หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1139

ตอนที่ 1139

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1139 พบหน้าจาโหลหลัวครั้งแรก
ออกจากเกาะมังกร

พวกมู่เฉินทั้งสี่ใช้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคนในการข่มขู่ผู้อื่น แม้ว่าผู้คนจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้รับสมบัติมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะโจมตีหรือติดตามไป ขนาดเซี่ยหยู่ยังได้แต่จ้องมองพวกมู่เฉินจากไปโดยไม่กล้าเคลื่อนไหว

หลังจากออกจากเกาะมังกรพวกมู่เฉินก็ไม่ได้สำรวจเกาะอื่นๆ แม้ว่าอาจจะมีสมบัติอื่นอีก แต่เเป้าหมายหลักของพวกเขาในตอนนี้คือทะเลสาบสวรรค์ในตำนาน

เพราะการรับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นโอกาสที่หายากมากสำหรับจอมยุทธ์แบบพวกเขาที่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุน แม้แต่คนที่มีสถานะแบบเซียวเซียวและหลินจิ้งยังสนอกสนใจ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย

หลังจากยืนยันเป้าหมายของกลุ่ม ทั้งสี่คนก็เร่งรุดเดินทางโดยใช้เวลาครึ่งวันผ่านเกาะต่างๆ ด้วยความเร็วเต็มที่

พวกเขาปรากฏตัวบนเกาะโดดเดี่ยวและกวาดสายตาไปรอบๆ

ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารัศมีหนึ่งร้อยลี้เริ่มว่างเปล่า ไม่มีเกาะหินลอยอีกให้เห็น พวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของหมู่เกาะหินลอยแล้ว

“ที่นี่อยู่ใกล้กับส่วนลึกของวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”

มู่เฉินมองออกไป ความหนาแน่นของคลื่นหลิงที่นี่ไม่น่าเชื่อ หมอกหลิงลอยไปมากระทั่งเมฆสีรุ้งก็สามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้า ซึ่งนี่เกิดจากการก่อตัวขึ้นหลังจากคลื่นหลิงควบแน่นจนน่าตกใจ

เมื่อสายตาพุ่งตรงไปก็สามารถมองเห็นเจดีย์กระดำกระด่างบนยอดเขา บริเวณไกลออกไปอีกก็เห็นเค้าโครงของวังโบราณเลือนราง

ชั้นฟ้าและชั้นดินโอบล้อมด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและเก่าแก่

“หลังจากพ้นแนวเกาะนี้ก็น่าจะใกล้ถึงทะเลสาบสวรรค์แล้ว” มู่เฉินหยิบแผนที่ออกมาดูก่อนที่จะพูดหญิงสาวทั้งสาม

เซียวเซียวพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ฟ้าดินเงียบงัน แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูสงบไม่มีอันตราย แต่นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เจ้ารู้สึกได้เหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นท่าทางของนางก็ยิ้มออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” หลินจิ้งถามด้วยความสงสัย นางก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถหาต้นตอของอันตรายนั้นได้

จิ่วโยวกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบต้นตอปัญหาเช่นกัน

“เห็นเสาเหล่านั้นไหม?” มู่เฉินชี้ไปที่เสาแสงขนาดเท่ากำปั้นที่ดูเหมือนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับลำแสงธรรมดา

เมื่อได้ยินคำเตือนของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามก็รู้สึกถึงความผันผวนแปลกประหลาดที่มาจากเสาแสงเหล่านั้น

เซียวเซียวสะบัดนิ้วคลื่นหลิงกวาดออกไปปัดก้อนหินเล็งไปที่เสา แต่เมื่อหินสัมผัสกับเสาก็ถูกเฉือนออกเป็นสองท่อนรอยตัดราบเรียบราวกับกระจก เสานี้ช่างนั้นคล้ายกับใบมีดแหลมคม

“หืม?” หญิงสาวทั้งสามประหลาดใจไป

“มีค่ายกลตั้งอยู่ในกลุ่มเมฆเหล่านั้น คลื่นหลิงจะรวมตัวกันและยิงลงมาคล้ายกับตาข่ายห่อหุ้มฟ้าดิน เสาเหล่านั้นแหลมคมมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังได้รับบาดเจ็บและเสียแขนขาได้” มู่เฉินชี้ไปที่เมฆล่องลอยขณะอธิบาย

เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำ ใบหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไปเบาบาง หากพวกนางพุ่งเข้าไปโดยไม่มีการป้องกันใดๆ ก็ต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งนี้

“ทำไมวังสวรรค์บรรพกาลจึงเต็มไปด้วยกับดักอันตราย?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

“นี่น่าจะเป็นวิธีการป้องกันของวังที่เปิดใช้ตอนจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกทวีปเทียนหลัว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถูกปิดอีก” มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากเขาเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่สวมเกราะและอาวุธหักพังกองอยู่บนพื้นที่ไกลออกไป โครงกระดูกเหล่านั้นเปล่งรัศมีแวววาวจางๆ ซึ่งบ่งบอกว่าก่อนตายพวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง

ดูเหมือนในตอนนั้นจะเกิดสงครามดุเดือดที่วังสวรรค์บรรพกาล ถึงได้ทำให้สูญเสียจอมยุทธ์จำนวนมากขนาดนี้

“แต่ทำไมถึงไม่เห็นพวกศพปีศาจเลยล่ะ?” จู่ๆ มู่เฉินก็นึกบางอย่างออก รู้สึกว่าตั้งเข้ามาเขายังไม่เห็นศพปีศาจสักร่างอยู่ที่นี่

“นั่นเป็นเพราะรัศมีปีศาจที่พวกปีศาจฝึกฝนไม่เข้ากันกับมหาพันภพ ดังนั้นหลังจากตายซากศพของพวกมันก็ได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงในฟ้าดินเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกไว้ให้เห็น” หลินจิ้งอธิบาย เรื่องพวกนี้จอมยุทธ์ทั่วไปไม่รู้ แต่นางไม่เหมือนพวกเขา ในฐานะธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม นางรู้ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิปีศาจไม่น้อย

เมื่อได้ยิน มู่เฉินก็เข้าใจขึ้นมา

“งั้นก็ลุยต่อเถอะ แม้ว่าเสาแสงเหล่านี้จะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าระมัดระวังก็หลีกเลี่ยงได้ ” มู่เฉินพูดกับทั้งสามก่อนจะค่อยๆ ทะยานออกไป เมื่อเขาเข้าไปใกล้บริเวณเสาแสงก็ปาดซ้ายปาดขวาหลบหลีก ในเวลาเดียวกันเสาเหล่านั้นก็ไม่ได้ไล่ตามเขา เนื่องจากชัดเจนว่าจะต้องเกิดข้อบกพร่องจากกาลเวลาที่ผ่านไป

เมื่อทั้งสามเห็นว่ามู่เฉินเดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัย พวกนางก็รู้สึกโล่งใจติดตามเขาไปอย่างรวดเร็ว

บริเวณนี้ทำให้ความเร็วในการเดินทางลดลง แต่ด้วยคำเตือนของเขา ทั้งสี่ก็ผ่านบริเวณที่อันตรายในตอนแรกไปได้อย่างง่ายดาย

หลังจากผ่านบริเวณเมฆหลิงพวกมู่เฉินก็เร่งความเร็วเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเริ่มชะลอตัวลง

นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ยินเสียงแปลกดังมาจากระยะไกล

ซ่า-ซ่า!

นั่นคือเสียงน้ำใสกระจ่าง

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงก็รู้สึกอย่างชัดเจนถึงแรงดึงดูดของคลื่นหลิงในร่างกายที่เริ่มปั่นป่วน สัมผัสช่างคล้ายกับคนที่กำลังจะขาดน้ำตายได้เจอกับบ่อน้ำใส…

ทั้งสี่รับรู้ถึงพลังงานในร่างกายกวนตัววุ่นวาย ก็รีบระงับลงไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาชั่วครู่ก่อนที่คลื่นหลิงจะค่อยๆ สงบลง แต่ความตกตะลึงยังคงฉายบนใบหน้าแต่ละคน

นี่เป็นเพียงเสียงน้ำก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายปั่นป่วนได้ขนาดนี้ ดังนั้นต้นกำเนิดของเสียงจะต้องเป็นเป้าหมายที่จะไปอย่างแน่นอน!

ทะเลสาบสวรรค์!

ดวงตาทั้งสี่สว่างวาบด้วยความตื่นเต้นฉายบนใบหน้าก่อนที่จะเร่งความเร็วในสิบกว่าลมหายใจก็ผ่านยอดเขาสูงนับไม่ถ้วนไป

เมื่อยอดสูงตระหง่านหายไป วิสัยทัศน์การมองเห็นกว้างขึ้นฉับพลัน ในเวลาเดียวกันแสงแวววาวก็เบ่งบานทำให้พวกเขารู้สึกแสบนัยน์ตา แม้ว่าจะมีการปกป้องเอาไว้ด้วยคลื่นหลิงแล้วก็ตาม ทำให้พวกเขาหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

แสงแวววาวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่พวกเขาจะคุ้นชิน การมองเห็นก็เริ่มชัดเจนขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องสูดลมหายใจอัดอากาศเย็นเข้าปอดอย่างควบคุมไม่ได้

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตาคือมหาสมุทรสีฟ้าไร้ขอบเขตที่มีท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเป็นพื้นหลัง มหาสมุทรเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมัวพร้อมกับเกลียวแสงวูบไหว บางครั้งเมื่อน้ำกลิ้งตัวไปมาจะเกิดสะเก็ดผลึกอัญมณีกวาดขึ้น ทุกชิ้นส่วนได้รับการขัดเกลาด้วยคลื่นหลิงก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำตกลงสู่มหาสมุทร…

เนื่องจากคลื่นหลิงที่หนาแน่นเหนือมหาสมุทร หมอกหลิงจึงดูคล้ายกับมังกรและหงส์ฟ้าพร้อมกับเทพอสูรมากมายฉวัดเฉวียนออกมา ดูลึกซึ้งประหนึ่งอาณาจักรเล็กๆ

มิหนำซ้ำมหาสมุทรแห่งนี้ยังลอยอยู่บนท้องฟ้า!

มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ขอบมหาสมุทรทำให้เกิดการแปรปรวนเมื่อคลื่นในมหาสมุทรพัดออกไป พวกมู่เฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแม้ว่ามหาสมุทรจะอยู่เบื้องหน้าแต่ก็อยู่คนละมิติกับพวกเขา

เห็นได้ชัดว่ามหาสมุทรแห่งนี้ถูกปิดผนึกในมิติแยกที่สร้างจากผู้เชี่ยวชาญ

พวกมู่เฉินถูกขู่ขวัญจากท้องทะเลเบื้องหน้าจากนั้นพักใหญ่ก็ค่อยๆ ฟื้นตัว ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความสุข เพราะพวกเขารู้ว่ามหาสมุทรที่ดูเหมือนลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่แท้จริงถูกผนึกไว้ในมิติแยกเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากมาเยือน

ทะเลสาบสวรรค์!

“สมกับเป็นรากฐานสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาลอย่างแท้จริง…” เซียวเซียวที่มีสถานะน่าทึ่งยังอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม ทะเลสาบสวรรค์แห่งนี้ยอดเยี่ยมแท้จริง ตอนที่ถูกสร้างขึ้นจักรพรรดิฟ้าแห่งวังสวรรค์บรรพกาลต้องลงทุกลงแรงทำอะไรไปมากกมาย ทรัพยากรยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดบางแห่งในมหาพันภพปัจจุบันยังไม่สามารถนำออกมาได้

หลินจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย รากฐานของขั้วอำนาจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าทวีปเทียนหลัวน่าทึ่งอย่างแท้จริง

ขณะที่พูดกัน มู่เฉินก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติถอนสายตาจากทะเลสาบสวรรค์ เมื่อเขากำลังจะพูดความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากหัวใจ เขาหันหน้ามองไปยังภูเขาที่ห่างไกล

บนภูเขามีร่างชายสูงโปร่งสวมชุดสีดำยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางประหนึ่งเหวลึกที่หยั่งไม่ถึง ยอดเขาสูงหมื่นจั้งที่อยู่ใต้เท้าควรจะสูงตระหง่าน แต่เมื่อเขายืนอยู่ที่นั่นกลับเหมือนยับยั้งภูเขาลง ทำให้ความสนใจทั้งหมดมุ่งตรงไปที่เขาเท่านั้น

ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!

มู่เฉินหดดวงตาขณะที่การตั้งระวังโดยไม่อาจอธิบายลุกโชนในส่วนลึกของหัวใจ ร่างกายเกร็งเครียดเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ

แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับผู้ชายคนนั้น แต่มู่เฉินก็สามารถบอกตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที

การที่จะทำให้ร่างกายของเขาเข้าสู่สภาวะพร้อมรบได้โดยการสะท้อนกลับ นอกจากจาโหลหลัวที่ครอบครองร่างเทพสุริยะแล้ว ยังจะมีใครอีก?!

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย ชายคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างดวงตาที่ราวกับเหวลึกพุ่งมาจากระยะไกล

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท