หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1165

ตอนที่ 1165

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1165 ศัตรูกันทางจะแคบ
เมื่อมู่เฉินออกจากหอสองฟ้า

เขาก็ไม่ได้หยุดกลางคันมุ่งหน้าไปยังหอหนึ่งฟ้าทันที ขณะนี้ทุกคนคงแยกย้ายอยู่ตามหอทั้งห้า ดังนั้นเขาจะต้องไปถึงหอหนึ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แม้เขาไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่จะมีคนเข้าไปในโถงที่มีร่างเดิมของมั่นถัวหลัวได้ แต่ถ้ามีใครสักคนกระตุ้นค่ายกล การจะนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปก็จะยิ่งลำบากขึ้น

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่หยุดแม้จะเห็นโถงต่างๆ ที่มีแสงหลิงพลุ่งพล่านออกมาระหว่างทาง

เขารู้ว่าแสงหลิงเหล่านั้นคงเป็นสมบัติที่หลงเหลืออยู่ในวังโบราณ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาค้นหาสมบัติ

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาให้ได้อย่างรวดเร็ว

มิฉะนั้นเมื่อฮ่องเต้เซี่ยมาถึงวังสวรรค์บรรพกาลและทราบข่าวว่าเขาฆ่าเซี่ยหยู่ไปแล้ว อีกฝ่ายจะต้องพุ่งตรงมาหาเขาด้วยความโกรธแค้นแน่นอน

ถ้าต้องการเอาชีวิตรอดภายใต้ฮ่องเต้เซี่ยและเจ้าตำหนักเทพปีศาจที่เป็นคู่แค้นกับมั่นถัวหลัว เขาก็ต้องนำร่างหลักมาให้นางเพื่อมั่นถัวหลัวจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

มิฉะนั้นถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“เวลาเร่งรีบแท้จริง”

มู่เฉินพึมพำจากนั้นก็กลายเป็นริ้วแสง ดวงตาของเขามองไปไกลก่อนที่จะหดเกร็ง เนื่องจากเห็นมหาสมุทรสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา

เหนือมหาสมุทรพลุ่งพล่าน คลื่นน้ำม้วนตัวขึ้นหมื่นจั้งเป็นครั้งคราว

“นี่คือทิศทางไปหอหนึ่งแน่นอน หรือว่าหอหนึ่งจะอยู่บนมหาสมุทร?” มู่เฉินอึ้งไปกับทิวทัศน์ ก่อนที่จะครุ่นคิดพักหนึ่ง แต่ก็ยังพุ่งต่อไปอย่างแน่วแน่ เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด จนทำให้เกิดคลื่นซัดสาดในมหาสมุทร

มู่เฉินเดินทางสิบกว่านาที หลังจากนั้นก็เห็นเกาะต่างๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับหอสูงตระหง่านที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามและเจริญรุ่งเรืองในอดีต

บางครั้งก็มองเห็นริ้วแสงวอบแวบบนหมู่เกาะเหล่านั้น ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่บุกเข้าไปค้นหาสมบัติกัน ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจพวกเขา ยังคงเดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดินทางลึกเข้าไป มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของค่ายกลในพื้นที่นี้ ซึ่งมีพลังที่ทำให้ผู้คนตกใจกลัว โชคดีที่ค่ายกลเหล่านั้นถูกทำลายจนหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลาในการผ่านไป

วาบ!

ร่างมู่เฉินพาดผ่านเส้นขอบฟ้าขณะสายตามองไปที่สถาปัตยกรรมบนเกาะต่างๆ พยายามค้นหาโถงที่ร่างหลักของมั่นถัวหลัวซ่อนอยู่

แล้วการค้นหาของเขาก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

เมื่อเวลาผ่านไปมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว เขาค้นหาเกาะสามในสี่ส่วนแล้ว ทว่าแม้จะมีความผันผวนที่แปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาในบางเกาะ แต่เขาก็ไม่สามารถจับคู่กับความทรงจำที่มีได้

“ลองหาดูต่อ” มู่เฉินกัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งลึกเข้าไปสำรวจในส่วนที่ยังไม่ค้นหา

ทว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นไม่น่าดู เนื่องจากเขาค้นหาทั่วทั้งมหาสมุทรแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่ตรงกับความทรงจำเลย

“โถงที่ข้าเห็นก่อนหน้าไม่มีทางเป็นภาพลวงตานะ” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดราวกับน้ำนิ่ง เขาระงับความวิตกกังวลในใจและสงบสติอารมณ์

“ทำไมบนมหาสมุทรข้าถึงหาไม่เจอ? นอกจากนี้… ข้าก็ไม่เห็นหอหนึ่งด้วยเช่นกัน”

มู่เฉินเม้มริมฝีปากขณะมองไปรอบๆ พลางพึมพำ “หรือว่าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทร”

ถ้าไม่ได้อยู่บนมหาสมุทรแล้วจะอยู่ที่ไหน?

มู่เฉินก้มหน้าลงไปที่มหาสมุทรครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนที่จะหดดวงตา “หรือว่าจะอยู่ใต้มหาสมุทร?”

วาบ!

มู่เฉินกลายเป็นร่างแสงพุ่งลงไปในมหาสมุทรทันที กระจายการรับรู้คลื่นหลิงออกไป จากนั้นก็ค้นพบหอสง่างามที่คล้ายกับสัตว์อสูรหมอบลึกที่ใต้มหาสมุทร

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจมากกับฉากนี้ ที่แท้หอหนึ่งก็ตั้งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ไม่ใช่ผิวน้ำ จอมพลหนึ่งช่างลึกลับอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

มู่เฉินราวกับปลาน้อยขณะที่เดินทางใต้น้ำกระจายการรับรู้ออกไป ครั้งนี้เขาก็สัมฤทธิ์ผล

“พบแล้ว!”

มู่เฉินมาปรากฏตัวเบื้องหน้าซากปรักหักพังพร้อมกับหอโบราณกระดำกระด่างที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ช่างดูคล้ายกับความทรงจำของมู่เฉิน

นอกจากนี้ยังมีการกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยอวลออกมาทำให้ผู้คนหลงใหล

นั่นคือกลิ่นหอมของดอกแมนดาลา!

มู่เฉินมองไปที่หอกระดำกระด่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ก่อนที่จะเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง เขายืนอยู่ตรงหน้าลังเลเล็กน้อยแล้วก็เข้าไป

ภายในหอตัดขาดจากน้ำทะเลภายนอก การตกแต่งภายในทั้งโอ่อ่าและกว้างใหญ่เป็นพิเศษ นี่จะต้องเป็นสถานที่สำคัญของหอหนึ่งในสมัยโบราณ

ในโถงใหญ่ก็ดูเสียหายใหญ่หลวง ชัดว่าเคยมีการต่อสู้รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากภาพโครงกระดูกที่นอนกองอยู่รอบๆ

มู่เฉินกวาดสายตาทั่วโถง อึดใจถัดมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ปลายโถง มีประตูหินอยู่ ซึ่งร่างหลักของมั่นถัวหลัวน่าจะอยู่หลังประตูนั้น

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขาสังเกตเห็นร่างสองร่างยืนอยู่ตรงหน้าประตู

มู่เฉินคุ้นเคยกับหนึ่งในนั้น จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจ ขณะนี้จาโหลหลัวก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยพลางกอดอก

ทำไมจาโหลหลัวถึงอยู่ที่นี่?

ใบหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดขึ้น ดูจากท่าทางของจาโหลหลัวคงรออยู่ที่นี่นานแล้ว

“ฮ่าๆ ดูเหมือนท่านประมุขจะเดาถูกที่จะต้องมีคนมานำร่างหลักของนางกลับ แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นแก”

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประมุขข้าสินะ ซ่อนได้ดีจริงๆ”

ร่างของมั่นถัวหลัวที่แยกออกมาจากดอกตูมน่าจะมีความต่างกับร่างหลัก ดังนั้นต่อให้เป็นตำหนักเทพปีศาจก็ยังหานางไม่พบ แต่ตอนนี้เมื่อจาโหลหลัวเห็นมู่เฉินที่นี่ เขาก็ปะติดปะต่อเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดได้

มู่เฉินจ้องไปที่จาโหลหลัว ใบหน้าที่น่าเกลียดก็เริ่มคลายลง ประมุขตำหนักเทพปีศาจน่าจะรู้จักสถานที่นี้ เพราะเขาเป็นคนบีบบังคับให้มั่นถัวหลัวต้องซ่อนตัวในนี้ นอกจากนี้เขายังไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้มั่นถัวหลัวได้ร่างหลักคืนไปเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง ดังนั้นลู่หยวนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งมั่นถัวหลัวจากการฟื้นร่างหลักนี้

จาโหลหลัวคงจะอยู่ที่นี่ภายใต้คำสั่งของเขา

ทว่าหากเป็นเพียงจาโหลหลัวคนเดียวมู่เฉินก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่เห็นได้ชัดว่างานนี้ไม่ง่ายอย่างนั้น

สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปที่ด้านข้างจาโหลหลัว ร่างในชุดสีดำขาวดูค่อนข้างสูงวัย แต่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเขา

แต่เหตุนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคาม เขาไม่คิดว่าคนที่อ่อนแอเช่นนี้จะสามารถผ่านกับดักหนักหน่วงมาถึงที่นี่ได้

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มอ่อน “ตอนแรกข้าอยากระเบิดศึกระหว่างแกกับข้าเพื่อดูว่าใครมีร่างเทพสุริยะแข็งแกร่งกว่ากัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแกจะไม่มีโอกาสนี้อีกต่อไป”

พูดจบเขาก็หันไปทางชายในชุดสีดำขาวโค้งด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสจั่ว ต้องรบกวนท่านที่นี่ ท่านประมุขแจ้งว่าไม่ต้องการเห็นใครเข้าไปในโถงนี้”

“ผู้อาวุโสจั่ว?”

เมื่อเห็นท่าทางเคารพของจาโหลหลัว ม่านตาของมู่เฉินก็หดเกร็ง อึดใจเขาก็มองไปที่ชายชุดสีดำขาวด้วยความไม่เชื่อ คนคนนั้นเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจหรือ?

เขาถึงจุดที่แม้แต่จาโหลหลัวยังให้ความเคารพ ดังนั้นจะต้องอยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว!

แต่ปัจจุบันวังสวรรค์บรรพกาลไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้ามาไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้อาวุโสตำหนักเทพปีศาจถึงมาที่นี่ได้?

นอกจากนี้เขาไม่ได้แสดงตัวเองตั้งแต่แรกเริ่มแม้แต่ในทะเลสาบสวรรค์

“ฮ่าๆ แปลกมากเหรอ?”

เมื่อเห็นความตกใจของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็หัวเราะร่วน “ที่จริงวังสวรรค์บรรพกาลในปัจจุบันไม่รองรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นสำนักข้าจึงต้องจ่ายราคาแพงเพื่อให้ผู้อาวุโสจั่วเข้ามาที่นี่ แต่ด้วยวิธีนี้เขาจะมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว มิหนำซ้ำพลังก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน ในอนาคตหากเขาต้องการฟื้นตัวก็คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี”

จาโหลหลัวมีความสุขที่ได้เห็นความตกใจของมู่เฉินและด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดมากขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นเปลือกตาของมู่เฉินก็กระตุก จักรพรรดิปีศาจแห่งตำหนักเทพปีศาจร้ายกาจแท้จริง ยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจ่ายราคาดังกล่าวเพียงเพื่อขัดขวางการดึงร่างหลักของมั่นถัวหลัวกลับไป

แต่คำพูดของจาโหลหลัวกลับทำให้หัวใจที่ตึงเกร็งของเขาคลายลง ชัดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสของตำหนักเทพปีศาจคนนี้ไม่ได้มีพลังในจุดสูงสุด กลับได้รับผลกระทบจนสูญเสียพลังไปมาก

แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ต่อให้พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มจะเผชิญหน้าได้ ดังนั้นเมื่อมู่เฉินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เขาก็คือคนตายไปแล้วในสายตาของจาโหลหลัว

ทว่าเขาคิดไม่ได้หรอกว่าตอนนี้มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขอบเขตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

ดังนั้นขณะที่จาโหลหลัวากำลังจะเพลิดเพลินกับสีหน้าหวาดกลัวและตกใจบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาก็ต้องหดดวงตาเมื่อพบว่ามีส่วนโค้งเบาบางปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน

เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังก้องโถง

“ที่แท้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พิการไปแล้วครึ่งหนึ่งสินะ?”

**สำนวนศัตรูกันทางจะแคบ แปลประมาณว่าพวกที่เป็นศัตรูจะชอบเจอหน้ากันเสมอ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท