หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1137

ตอนที่ 1137

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1137 เส้นทางศัตรูที่แคบนัก
เมื่อมู่เฉินพุ่งออกมาจากหมอกพิษหนาแน่น

สิ่งที่เขารู้สึกได้อย่างแรกก็คือสายตาเฉียบคมที่จ้องมาหา เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นก็ฟาดฟันสายตากับเซี่ยหยู่พอดี

เซี่ยหยู่เผยรอยยิ้มประดับที่มุมปากแต่ไม่ได้ปกปิดอาการถากถางและเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่ ‘ประหลาดใจ’ เล็กน้อยที่เห็นมู่เฉินที่นี่

มู่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเซี่ยหยู่ ก่อนที่จะกลับไปมีท่าทางสงบนิ่ง ทว่าก็มีแสงเฉียบคมวูบไหวในดวงตาเขา

เซี่ยหยูแสดงความคิดดำมืดตั้งแต่ในอุโมงค์เดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พยายามทำลายเส้นทางของพวกมู่เฉินหวังว่าจะฆ่าพวกเขาในมิติสับสนวุ่นวาย ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างแท้จริง

“ฮ่าๆ พี่มู่ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวของดีในเกาะตำหนักมังกรได้นะ ไม่รู้ว่ามาพูดคุยกันหน่อยได้ไหม?” เซี่ยหยูมองมู่เฉินที่อยู่ไกลพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

จอมยุทธ์หลายสิบที่อยู่รอบเซี่ยหยู่ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังดูเหยื่อที่ตกไปในหลุมพรางที่พวกเขาขุดไว้แล้ว

ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความมั่นใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาที่มีพลังน่ากลัว เนื่องจากมีจอมยุทธ์ในทำเนียบสิบห้าอันดับแรกของทวีปเทียนหลัวอยู่เกือบสิบคน ซึ่งล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยหยู่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรที่อยู่ในอันดับสี่พร้อมกับขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มซึ่งเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่

ส่วนมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น ซึ่งสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย!

ที่ด้านหลังเซี่ยหยู เซี่ยหงก็เขม่นมองมู่เฉินด้วยแววตาโหดเหี้ยมสะใจ เขากำลังคิดแล้วว่าจะจัดการกับมู่เฉินยังไงดี

ทิศทางอื่นของเกาะเมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ส่ายหัวมองมู่เฉินด้วยสายตาเวทนา ชายคนนี้ซวยจริงๆ ตกเป็นเป้าของพวกเซี่ยหยู่ตั้งแต่ก้าวออกมา

ด้วยนิสัยของเซี่ยหยู่ไม่ว่ามู่เฉินจะได้รับสมบัติอะไรจากเกาะมังกร เขาคงจะถูกถลกหนังหัวออกมาทั้งเป็นแน่

ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้คน มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนให้เซี่ยหยู่พลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเจ้า อย่าเลยดีกว่า”

พอได้ยินคำตอบของมู่เฉิน เซี่ยหยู่ก็อึ้งไปก่อนจะส่ายหัวพลางหัวเราะออกมา

“ไอ้โง่! แกคิดว่าพี่เซี่ยกำลังถามความคิดเห็นอยู่เรอะ?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่มีคลื่นผันผวนรอบกายก็มองมาที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายสาดรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “ในเมื่อแกไม่เข้ามาดีๆ งั้นข้าก็มา ‘เชิญ’ เป็นการส่วนตัว”

“ตู้ม!”

คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างชายคนนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับก็อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่ใช่พวกอ่อน เนื่องจากอยู่ในอันดับที่สิบห้าของทำเนียบ

ชายคนนั้นก้าวออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับแสงหลิงพวยพุ่งจากฝ่ามือใหญ่ แสงขยายขนาดเป็นร้อยจั้งพุ่งออกมาด้วยความตั้งใจที่จะจับตัวมู่เฉิน

เมื่อชายคนนั้นเคลื่อนไหวก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในบริเวณนี้ “นั่นจอมยุทธ์อันดับที่ห้าสิบบนทำเนียบ—หลูฉิว!”

“พลังกายของหลูฉิวทรงประสิทธิภาพมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยซัดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าสามคนตายด้วยหมัดของเขา”

“เจ้านั่นไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกล้าพูดอย่างนั้นกับเซี่ยหยู่ได้ ทีนี้ต่อให้เขาจะถวายสมบัติให้ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”

ภายใต้เสียงอุทาน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มือใหญ่พร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา อึดใจแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏบนแขนขวาของเขาพร้อมกับกรงเล็บมังกรและปีกหงส์ฟ้ายื่นออกมาห่อหุ้มนิ้วทั้งห้าของมู่เฉิน

แรงน่ากลัวระเบิดออกมาคล้ายกับกระแสน้ำจากแขนของมู่เฉิน

เขาเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ แสงสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าปะทะกับฝ่ามือที่บีบกดลงมา

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อหลูฉิวเห็นว่ามู่เฉินกล้าที่จะปะทะกันตรงๆ เขาก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม แต่ทันใดนั้นม่านตาก็ต้องหดแคบลง

นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวกำลังแผ่ออกมาจากหมัดของมู่เฉิน

มิหนำซ้ำยังได้ยินเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าอย่างคลุมเครืออีกด้วย

ตู้ม!

คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าครอบคลุมรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง ผู้คนที่เห็นผลกระทบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยาราวกับว่าเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นร่างหลูฉิวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถูกระเบิดซัดออกมาในสภาพที่น่าสมเพช!

หลูฉิวถูกมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซัดหน้าหงายปลิวจากหมัดหลุ่นๆ!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้คนมีสีหน้าหวาดผวา ชัดว่าไม่อยากจะเชื่อว่าฉากเบื้องหน้าเป็นเรื่องจริง ในความคิดพวกเขาควรเป็นมู่เฉินที่ถูกหลูฉิวซัดจนสิ้นท่า!

ตู้ม!

ทว่าถึงพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหนร่างหลูฉิวก็ปลิวออกไปแล้ว เซี่ยหยู่ก็ดวงตาหดลงกับภาพนี้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ร่างหลูฉิวเหมือนได้รับการประคองจากมือขนาดใหญ่ ไม่ขยับออกไปอีก

“ฮะฮา น่าเกรงขามจริงๆ…” เซี่ยหยู่ยิ้มบางให้มู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้มีระลอกคลื่นอะไรมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์ปัจจุบันได้

แม้ว่าหลูฉิวจะมีความสามารถ แต่ในกลุ่มของพวกเขา จอมยุทธ์ระดับนี้ยังมีอีกหลายคน

“มอบสมบัติเกาะมังกรมาซะแล้วตัดแขนไถ่โทษ จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าออกไป” เซี่ยหยู่หลุบตาลงขณะที่เขาพูดออกมาแบบไม่ใส่ใจ

มู่เฉินยิ้มอ่อนตอบสนองให้ แม้จะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาบอกถึงการตัดสินใจแล้ว

ไอเย็นเยียบรวมตัวกันในดวงตาของเซี่ยหยู่ ในมุมมองของเขามู่เฉินโง่เง่าอย่างที่สุด ทั้งยังมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันและแสดงท่าทีที่มั่นใจ ซึ่งเท่ากับเรียกร้องความตายจริงๆ

เขายกมือขึ้นตั้งใจที่จะให้คนอื่นจัดการ นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินมีค่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง

แต่ขณะที่เซี่ยหยู่ยกมือขึ้น หมอกพิษก็กระเพื่อมอีกครั้ง เงาร่างอีกสามร่างทะยานออกมาหยุดอยู่ข้างมู่เฉิน

“หุๆ มู่เฉิน เจ้านี่ดึงดูดปัญหาเก่งจริงๆ แค่นำหน้าพวกข้าออกมาก้าวเดียวก็ชนกับปัญหาอีกครั้งแล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเมื่อเงาทั้งสามปรากฏตัว

หญิงสาวสามคนที่ปรากฏกะทันหันทำให้พวกแคว้นเซี่ยอึ้งไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่หญิงสาวสามคน ก็โล่งใจขึ้นมา

“เฮ้ มีสามสาวงามตามมาด้วย ไอ้เวรแกคิดว่าพวกนางสามารถปกป้องแกได้เหรอ? ข้าว่าแกส่งมอบสมบัติจากเกาะมังกรมาซะจะดีกว่านะ?” ด้านข้างเซี่ยหยู่ จอมยุทธ์ที่มีรูปลักษณ์ขี้เหร่เห็นสาวสะคราญโฉมสามคน ดวงตาก็เปล่งประกายก่อนจะพูดขึ้นมา

เพียงแค่พูดประโยคเดียว แสงเย็นก็วูบวาบในนัยน์ตาของเซียวเซียวก่อนที่นางจะยกมือขึ้นสะบัดไปในอากาศ

เพียะ!

มิติแปรปรวน วินาทีต่อมาชายที่เพิ่งพูดก็โดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง รอยมือแดงก่ำปรากฏบนใบหน้า เขาหมุนตัวไปร้อยแปดสิบองศาจากการตบเดียว

“นังนี่!”

เมื่อจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยเห็นภาพนี้ก็มองไปที่เซียวเซียวอย่างโกรธแค้น ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือจัดการภายใต้สถานการณ์นี้

ทว่ามีเพียงเซี่ยหยู่เท่านั้นที่หดดวงตาลง เนื่องจากเขาเห็นว่าการตบนั้นลึกลับเพียงใดแม้ว่าจะดูสบายๆ

หญิงสาวสะคราญโฉมผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่

“คิกๆ พวกข้าได้รับสมบัติของเกาะมังกรจากความพยายาม ทำไมต้องให้พวกแกด้วย?” หลินจิ้งยิ้มบาง

เซี่ยหงที่มีแขนหายไปจากฝีมือมู่เฉินก็แสยะยิ้มน่ากลัวอยู่ข้างหลังเซี่ยหยู่ “ทำไมต้องให้? ก็เพราะพวกข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไง พี่ชายข้าเป็นศิษย์มังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาลนะ!”

คำพูดนี่ทำให้เกิดความปั่นป่วน หลายคนมองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยสายตาเคารพ นั่นเป็นเพราะใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะได้รับป้ายประจำตัว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำมีสถานะอย่างไรในวังสวรรค์บรรพกาล

เซี่ยหยู่ไม่ได้พูด แค่เพียงจ้องไปกลุ่มสี่คนของมู่เฉิน ทว่าก็แอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ทั้งสี่มองไปที่เซี่ยหยู่ด้วยความประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าเซี่ยหยู่จะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำซึ่งสูงกว่าซูชิงหยิงอีก…

ทว่าทั้งสี่คนก็ประหลาดใจเพียงสั้นๆ ไม่ได้มีแววเคารพในการสายตาเหมือนคนอื่น ในทางกลับกันพวกเขาสบตากันด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น

“ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ?” หลินจิ้งเปิดหัวเราะเป็นคนแรก เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้มู่เฉินก็รู้ทันทีว่านางกำลังจะตบหน้าพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว

ตามคาดประกายแสงสีทองปรากฏบนมือของหลินจิ้งจากนั้นก็โบกมือเบาๆ ทันใดนั้นเสาสีทองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีมังกรสีทองขดอยู่รอบเสา

เสาสีทองนี้ทำให้จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นสติมองป้ายสีทองในมือหลินจิ้งด้วยความหวาดผวา

แม้แต่เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป

“นะ…นั่นคือป้ายมังกรทองคำ?!”

ผู้คนอุทาน ใครจะคาดคิดว่าสาวสวยคนนี้จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

เซียวเซียวกะพริบตาวิบวับกับฉากนี้พลางยิ้มให้เซี่ยหยู่อย่างทรงเสน่ห์ก่อนที่ป้ายสีทองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเสาสีทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อเห็นการกระทำของสหายทั้งสองคนมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเห็นสีหน้าเซี่ยหยู่ไม่น่าดูมากขึ้นและรู้สึกมีความสุขที่ได้ตีสุนัขตัวนี้ให้ล้มลงแล้วตามกระทืบซ้ำ ดังนั้นเขาจึงสะบัดนิ้วออกป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ตู้ม!

เสาสีทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกลุ่มของมู่เฉิน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นน่าตกใจยิ่งนัก

ในทางกลับกันพวกแคว้นเซี่ยก็ตะลึงพรึงเพริดไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าของเซี่ยหงก็ซีดลง เขาคิดเพียงว่าต้องการใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเพื่อระงับขวัญกำลังใจของอีกฝ่าย แต่ใครจะคิดได้ว่าไม่เพียง แต่ขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังหยิบป้ายมังกรทองคำออกมาให้ดูถึงสามป้าย…

มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่เซี่ยหงที่หน้าซีดเซียวจากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าไม่น่าดูของเซี่ยหยู เผยรอยยิ้มอ่อน “ศิษย์ระดับมังกรทองคำเหรอ? แหมบังเอิญจริงๆ พวกข้าก็เป็นเหมือนกัน…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท