หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1184

ตอนที่ 1184

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1184 สถานการณ์เปลี่ยนแปลง
ยอดเขาพังทลายลง

เผยให้เห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวต่อหน้าทุกคน

โดยเฉพาะร่างเงาที่ยืนอหังการอยู่ใจกลางจัตุรัสซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน

เขาเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวพร้อมกับรูปลักษณ์ชวนตะลึง ร่างกายไว้สง่าแม้จะไม่เคลื่อนไหวแต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวเลือนรางเล็ดลอดออกมา

บริเวณที่เขายืนอยู่ราวกับเป็นมิติพิเศษ มิติส่วนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา…

ทุกคนที่นี่มองไปยังร่างเงานั้น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือแม้แต่มั่นถัวหลัวที่เพิ่งจะบรรลุขั้นเต็ม พลังงานหลิงในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ในเวลานี้

สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตตี้จื้อจุน คลื่นหลิงในร่างกายก็ตีวนจนกระอักเลือดออกมา ก่อนที่พวกเขาจะเบนสายตาหนีไม่กล้ามองไปที่ร่างเงานั้นอีก

พวกเขาได้รับบาดเจ็บเพียงแค่มองดูการดำรงอยู่นั้น… นี่น่ากลัวแค่ไหนกัน?

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่มั่นถัวหลัวในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ ดังนั้น…จึงมีเพียงคำตอบหนึ่งเดียวที่เหมาะกับคำอธิบายตัวตนร่างเงานั้น…

ผู้ก่อตั้งวังสวรรค์บรรพกาล หนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ในสมัยโบราณ—จักรพรรดิฟ้า!

สุสานจักรพรรดิฟ้าตกอยู่ในความเงียบเมื่อทุกคนมองไปยังร่างเงานั้น พวกเขารู้สึกตกตะลึงกับรัศมีที่ปล่อยออกมา

ความตกตะลึงนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

“นะ…นั่นคือจักรพรรดิฟ้า!”

เสียงสั่นเครือดังก้องด้วยความคารวะและความโลภ

ทุกคนมาที่สุสานจักรพรรดิฟ้าก็เพื่อรับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า

กล่าวให้ชัดก็คือคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าวิชาสามพิสุทธิ์!

ถ้าพวกเขาได้รับก็จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพในอนาคตและก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน

“นั่นคือจักรพรรดิฟ้าเหรอ?”

มู่เฉินตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่ร่างนั้น ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิฟ้าที่ซ่อนอยู่จะเผยตัวออกมาจากการเผชิญหน้าระหว่างลู่หยวนและมั่นถัวหลัว

หญิงสาวทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินก็มองไปที่ร่างนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

วาบ! วาบ!

ความเงียบทั่วบริเวณพังทลายลง เนื่องจากหลายคนกลั้นใจไว้ไม่ได้แล้ว ไปปรากฏตัวขึ้นรอบๆ ภูเขา

ลู่หยวนก็ขยับเข้าใกล้หลังจากเหลือบไปมองมั่นถัวหลัว

มั่นถัวหลัวไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่าย เพราะนางกำลังอึ้งไปขณะมองไปที่ร่างนั้นด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่พลุ่งพล่านในดวงตา

นางถูกจักรพรรดิฟ้านำตัวกลับมา ในเวลานั้นนางทั้งยังเด็กและใกล้ตาย แต่จักรพรรดิฟ้ากลับช่วยฟูมฟัก หลังจากนั้นก็เลี้ยงดูให้อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล

ตอนที่จักรวรรดิปีศาจโจมตี นางก็คิดจะเข้าสู้รบเช่นกัน แต่กลับถูกผนึกไว้โดยจักรพรรดิฟ้าจึงหลีกเลี่ยงชะตากรรมความตายมาได้

ดังนั้นสำหรับนางจักรพรรดิฟ้าประหนึ่งบิดาผู้เลี้ยงดู แต่ตอนที่นางตื่นขึ้นอีกครั้งโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป

จักรพรรดิฟ้าหายไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลายราบคาบ มิหนำซ้ำนางยังได้รับบาดเจ็บหนักจากการกระทำของลู่หยวนต้องหลบหนีส่งผลให้สูญเสียความทรงจำไป

แต่…ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางให้ลู่หยวนคนทรยศได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้าไปอย่างแน่นอน!

มั่นถัวหลัวกำหมัดแน่นพร้อมกับจิตสังหารกะพริบในดวงตาก่อนที่นางจะทะยานไปที่ภูเขา

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตามหลังไปติดๆ

ทุกคนรวมตัวกันรอบๆ ภูเขาและเมื่อเข้าใกล้ พวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งอื่นรอบตัวจักรพรรดิฟ้า

จักรพรรดิฟ้าถือกระบี่ยาวผลึกแก้วใส กระบี่ยาวดูเก่ามากราวกับเป็นแค่โครงกระบี่ที่ด้านและไม่สมบูรณ์ แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มาจากกระบี่เล่มนั้น

แสงเย็นที่สะท้อนจากกระบี่สามารถเฉือนมิติออกจากกันได้เลยทีเดียวซึ่งเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

ตอนนี้กระบี่แทงลงไปที่พื้นซึ่งมีกะโหลกศีรษะสีดำผุพัง

เมื่อเห็นหัวกะโหลกสีดำ ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ พวกเขารู้สึกถึงความชั่วร้ายที่ไม่อาจพรรณนาได้จากมัน

“กระบี่แก้วนั่น… หรือจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน? ว่ากันว่ามีระดับสูงกว่าอาวุธมหสวรรค์เลยทีเดียว…”

“งั้นกะโหลกศีรษะนั้นก็เป็นของนักรบราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวเรอะ?”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างสิ้นชีพในการต่อสู้ครั้งนั้น…”

“…”

ทุกคนมองไปที่ฉากนี้ขณะเสียงสนทนาดังกึกก้อง บางคนถึงกับจ้องมองด้วยสายตาคิดลงมือทำ

ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิในตำนาน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดวิชาสามพิสุทธิ์ หรือแม้แต่ศพจักรพรรดิฟ้า ล้วนเป็นสิ่งที่ล่อใจที่อาจทำให้ผู้คนสูญเสียสติได้

“ข้าขอแนะนำว่าอย่าเคลื่อนไหว เราไม่รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ถ้ามีใครไปกระตุ้นอะไรเข้า เราจะหนีกันไม่พ้น!” ขณะที่คนอื่นๆ ร้อนใจที่จะเคลื่อนไหว เสียงเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง

ทุกคนอึ้งและลังเล สถานที่แห่งนี้ผิดแผกอย่างแท้จริง ศพของจักรพรรดิฟ้าและกะโหลกศีรษะชั่วร้ายนั่นทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจแท้จริง

“เหอะ มั่นถัวหลัว อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดที่จะผูกขาดมรดกและกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้?” ขณะที่ทุกคนกำลังลังเล เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้น

แต่ละคนมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียงก็เห็นว่าเป็นลู่หยวนที่พูดออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จอมยุทธ์บางคนก็ขมวดคิ้วมองไปที่มั่นถัวหลัวอย่างสงสัย นั่นเป็นเพราะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวง

“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการบรรลุขุมพลัง เจ้าก็ไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงผู้เดียวในทวีปเทียนหลัว อย่าได้คิดอะไรเกินตัว” ในที่สุดก็มีคนพูดออกมา ผู้พูดมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมบวกกับขั้วอำนาจของเขาก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าจอมยุทธ์ท่านนั้นจะไม่ได้มาที่สุสานจักรพรรดิฟ้า แต่เขาก็สามารถใช้วิธีพิเศษบางอย่างเรียกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าคนอื่นจะกลัวมั่นถัวหลัว แต่เขาไม่กลัว

เมื่อเห็นว่ามีบางคนพูดออกมา การสนทนาก็แตกสลาย ชัดว่ามั่นถัวหลัวไม่สามารถหยุดยั้งทุกคนภายใต้การล่อลวงนี้

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นปฏิกริยาของผู้คน ใบหน้าก็มืดครึ้มลง ก่อนที่นางจะพูดอะไรต่อก็ถูกมู่เฉินหยุดเอาไว้ เพราะนี่ไร้ประโยชน์ที่จะขัดขวางในสถานการณ์นี้ หากนางบังคับให้พวกเขาหยุดด้วยความรุนแรง อาจทำให้เกิดความโกรธแค้นหมู่ก็เป็นได้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ชั้นยอดจำนวนมากได้ บางคนก็มีภูมิหลังที่ไม่ด้อยกว่าพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเลย

เมื่อลู่หยวนเห็นมั่นถัวหลัวเงียบไป รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

วาบ!

สถานการณ์นี้ไม่ได้กินเวลานาน เสียงมวลลมอัดก็ดังกึกก้องทำลายความเงียบงันลง จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหลายคนไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ทะยานออกไปได้

พวกเขามีวัตถุประสงค์ชัดเจน ซึ่งไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แต่เป็นศพของจักรพรรดิฟ้า

เนื่องจากตัวกระบี่ปักอยู่บนกะโหลกศีรษะชั่วร้าย ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาดึงออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาขอเข้าไปหาศพจักรพรรดิฟ้าก่อน ไม่แน่วิชาสามพิสุทธิ์อาจอยู่ที่ตัวจักรพรรดิฟ้าก็เป็นได้

จอมยุทธ์เหล่านั้นทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่คนอื่นๆ ที่มีสติมากกว่าก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะพวกเขาต้องการใช้จอมยุทธ์เหล่านี้เพื่อทดสอบ

คนเหล่านั้นปรากฏขึ้นข้างศพของจักรพรรดิฟ้าในพริบตา จากนั้นก็เอื้อมมือจับแล้วเตรียมพุ่งหนีจากไป

ร่างจักรพรรดิฟ้าผละจากกระบี่

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนั้นร่างกายก็เกร็งขึ้นด้วยความตื่นตัวเต็มที่

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ ความโลภวูบไหวในดวงตา แต่ละคนพุ่งเข้าไปแย่งชิง

วาบ!

ทว่าจังหวะนั้นเองเงาเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซัดฝ่ามือออกมา ดวงดาวระเบิดด้วยพลังงานที่น่ากลัวปะทุออกไปในมิติจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

สะเก็ดชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนกำปั้นกระแทกบนหน้าอกของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนหนึ่ง

ปัง!

พริบตาเดียวร่างนั่นก็ระเบิดออกกลายเป็นกลุ่มเลือดโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า…

ปัง! ปัง!

เงานั้นยังคงเคลื่อนไหวสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกสองคน หลังจากสังหารคนแรกเรียบร้อย

เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนถูกฆ่าตาย หลายคนก็ฟื้นคืนสติจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงรุนแรง พวกเขามองเงานั้นด้วยความตกตะลึงในดวงตา

เนื่องจากคนที่ลงมือก็คือลู่หยวน!

“ลู่หยวน แกทำอะไรน่ะ?!” หลายคนคำรามลั่น การกระทำของลู่หยวนคิดจะเป็นศัตรูกับทุกคนรึ?

แต่เผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ลู่หยวนกลับยิ้มกว้าง รอยยิ้มอำมหิตอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อกวักเลือดเนื้อที่ระเบิดบนท้องฟ้าเข้าด้วยกัน

เลือดเนื้อของสามจอมยุทธ์เคลื่อนไหว ขณะนั้นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างจักรพรรดิฟ้าเปิดปากกว้างกลืนเลือดเนื้อเหล่านั้นเข้าไป

ฉากนี้ทำให้ทุกคนสะท้านจับจิตขึ้นมา

นี่…เกิดอะไรขึ้น!

ยามนี้ทั้งสุสานตกอยู่ในความเงียบงัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท