานะไร้เจ้าของตอนที่ข้ามาพอดี นั่นก็แปลว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะเอาไป”

“เชอะ! พวกเผ่าเทพอัคคีทำไมไร้ยางอายอย่างนี้?” หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นใส่ สายตาจ้องเขม็งไปที่จู้เยี่ยนพร้อมกับความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา

“เสี่ยวปิงจัดการเขา!”

เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ

วาบ!

ตุ๊กตาน้ำแข็งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว ไอเย็นเยือกกวาดออกไปปรากฏตัวข้างหลังจู้เยี่ยนโดยมีหอกที่ทำหน้าที่คล้ายกับอสรพิษเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะศัตรู

ตู้ม!

แต่จังหวะที่หอกกำลังจะแทงลงไป จู้เยี่ยนก็ตบฝ่ามือไปข้างหลัง ภูเขาไฟปรากฏขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวจะพวยพุ่งออกมา

ปัง!

หอกน้ำแข็งสลายไปในทันที ตุ๊กตาน้ำแข็งราวกับได้รับความเสียหายหนัก ปลิวออกไปเป็นพันจั้งถึงสามารถทรงตัวได้ ทว่าก็มีรอยไหม้เกรียมอยู่บนแขนของมันเลือนราง

จู้เยี่ยนเผยให้เห็นพลังที่น่ากลัวเมื่อออกกระบวนท่าโจมตี บังคับให้ตุ๊กตาน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือเดียว

มู่เฉินหรี่ตาลง ความแข็งแกร่งของจู้เยี่ยนน่ากลัวอย่างแท้จริง มิน่าล่ะเขาถึงสามารถครองตำแหน่งเจ้าทำเนียบและปราบปรามจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัวได้ ตามการคาดการณ์จู้เยี่ยนน่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว ซึ่งอยู่ห่างขุมพลังตี้จื้อจุนอีกครึ่งก้าวเท่านั้น แม้แต่มู่เฉินก็หวั่นเกรงพลังเช่นนั้น

“หืม? ตุ๊กตาน้ำแข็ง? เจ้ามาจากเผ่าเทพน้ำแข็งเรอะ?” ผลักตุ๊กตาน้ำแข็งกลับด้วยฝ่ามือได้ ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็เปลี่ยนไปขณะมองหลินจิ้งด้วยความประหลาดใจ

เขารู้ว่ามีเพียงเผ่าเทพน้ำแข็งเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งตุ๊กตาน้ำแข็งได้ ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพอัคคี เขารู้ดีเกี่ยวกับไอเย็นสุดขั้วที่ไม่เหมือนใครนี้

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” สีหน้าหลินจิ้งไม่น่าดู ใบหน้าตึงเกร็ง แสดงให้เห็นว่านางไม่พอใจมากเลยทีเดียว

จู้เยี่ยนไม่ได้เก็บมาใส่ใจทำเพียงยิ้มบาง “ถึงแม้ตุ๊กตาน้ำแข็งจะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า”

พูดถึงจุดนี้เขาก็มองไปที่ทั้งสามยิ้มให้ “ดูเหมือนพวกเจ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา บางทีข้าอาจได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะให้หน้าข้ามั่งได้ไหม?”

“หน้าเจ้านี่ใหญ่จริงๆ เลยนะ” จิ่วโยวเค้นเสียง ของมีค่าอย่างอาวุธมหสวรรค์อย่างน้อยก็ขายได้นับร้อยล้านหยดของเหลวจื้อจุน แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดยังไม่สามารถคั้นผลรวมนี้ออกมาได้ ดังนั้นจิ่วโยวจึงรู้สึกโกรธมากเมื่อจู้เยี่ยนหน้าด้านขอไปดื้อๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงพลังของฝ่ายตรงข้าม นางคงขยับตัวจัดการแล้ว

“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เรอะ?” ใบหน้าที่เย็นชาของหลินจิ้งเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ นางจ้องมองจู้เยี่ยนด้วยท่าทางสงบ

จู้เยี่ยนอึ้งไปชั่วครู่ขณะมองไปที่หลินจิ้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางเบาแผ่ซ่านออกมาจากหญิงสาวคนนั้น

เขาหรี่ตาพร้อมกับแสงแวววาวก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเจ้าสามคนยืนกรานจะหยุดข้า งั้นก็ลองดูสิ”

ไม่ว่าพวกเขาจะมีไพ่ตายอะไร จู้เยี่ยนก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ด้วยความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในแกนกระดูก หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าทั้งสามไม่ใช่ธรรมดา เขาก็คงไม่ใส่ใจที่จะพูดด้วย คงคว้าสมบัติออกไปเลย

ใบหน้าหลินจิ้งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ นางก้าวออกมาแสงหลิงปรากฏบนปลายนิ้ว

แต่ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ยื่นมือออกมาขวางหลินจิ้ง นางมองไปที่เขาแต่ไม่ได้พูด เนื่องจากรู้ดีว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ต่อชื่อเสียงที่จู้เยี่ยนมี

“ปล่อยให้ข้า” ความจริงไม่ผิดจากที่คิด เขายิ้มให้หลินจิ้งพลางเอ่ย

เมื่อได้ยินนางก็ลังเลชั่วครู่เพราะนางเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉิน ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ มู่เฉินอาจไม่ใช่คู่มือของจู้เยี่ยน ถึงยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนจู้เยี่ยนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

แต่สุดท้ายหลินจิ้งก็ยังคงพยักหน้า เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินไม่ใช่คนชอบโอ้อวด การที่เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขามีความมั่นใจที่จะทำให้สำเร็จ

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินด้วยม่านตาสีแดงเข้มราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา เขาตรวจสอบมู่เฉินก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

ไม่ได้มีเจตนาดูถูกในน้ำเสียงของเขา เขาเพียงบอกข้อเท็จจริงเท่านั้น

ในสายตาเขา นอกจากหญิงสาวน่ารักที่ดูลึกลับนั้น จิ่วโยวกับมู่เฉินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอันตรายเลย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจในความกล้าหาญของมู่เฉิน

มู่เฉินไม่โกรธคำพูดนี่ ในทางตรงกันข้ามเขายิ้มตบเสาที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ซึ่งเป็นเสาเดียวที่เหลืออยู่ในโถงทั้งหมด

“สหาย ถ้าเจ้าวางของลงตอนนี้ ข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเจ้าจะสามารถออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินยิ้ม

จู้เยี่ยนมองดูมู่เฉินราวกับว่าเป็นเรื่องตลกพลางยักไหล่ “ข้ารู้สึกว่าเป็นตัวเองนะที่ควรพูดคำนี้”

เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกที่บางคนที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นพูดคำเหล่านั้นใส่ เขาไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้วซึ่งเขาคิดว่าตลกมาก

“ก็หมายความว่าเจ้าปฏิเสธข้อเสนอของข้ารึ” มู่เฉินเบ้ปาก

“ใช่ ข้าปฏิเสธ” จู้เยี่ยนพยักหน้าแบบสบายอารมณ์

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ขณะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง “น่าเสียดายจริงๆ… เจ้าทรงพลังอย่างแท้จริง แต่หลายครั้งคนที่ยิ้มคนสุดท้ายมักไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป”

“โอ้?” จู้เยี่ยนยิ้มขณะก้มมองลาวาที่ไหลระหว่างนิ้ว “งั้นคนแบบไหนที่สามารถยิ้มได้เป็นคนสุดท้ายล่ะ?”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉินขณะตอบว่า “คนโชคดี”

จู้เยี่ยนขมวดคิ้ว

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อ เขาตบเสาข้างๆ อีก แต่คราวนี้จู้เยี่ยนเห็นแสงวูบวาบในฝ่ามือของมู่เฉินรวมเข้ากับเสา

ก่อนที่เขาจะทันคิดออก เขาก็รู้สึกได้ว่าทั้งโถงสั่นสะเทือน หินใหญ่น้อยเริ่มร่วงหล่นลงมาจากด้านบน

จู้เยี่ยนตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็เห็นว่ารอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาเผยให้เห็นท้องฟ้าและค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งตำหนัก

ค่ายกลนี้ก็กางกั้นตัวเขามาเป็นเวลานาน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเตรียมพร้อมก็คงไม่สามารถเข้ามาในโถงนี้ได้

ขณะนี้เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างค่ายกลระดับจงซือและมู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จู้เยี่ยนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท