หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1168 ร่างเวทสวรรค์
ซ่า ซ่า!
เกลียวแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาจากเมฆแดงก่ำเหนือกองทหารสังหารวิญญาณ เชื่อมโยงกันและกัน พร้อมกับมีความผันผวนน่ากลัวเล็ดลอดออกมา
พร้อมด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด ตราประทับในมือมู่เฉินก็เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่รวมตัวกันถักทอเป็นค่ายกลสงครามขนาดใหญ่ในโถง
นั่นคือค่ายกลสงคราม!
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพนี้เรียกว่าค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณ!
มู่เฉินไม่แปลกตากับค่ายกลสงครามนี้ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแปดคนถูกล้างผลาญด้วยค่ายกลนี้ แสดงให้เห็นว่ามันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด แต่ผู้อาวุโสจั่วก็ไม่อยู่ในสภาพที่ดีไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งแปดคนที่ถูกกำจัด
ดังนั้นเมื่อแสงสีแดงปกคลุมไปทั่วโถง ค่ายกลสงครามที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏ ใบหน้าของผู้อาวุโสจั่วก็มืดครึ้มลงผิดปกติ
เปลือกตาเขาสั่นระริก ลึกลงไปในสายตาเผยให้เห็นความหวาดผวา
สถานการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของเขา เขาไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยที่สามารถกระทืบจมดินได้ง่ายๆ จะกลายร่างเป็นพยัคฆ์ร้าย
เขารู้สึกถึงไอแห่งความตายที่มาจากค่ายกลสงคราม ซึ่งเขาอาจตายได้หากไม่ระวัง
ผู้อาวุโสจั่วรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเขากำลังถูกบีบจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มไปที่ขอบเหวความตาย
แต่ไม่ว่าในใจเขาจะรู้สึกเป็นเรื่องตลกเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าหากไม่ทำอะไรเพื่อตอบโต้ เขาได้ตายที่นี่จริงๆ
“ไอ้เวร อย่าทำเกินไปนัก!”
ผู้อาวุโสจั่วคำราม จากนั้นก็กระทืบเท้า คลื่นหลิงระเบิดออกจากร่างกายรวมตัวเป็นเงาเบื้องหลังที่ราวกับสามารถเอื้อมจับท้องฟ้าได้
ขณะที่เงาแสงนั้นหายใจทั่วทั้งสวรรค์และโลกก็ถูกยับยั้ง
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาขนาดใหญ่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่านี่น่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ผู้อาวุโสฝึกฝน
เมื่อร่างเทห์สวรรค์ปรากฏ ผู้อาวุโสจั่วก็อ้าปากคำราม ฉากไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น ร่างขนาดใหญ่ถูกดูดเข้าไปในปากของเขา
ผู้อาวุโสจั่วกลืนกินร่างเทห์สวรรค์ของตัวเองเหรอนั่น?!
ตู้ม! ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ ร่างกายของผู้อาวุโสก็เริ่มขยาย ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็กลายเป็นร่างสูงพันจั้งปกคลุมไปด้วยลวดลายที่ประกอบขึ้นจากคลื่นหลิง
ฮา!
ผู้อาวุโสจั่วยืนตระหง่านระหว่างสวรรค์และโลก ลมหายใจพรูออกปากพร้อมกับพายุฟ้าคะนองป่าเถื่อน
ในตอนนี้ผู้อาวุโสจั่วราวกับเป็นราชันผู้สร้างที่นี่
“นี่ก็คือร่างเวทสวรรค์ในตำนานที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งได้เรอะ?” มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสจั่วก็อดหายใจเข้าลึกไม่ได้
กล่าวกันว่าเมื่อเข้าสู่ขอบเขตระดับตี้จื้อจุนร่างเทห์สวรรค์จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและสามารถหลอมรวมเข้ากับร่างกายของพวกเขาได้ ซึ่งนั่นจะไม่ได้เรียกว่าร่างเทห์สวรรค์ แต่เป็นร่างเวทสวรรค์
ร่างเวทสวรรค์ วาจากฎฟ้าดิน
“สกัดคลื่นหลิง!”
ผู้อาวุโสจั่วชี้ไปที่มู่เฉินขณะคำราม
ความผันผวนแปลกประหลาดแพร่กระจายออกไป มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงในภูมิภาคนี้เกิดการปฏิเสธเขา นี่ทำให้เขาไม่สามารถดูดซับคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดิน
“นี่คือวาจากฎฟ้าดินของระดับตี้จื้อจุนเรอะ?”
ใบหน้าของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด ถ้าเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาๆ แค่วาจาของจอมยุทธ์ระดับนี้แม้แต่กฎฟ้าดินก็ต้องทำตาม ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายได้
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนกับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างแท้จริง
ทว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ตั้งใจพึ่งพาคลื่นหลิงในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เลือกใช้รัศมีจั้นยี่ ซึ่งชัดว่าผู้อาวุโสจั่วยังไม่สามารถแยกเขาออกจากรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณได้
“สายฟ้า!”
ผู้อาวุโสจั่วคำราม สายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ซึ่งบรรจุด้วยพลังทำลายล้างกวาดเข้าหามู่เฉิน
เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าผ่อนคลาย เข้าควบคุมรัศมีจั้นยี่ทันทีเพื่อสร้างการป้องกันคล้ายกับกระดองเต่าปกป้องเขาพร้อมกับค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
การโจมตีดุร้ายเข้าโรมรันอย่างต่อเนื่อง ชั้นรัศมีจั้นยี่ถูกผลักกลับ แต่กระนั้นเมฆโลหิตก็ยังพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ลม! ไฟ! ภูเขา!”
ผู้อาวุโสจั่วปลดปล่อยการโจมตีรุนแรงขึ้น คลื่นหลิงทั่วบริเวณก็เริ่มเคลื่อนไหวจากการถูกสั่งการ ก่อตัวเป็นการโจมตีที่น่ากลัวกวาดไปยังมู่เฉิน
ภายใต้การโจมตีนี้ รัศมีจั้นยี่ก็ถูกผลักกลับมาอย่างต่อเนื่อง
แต่มู่เฉินไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสจั่วจะใช้ร่างเวทสวรรค์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายการป้องกันของรัศมีจั้นยี่
ผู้อาวุโสจั่วก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเขาจึงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มด้วยความไม่เต็มใจผสมด้วยความโกรธในดวงตา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะไม่สามารถปราบปรามมู่เฉินได้ แม้จะใช้มีร่างเวทสวรรค์ก็ตาม
ในที่สุดการโจมตีก็ค่อยๆ อ่อนลง
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ผู้อาวุโสจั่วอย่างไม่แยแส จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เมฆสีแดงเข้มเริ่มสลายเผยให้เห็นค่ายกลสงครามสีแดงเข้มที่เสร็จสมบูรณ์
“ในเมื่อเจ้าโจมตีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาข้าบ้าง ตาเฒ่าจั่วลองลิ้มรสค่ายกลสงครามข้าดูหน่อย”
มู่เฉินยิ้มแต่ในสายตากลับเย็นชาอย่างยิ่ง เขากำหมัดแน่น แสงโลหิตไม่สิ้นสุดก็พุ่งออกมาจากค่ายกลสงครามทำให้ทั่วบริเวณถูกย้อมด้วยสีแดง
แสงโลหิตกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องพยายามที่จะห่อหุ้มร่างผู้อาวุโสจั่วไว้ภายใน
เมื่อเขาตกอยู่ในนั้น มู่เฉินก็จะกระตุ้นค่ายกลสงครามให้เปิดใช้งานเต็มที่
แสงสีแดงขยายในม่านตาผู้อาวุโสจั่วอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ไม่กี่อึดใจเขาก็หายใจเข้าลึก เริ่มหดตัวลงสู่ขนาดเดิม จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยว ร่างกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้น
ปัง!
หลังคาโถงแตกออก จากนั้นมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองร่างแสงหายไปวับจากสายตา
ผู้อาวุโสจั่ว…หนีไปแล้ว?!
มู่เฉินตกตะลึงกับภาพนี้ นั่นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเชียวนะ? เลือกหนีแบบนี้เลยเรอะ?
มู่เฉินใช้เวลาพักใหญ่ฟื้นจากอาการตื่นตะลึงจากนั้นก็รู้สึกเซ็ง เขายังไม่ทันใช้ไพ่ตายกองทัพสังหารวิญญาณด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายตาเฒ่านั่นดันเลือกที่จะหลบหนี
นี่ทำให้มู่เฉินมีความรู้สึกเหมือนต่อยฝ้าย
“เด็ดขาดจริง…”
มู่เฉินถอนหายใจจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่มีความลังเลแท้จริง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อตนเองก็เลือกการกระทำที่มีเหตุผลที่สุด
ผู้อาวุโสจั่วอยู่ในสภาพย่ำแย่อยู่แล้ว หากสู้ต่อไปอาจทำให้มู่เฉินต้องจ่ายราคาบางส่วน แต่คนที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดก็เป็นตัวเขาเอง บางทีอาจจะจบชีวิตลงด้วยซ้ำ
ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักผลประโยชน์แล้ว เขาจึงเลือกชีวิตเหนืองาน
ต่อให้ลู่หยวนจะลงโทษ ก็คงไม่เอาชีวิตไปแน่ แต่มู่เฉินกล้าที่จะพรากชีวิตเขาไป
“น่าเสียดาย”
มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเซ็ง ตอนแรกเขาก็ต้องการสัมผัสว่าค่ายกลสงครามสังหารวิญญาณทรงพลังเพียงใด
อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน เพราะการสู้ศึกมรณะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไม่ใช่เรื่องสบาย ดังนั้นจึงเป็นผลดีที่ผู้อาวุโสจั่วหลบหนีไป
บีบบังคับให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลบหนี หากข่าวนี้กระจายไปในทวีปเทียนหลัว คงจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โชคลาภยิ่งใหญ่
มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะเรียกรัศมีจั้นยี่และยกป้ายขึ้นมาเก็บกองทัพสังหารวิญญาณจากนั้นเขาก็เดินมาที่เบื้องหน้าประตู
ร่างหลักของมั่นถัวหลัวน่าจะอยู่หลังประตูบานนี้
มู่เฉินร่างกายเกร็งขึ้นจากนั้นก็ไม่ลังเลยื่นมือออกมาดันประตูออก
เมื่อประตูเปิดรัศมีเวิ้งว้างก็พัดปะทะใบหน้าของเขา
มู่เฉินมองเข้าไปก็เห็นดอกไม้สีดำสนิทน่าหลงใหลที่ปลายห้องโถงที่เสียหาย