หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1179

ตอนที่ 1179

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1179 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อร่างเทพสุริยะก้าวลงไปในทะเลสาบลาวาสีทอง

มู่เฉินที่นั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบก็ตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเหงื่อเย็นผุดเต็มบนหน้าผาก

ขณะนั้นเองด้วยการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกับร่างเทพสุริยะ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่กระทบร่างใหญ่

ภายใต้พลังนั้นร่างใหญ่ก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็วในกระบวนการ

ความรู้สึกละลายถูกถ่ายโอนมายังมู่เฉิน ความเจ็บปวดที่รุนแรงปกคลุมไปทั่วสรรพางค์กาย

มู่เฉินรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงมากจนทนไม่ได้ เขากัดฟันแน่นเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดทนอดกลั้นต่อสิ่งนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าร่างเทพสุริยะกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงโดยได้รับความช่วยเหลือจากทะเลสาบ

ซึ่งตอนนี้เป็นทุกข์ทรมานจากการเปลี่ยนแปลง

หากเขาทนไม่ได้การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะสามารถพัฒนาให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ แต่ก็จะไม่สมบูรณ์แบบ

เขาทำงานหนักมาหลายปีไม่ได้เพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์นี้

เป้าหมายของเขาคือร่างเทห์สวรรค์ในตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพ—ร่างมหาปฐมกาล!

ดังนั้นเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์แบบ!

เหงื่อชุ่มโชกบนร่างมู่เฉินพร้อมกับสายลาวาชำระร่างเทพสุริยะ ร่างยิ่งใหญ่หดตัวลงอย่างรวดเร็วคล้ายกับคนอ้วนที่ถูกดูดไขมัน

แม้ร่างเทพสุริยะจะหดตัวลง แต่สีก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนเป็นสีทองเข้มข้นพร้อมกับชั้นบางๆ ของสีม่วง

ดวงตะวันขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลายเป็นของเหลวสีทองที่ห่อหุ้มร่างเทพสุริยะค่อยๆ ซึมผ่านเข้ามา

ก่อนที่ร่างเทพสุริยะจะก้าวลงไปในทะเลสาบก็มีขนาดหลายพันจั้ง แต่ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ลดลงเหลือไม่ถึงพันจั้ง

ทว่าแม้จะหดตัวลง แต่ถ้าสัมผัสดีๆ ก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มีอยู่ภายในร่างค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ตัวมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากการทรมานรุนแรง อย่างน้อยเขาก็ปลอบใจเขาที่ไม่ได้ทนกับความเจ็บปวดที่ไร้ประโยชน์

ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรงมู่เฉินสูญเสียความคิดเรื่องเวลาและค่อยๆ เริ่มด้านชาจากความเจ็บปวด

แต่นั่นไม่ใช่ข่าวดี หากเขาจมดิ่งลึกเกินไป แม้แต่จิตใจก็อาจพังทลายลงจนอาจเกิดเหตุที่ทำลายร่างเทห์สวรรค์โดยไม่ตั้งใจ

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกชาจากความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงสติไว้มั่น

ทว่าก็ชัดเจนที่เขาไม่สามารถรักษาสภาพไว้ได้ตลอด เขาทำได้เพียงภาวนาขอให้ร่างเทพสุริยะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นก่อนที่เขาจะสูญเสียสติไป

มิฉะนั้นผลลัพธ์จะน่ากลัวมาก

แต่โชคดีที่คำอธิษฐานของมู่เฉินดูเหมือนจะเป็นผล

ปุด ปุด

ฟองอากาศลอยขึ้นจากทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ระเบิดเป็นประกายสีทองดูงดงามตระการตา

มู่เฉินที่มีใบหน้าซีดขาวอยู่ริมทะเลสาบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับความอ่อนล้าหนักหน่วงกะพริบในม่านตา เขาเกือบจะล้มลงจากความทรมานที่ไม่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ทะเลสาบ ดวงตาก็วูบไหวพร้อมกับอารมณ์กลับคืนมาบนใบหน้า

เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าขณะนี้ความเจ็บปวดรุนแรงหายไปอย่างกะทันหันแล้ว

“การเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จแล้วหรือ?”

มู่เฉินพึมพำขณะจ้องไปที่ทะเลสาบ

ปุด ปุด

ภายใต้การจ้องมอง ทันใดนั้นฟองอากาศก็ลอยขึ้นมาจากทะเลสาบ ตอนนี้ทั้งทะเลสาบเดือดพล่าน

ฟองอากาศทุกฟองพุ่งออกมาด้วยแสงมันวาวสีทองขณะที่ระเบิดตูมตาม

สามารถมองเห็นเงาขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็วจากใต้ทะเลสาบ สุดท้ายทะเลสาบก็แยกออกเป็นสองส่วน คลื่นแผ่กระจายออกไป ภาพเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา

มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น แม้กระทั่งมีจิตใจแน่วแน่ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น

หินหนืดสีทองตกแหมะลงมาจากร่างใหญ่ สะท้อนในดวงตามู่เฉินอย่างชัดเจน

นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงพิเศษทำให้มู่เฉินรู้ว่านี่คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่เขาใฝ่หา!

ร่างเทห์สวรรค์ร่างนี้ไม่มีดวงตะวันใหญ่ลอยอยู่ด้านหลังศีรษะอีกต่อไป มิหนำซ้ำร่างกายก็ไม่มีประกายสีทองเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่มีร่องรอยของชั้นรัศมีสีม่วงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ยังปกคลุมไปด้วยลวดลายสีม่วงที่ดูเหมือนจะถูกสร้างจากธรรมชาติ ลวดลายทุกลวดลายมีความลึกซึ้งเป็นพิเศษและบรรจุด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้

หากมองให้ละเอียดจะพบว่าลวดลายเหล่านั้นก่อตัวเป็นดวงตะวันอย่างคลุมเครือ

มู่เฉินมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ก็เหมือนมีความเข้าใจผิดราวกับว่าร่างร่างนี้เป็นตัวแทนของความเป็นนิจนิรันดร์ที่ต่อให้เวลาผ่านไปก็ไม่สามารถทำลายมันได้

“นี่หรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”

มู่เฉินพึมพำ ในที่สุดเป้าหมายของเขาก็บรรลุผลหลังจากผ่านไปหลายปีซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกไม่เป็นจริง

“ทำไมตัวเตี้ยขนาดนี้?”

ทว่ามู่เฉินก็หลุดจากอาการตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าฉายความแปลกประหลาด ถ้าตามสภาพปกติร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งสูงไม่กี่ร้อยจั้งก็ไม่ได้เตี้ย แต่เมื่อเทียบกับร่างเทห์สวรรค์อื่นๆ ก็เตี้ยมากจริงๆ

ต้องรู้ว่าร่างเทพสุริยะของมู่เฉินสูงหลายพันจั้ง แต่เมื่อพัฒนาการถึงปัจจุบันร่างนี้กลับสูงเท่าต้นขาร่างเดิมเท่านั้น

ในมหาพันภพขนาดแสดงถึงความแข็งแกร่งของร่างเทห์สวรรค์ เนื่องจากจะสามารถบรรจุคลื่นหลิงที่ทรงพลังกว่าได้

แต่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์…มีขนาดเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง แล้วจะทรงพลังยิ่งกว่าร่างเทพสุริยะจริงเหรอ?

มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากก่อนที่จะยื่นมือออก ร่างสีม่วงทองก็ยื่นมือออกมา ทั้งสองสัมผัสกัน

ฮึ่ม

ประกายแสงสีทองพุ่งสูงขึ้น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ห่อหุ้มมู่เฉินไว้ภายใน จากนั้นเขารู้สึกถึงการได้ควบคุมอย่างสมบูรณ์

ขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในร่างสีม่วงทองนี้

ซึ่งเป็นพลังที่ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงในทันที

“พลังงานนี้…”

มู่เฉินก้มหัว จากนั้นค่อยๆ กำหมัดแน่น เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดออกไป

ปัง!

เมื่อร่างสีม่วงทองขว้างหมัดออกไป การระเบิดก็ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก แสงเงาสีทองครอบงำออกมา จากนั้นมู่เฉินก็สามารถมองเห็นรอยหมัดมหึมาถูกทิ้งไว้บนจัตุรัสทองคำ

มิติเบื้องหน้าแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย

มู่เฉินอ้าปากกว้างกับความสามารถในการทำลายล้าง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่ากระบวนท่าเปิดสิบตะวัน หัตถ์เทพปีศาจเลย!

หากจาโหลหลัวอยู่ที่นี่ในขณะนี้ มู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไรมากมายในการต่อสู้ เขาเพียงแค่ขว้างหมัดก็สามารถฆ่าจาโหลหลัวได้ทันที!

“นี่คือพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เหรอ?!”

มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างสีทองซึ่งห่อหุ้มเขาไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หัวเราะร่า เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินร่างเทพสุริยะนิรันดร์นี้สามารถติดสิบห้าอันดับแรกของคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างเลยทีเดียว!

หลังจากอดทนและทำงานหนักมาหลายปีในที่สุดเขาก็กลายร่างเป็นมังกรทะยาน!

มู่เฉินหัวเราะ จากนั้นก็ล้มนอนลงบนแท่นบูชาอย่างไม่สนใจอะไร ตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันใต้ขอบเขตตี้จื้อจุนแล้ว!

นอกจากนี้เขายังสามารถหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ด้วยความช่วยเหลือของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพสังหารวิญญาณก็ตาม

มู่เฉินมองไปบนท้องฟ้า ใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ผมของนางราวกับแม่น้ำสีเงิน ม่านตาผลึกแก้วที่สดใส มู่เฉินเคยร้อนใจหลายครั้งเมื่อในอดีต แต่สุดท้ายก็สงบลงเพราะดวงตาคู่นั้น…

เขายกมือขึ้นเหมือนสัมผัสใบหน้าที่โหยหา ยิ้มอ่อนโยน

“ลั่วหลี…ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ”

“อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้า… รอข้านะ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท