หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1158

ตอนที่ 1158

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1158 หอคัมภีร์เทพซ่อน
ฟิ้ว!

ร่างแสงหลายร่างทะยานออกจากทะเลสาบสวรรค์ จากนั้นก็ไปหยุดลงบนยอดเขา เผยให้เห็นร่างเงาของพวกมู่เฉิน

ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ด้านหลังทะเลสาบสวรรค์ มองไปที่ทิวทัศน์กว้างที่มู่เฉินยังรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย

ซึ่งไม่ใช่แค่ความกดดันเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกกดดันอย่างมาก

“ถ้าเราไปต่อก็น่าจะเข้าสู่บริเวณหอทั้งห้า” มู่เฉินชี้ไปข้างหน้าพลางบอกหญิงสาวทั้งสาม นอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้าพลังในวังสวรรค์บรรพกาลจะแบ่งออกเป็นหอและตำหนักต่างๆ ตอนนี้พวกเขาผ่านอาณาบริเวณตำหนักทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเป้าหมายต่อไปก็คือเข้าสู่อาณาบริเวณหอต่างๆ

สีหน้าหญิงทั้งสามก็ตึงเกร็ง ว่ากันว่าจอมพลทั้งห้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ช่วยมือฉมังของจักรพรรดิฟ้า ทุกคนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มพร้อมกับคุณสมบัติในการบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนได้

หากคนเหล่านี้ยังอยู่ในมหาพันภพก็จะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ แน่นอน

“ในบรรดาจอมพลทั้งห้า… จอมพลสี่สละชีวิตปกป้องภูมิภาคทางเหนือไม่ได้กลับมายังสำนักอีก ส่วนจอมพลอีกสี่คนน่าจะอยู่ปกปักที่วังโบราณแห่งนี้” มู่เฉินกล่าว

จิ่วโยวพยักหน้าพูดว่า “นั่นหมายความว่าสมบัตของจอมพลสี่จะได้รับง่ายที่สุด”

แม้ว่าจอมพลทุกคนจะสิ้นชีพแล้ว แต่พวกเขาน่าจะมีวีธีตั้งแนวป้องกันเพื่อปกป้องหอของตนเองด้วยความแข็งแกร่งที่มี ซึ่งนับเป็นเรื่องยากสำหรับพวกมู่เฉินที่จะรับมือ

“แล้วหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ที่ไหน?” จู่ๆ หลินจิ้งก็ตั้งคำถามขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและรู้ว่าที่นั่นสำคัญเพียงใด เพราะถ้าทะเลสาบสวรรค์เป็นรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นหนึ่งในรากฐานที่ทำให้วังสวรรค์บรรพกาลเติบโตอย่างมั่นคง

ซึ่งรากฐานนี้กระทั่งแคว้นหวูก็ไม่กล้าที่จะประเมินค่าต่ำได้

มู่เฉินยักไหล่พูดว่า “แผนที่ที่ได้มาก่อนหน้าไม่ช่วยอะไรตอนนี้แล้ว ข้อมูลหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ยิ่งไม่มีเลย”

พูดถึงจุดนี้เขาก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เนื่องจากพื้นที่ในวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยค่ายกลขาดรุ่งริ่ง มีบางส่วนถูกทำลายขณะบางส่วนยังคงอยู่พร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลในวังโบราณ ค่ายกลทั้งหมดที่วางไว้อยู่ในระดับจงซือ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายพวกเขาก็คงต้องทนทุกข์หากวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป

ช่างยากในการค้นหาหอคัมภีร์เทพซ่อนภายใต้อันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัว

หลินจิ้งส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน นางรู้ว่ายากแต่ไหนที่จะพบ

“ข้ารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนน่ะ” ขณะที่กำลังรู้สึกหมดหนทางกัน ทันใดนั้นเซียวเซียวก็พูดขึ้น

“โอ้?” ทั้งสามหันขวับไปมองด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ

เซียวเซียวเผยยิ้มทรงเสน่ห์ “ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากท่านพ่อ ร่ำลือกันว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลแปลกประหลาดมาก ต่อให้เป็นสมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”

“เนื่องจากหอคัมภีร์นี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง”

หัวใจของทั้งสามคนสั่นสะท้าน ดวงตาก็เบิกกว้าง หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง? นี่แปลกเกินไป กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่เคยเห็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงมาก่อนในชีวิต

ต้องรู้ว่าแม้แต่พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของจอมพลสี่ก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง สำหรับขั้นสูงแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ถูกดึงดูดอย่างยิ่ง

“ถ้างั้นเราควรทำยังไงกันดี? ถ้าหอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงและตั้งใจซ่อนตัว ข้าว่าเราคงจะไม่สามารถค้นพบได้ ต่อให้ค้นพบก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไป” จิ่วโยวอดถามออกมาไม่ได้

ความทรงพลังของอาวุธมหสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะสามารถต่อกรได้

เซียวเซียวยิ้ม “หอคัมภีร์เทพนั่นไม่ได้มีทักษะการโจมตีใดๆ แต่ไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของการซ่อนตัว หากตั้งใจจะซ่อนตัวแล้วแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถค้นพบได้”

เปลือกตาของทั้งสามคนกระตุก หอคัมภีร์เทพซ่อนลึกลับแท้จริง ในแง่ของการซ่อนตัวคงเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนบางส่วนไปแล้ว

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าไม่มีพลังในการโจมตี ก็คงไม่ได้หยุดอยู่แค่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงเช่นนี้

“ถ้าความสามารถซ่อนตัวเป็นอย่างที่เจ้าว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะค้นพบมัน” มู่เฉินถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

เมื่อได้ยินเซียวเซียวก็ส่ายหัวพลางเอ่ย “แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะยากค้นหา แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะจักรพรรดิฟ้าไม่ได้ทิ้งมันไว้ในวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อเก็บสมบัติอย่างเดียว”

มู่เฉินโล่งใจขึ้นมา ตราบใดที่มีทางก็ถือว่าดี เขามาที่นี่เพื่อวิธีวิวัฒนาการ ความพยายามทั้งหมดของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงไม่มีทางที่เขาจะยอมแพ้

“งั้นเราจะหามันได้ยังไง?” จิ่วโยวมองไปที่เซียวเซียวด้วยความคาดหวัง

เซียวเซียวยิ้ม “ง่ายมากก็แค่ต้องผ่านการทดสอบของหอคัมภีร์”

“การทดสอบ?” คนอื่นๆ อึ้งไปจากนั้นก็ถามต่อ “ทดสอบอะไร?”

เซียวเซียวส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการทดสอบคืออะไร แต่ข้ากลัวว่าคงได้เริ่มตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว”

ทั้งสามคนตกตะลึงไปอีกครั้ง

“หอคัมภีร์เทพซ่อนมีสติปัญญา ดังนั้นมันน่าจะสัมผัสได้ตั้งแต่เราก้าวเข้ามาสู่วังสวรรค์บรรพกาล ไม่แน่บางทีตอนนี้มันอาจจะกำลังสังเกตพวกเราอยู่ก็ได้” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทั้งสามรู้สึกเย็นเยือกที่ผิวกายขณะมองไปรอบๆ แม้ว่าพวกเขาจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเซียวราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตลอดเวลา

“ในวังสวรรค์บรรพกาล จู่ๆ ก็จะมีศิษย์บางคนที่โดดเด่นได้รับการยอมรับจากหอคัมภีร์เทพซ่อนและได้รับโอกาสให้เข้าไป” เซียวเซียวยิ้ม

“นั่นหมายความว่าเราต้องแสดงศักยภาพให้มันดูเหรอ? แต่จะแสดงอย่างไร?” หลินจิ้งสนใจมากขณะที่พูด

“ข้าก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับปัจจัยนี้ ศิษย์ที่ได้รับการยอมรับ บางคนเป็นเพราะเข้าใจบางสิ่งในการฝึกฝน ขณะที่บางคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะระดับเสินทงบางอย่างหรือแสดงศักยภาพที่น่าทึ่งในการต่อสู้… มีหลายวิธีน่ะ แต่คนที่มีสถานะสูงจะต้องการประสิทธิภาพมากกว่า แน่นอนว่าสิทธิพิเศษของพวกเขาก็จะสูงขึ้นเมื่อเข้าไป”

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่มีใครคิดว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนจะแปลกประหลาดขนาดนี้

“พูดไปพูดมาที่จริงทั้งหมดก็อยู่ที่โชคชะตา ถ้าชะตาต้องกันก็เข้าไปได้ แต่ถ้าไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าคงต้องเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เชี่ยวชาญในด้านมิติถึงจะหามันเจอ” เซียวเซียวแบมือออกขณะที่ตอบ

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถในการเชิญจอมยุทธ์ระดับนั้นมาหรอก ดังนั้นตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องพยายามด้วยตัวเอง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่หอทั้งห้าก่อน ดูสิว่าเราจะได้รับโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่” มู่เฉินมีความเด็ดขาด เมื่อรู้ว่าการเข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงวางเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว เพราะหากหอคัมภีร์ตั้งใจจะตัดสินประสิทธิภาพกัน พวกเขาก็ต้องทำอะไรบางอย่างแทนที่จะรออยู่เฉยๆ

หญิงสาวทั้งสามไม่ได้คัดค้าน เพราะการรอที่นี่ไม่มีทางให้หอคัมภีร์ยอมรับอย่างแน่นอน

“ไปกันเถอะ”

เมื่อเห็นการตอบสนองของพรรคพวก มู่เฉินก็แตะปลายเท้าส่งแรงทะยานปยังส่วนลึกของวังโบราณ โดยมีหญิงสาวทั้งสามคนติดตามอย่างใกล้ชิด

ทั้งสี่คนเดินทางอย่างรวดเร็ว บางครั้งได้เจอกับค่ายกลที่เสียหาย ซึ่งก็สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ภายใต้การนำของมู่เฉิน ประมาณสิบกว่านาทีต่อมามู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความสลัวรางรอบบริเวณนี้หนาแน่นขึ้น

ซึ่งได้ส่งผลต่อประสาทสัมผัสของเขาด้วย

“ข้างหน้ามีค่ายกลอยู่ แต่ไม่มีอันตรายถ้าข้าเดาไม่ผิดอาจเป็นทางเข้าของอาณาเขตหอทั้งห้าแล้ว” แม้ว่าประสาทสัมผัสของเขาจะถูกรบกวน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนจึงบอกให้หญิงทั้งสามรับรู้

หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า

วาบ!

ทั้งสี่คนทะยานไปโดยไม่ลดความเร็ว จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าผ่านเยื่อน้ำและพื้นที่เชิงมิติรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว

มู่เฉินไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นมิติที่บิดเบี้ยว เขาเหลือบมองไปข้างหลังก็สังเกตเห็นว่าพรรคพวกแยกจากกันไปแล้ว

ความผันผวนของมิติรอบตัวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นพร้อมกับแสงเบ่งบาน ภาพนับไม่ถ้วนวูบวาบไปมาที่เบื้องหน้า

ทิวทัศน์เหล่านั้นเป็นหอสูงตระหง่านพร้อมกับแรงกดดันไหลออกมา

มู่เฉินเข้าใจทันทีว่าหอเหล่านี้ต้องเป็นหอทั้งห้าแน่นอน

มู่เฉินสงบจิตใจขณะมองไปที่ภาพวูบวาบเบื้องหน้าครรลองสายตาพลางจดบันทึกเอาไว้ในใจ ภาพเหล่านั้นมาจากห้าหออย่างชัดเจน ถ้าเขาได้รับข้อมูลบางอย่างก็จะช่วยได้มาก

ภายใต้การสังเกตอย่างตั้งใจของมู่เฉิน แสงก็กะพริบวิบวาบเบื้องหน้าไม่หยุด ทันใดนั้นมู่เฉินก็ต้องหดดวงตากับภาพภาพหนึ่ง

ที่นั่นเป็นห้องโถงวินาศสันตะโรที่ยังคงมีเค้าความสง่างามแม้จะถูกทำลาย

ทว่าความสนใจของมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่โถง แต่สายตาจับจ้องไปยังส่วนลึก แท่นดอกบัวหยกสีแดงเข้มที่มีดอกไม้ทรงเสน่ห์สูงสิบจั้งวางอยู่เงียบๆ

มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้สีดำพร้อมกับความสุขในใจ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่านี่คืออะไรตั้งแต่แวบแรกที่เห็น…

ดอกไม้นั่นคือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท