หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1205

ตอนที่ 1205

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1205 ลั่วเสิน
มู่เฉินมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยสองมือสั่นเทา

เผยให้เห็นความวิตกกังวลในหัวใจของเขา

เขาจะไม่มีวันลืมความรู้สึกอ่อนแอตอนที่ภาพเงาแข็งแกร่งแก่ชราพาลั่วหลีไปจากเขาจากสำนักศึกษาเป่ยชาง

เขาไม่มีวันลืมน้ำตาแห่งความเสียใจที่เอ่อล่นในดวงตาของนาง เมื่อตอนที่จากลา

ตอนนั้นเขาไม่มีพลังอำนาจใด ได้แต่มองดูลั่วหลีหายไปจากครรลองสายตา

เขารู้ว่าการจากลาของเราสองคนต้องกินเวลาเนิ่นนานหลายปี

“ครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ยอมให้ใครพาเจ้าไปอีกแล้ว!”

เสียงมั่นคงของชายหนุ่มยังคงชัดเจนแม้ผ่านไปหลายปี หลังจากนั้นเขาก็ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพ

ผ่านไปหลายปี เขาก็เติบโตขึ้นผ่านศึกเป็นตายมามากมาย ทำให้ความอ่อนโยนบนใบหน้าลดลงไม่น้อย อย่างไรก็ตามดวงตาของเขายังคงแน่วแน่เช่นเคย

เขาเปลี่ยนแปลงจากลูกเจี๊ยบตัวน้อยจนกางปีกหงส์ฟ้าได้อย่างสมบูรณ์

ตอนนี้เขาไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

ตอนนี้ถ้าเขาเปิดไพ่ตายทั้งหมด ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี!

ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะยืนต่อหน้าชายชราคนนั้นด้วยความภาคภูมิ

แต่มู่เฉินรู้ว่าการเติบโตของตนเองนั้นไม่ได้เพื่อต่อต้านชายชราคนนั้นที่คิดแทนลั่วหลี ตนแค่อยากจะบอกตาแก่คนนั้นว่าชายหนุ่มที่หลานสาวเขาเลือกไม่ใช่กรวดหิน แต่เป็นเพชรเม็ดงามเมื่อได้รับการเจียระไน!

เขาทำงานหนักมาตลอดเพื่อให้ถึงวันนั้น

มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์ในใจลง ม่านตาสีดำก็กลับมาเป็นประกายเรืองรอง

มั่นถัวหลัวมองรัศมีคมชัดที่มาจากมู่เฉินก็ยกคิ้วขึ้น ใบหน้านางฉาบด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าคนรักของเจ้าจะเป็นคนสำคัญมาก”

หลังจากรู้จักมู่เฉินมานานนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาเกิดอารมณ์รุนแรงต่อหญิงสาวคนหนึ่ง

มู่เฉินยิ้มเขินแต่ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่มั่นถัวหลัว

เมื่อถูกจ้องมองมั่นถัวหลัวก็หุบยิ้ม นางเอามือแตะคางถามกลับว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับตระกูลลั่วเสินมากแค่ไหน?”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว ในอดีตตระกูลลั่วเสินเป็นดินแดนสวรรค์ที่ไกลเกินเอื้อมมือ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อก่อน จากการประเมินรากฐานพลังของตระกูลลั่วเสินน่าจะเทียบเท่าขั้วอำนาจระดับสูงสุดของทวีปเทียนหลัว

“ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินเสื่อมโทรมลงไปมาก ตอนที่อยู่ในจุดสุดยอดไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้เลย” มั่นถัวหลัวอธิบาย

“สมัยโบราณมีความงามล้ำหาที่เปรียบไม่ได้อยู่บนยอดคทาของตระกูลลั่วเสิน ในแง่ของความแข็งแกร่งและชื่อเสียงแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่านาง”

ความตกตะลึงฉาบบนใบหน้าของมู่เฉินตามคำพูดนี้ ตระกูลลั่วเสินมีอัจฉริยะทรงพลังที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังด้อยกว่ารึ?

มั่นถัวหลัวเบ้ปากพลางถอนหายใจ “นางรู้จักกันในนามลั่วเสิน ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ แต่ยังเป็นที่รู้จักในฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพ จุ๊ๆ ว่ากันว่าเทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกี่คนตกหลุมรักความงามของนาง”

มู่เฉินตกตะลึง ไม่คิดว่าบรรพบุรุษของตระกูลลั่วเสินจะเป็นเทพธิดาแห่งมหาพันภพ

“ตระกูลลั่วเสินมีมรดกตกทอดมายาวนาน ถ้าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตระกูลลั่วเสินคงเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณไปแล้ว” มั่นถัวหลัวถอนหายใจอย่างเสียดาย

มู่เฉินพูดไม่ออก เฉพาะเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นที่รู้จักในฐานะเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ เช่นเผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถู ไม่คิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีรากฐานเช่นนี้เหมือนกัน

“ลั่วเสินเสียชีวิตหรือ?” มู่เฉินถามเสียงต่ำ

ใบหน้าเคร่งขรึมของมั่นถัวหลัวพยักเบาๆ “เล่ากันว่าลั่วเสินขัดขวางจอมปีศาจขั้นเทียนสองคนที่อยู่ในอันดับที่แปดและเก้า”

มู่เฉินหดดวงตาจากการจำแนกตำแหน่งของจอมปีศาจขั้นเทียน ทั้งสองจะต้องเป็นราชันปีศาจที่ไม่ธรรมดาในจักรวรรดิปีศาจต่างมิติแน่นอน

เพราะเขาเคยได้เห็นพลังของจอมปีศาจทุนเทียน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าราชันปีศาจน่ากลัวมากเพียงใด

ทว่าลั่วเสินกลับเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตไร้เทียมทานสองคน ดังนั้นสามารถบอกได้ว่านางกล้าหาญเพียงใดรวมถึงตำแหน่งอันตรายของนางด้วย

“หลังมหาสงครามจบ ลั่วเสินเสียชีวิต แต่สำหรับจอมปีศาจขั้นเทียนทั้งสอง คนหนึ่งตายอีกคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ ในคำพูดแสดงความชื่นชมต่อเทพธิดาแห่งมหาพันภพ

มู่เฉินตกตะลึงอย่างที่สุดกับความสำเร็จของลั่วเสิน เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าทำได้ดีที่สุดก็เพียงผนึกจอมปีศาจทุนเทียนเอาไว้ สำหรับลั่วเสินนางสามารถฆ่าได้คนหนึ่งและซัดอีกคนจนบาดเจ็บ ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่าพลังของลั่วเสินแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิฟ้า

“ตอนที่นางเสียชีวิต ร่างทอดเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อแม่น้ำลั่ว ซึ่งตระกูลลั่วเสินปกปักเอาไว้ มีข่าวลือว่าลั่วเสินได้ทิ้งมรดกไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือร่างเทพวารี หนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สั่นสะเทือนผู้คนมากมายในมหาพันภพ”

“ลำดับที่สิบเอ็ด—ร่างเทพวารี?!” ท่าทางของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างลึกลับนี้จะเป็นของตระกูลลั่วเสิน!

เมื่อเทียบกับร่างเทพวารีแล้วร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็อาจไม่ได้เปรียบอะไรมากมาย

ขณะนี้เขาตระหนักได้ว่าตนเองประเมินตระกูลลั่วเสินต่ำเกินไป

“แต่…” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ตลอดหลายปีไม่มีสมาชิกตระกูลสามารถฝึกร่างเทพวารีนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับมรดก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลลั่วเสินถึงตกต่ำจนถึงจุดนี้”

มู่เฉินจนคำพูดไปเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะฝึกฝนร่างเทพวารี ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่เคยได้ยินใครที่ครอบครองร่างเทห์สวรรค์นี้ในอดีต

“พวกเขามีสมบัติล้ำค่า แต่อยู่ในตำแหน่งต่ำลง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจเป็นเรื่องปกติ” มั่นถัวหลัวพูดต่อไปว่า “ในดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลได้แก่ ตระกูลลั่วเสิน ตระกูลเสี่ยเสิน ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสิน อดีตถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะเสื่อมโทรมไปแล้ว แต่อูฐที่หิวโหยก็ยังคงมีขนาดใหญ่กว่าม้าดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำหนึ่งในสี่ตระกูลเทพเอาไว้ได้”

“แต่หลังจากที่สามตระกูลเทพขยายอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ บารมีของตระกูลลั่วเสินก็ถดถอยลงไป วันนี้ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนซีเทียนกลายเป็นตระกูลเสี่ยเสินไปแล้ว”

“มิหนำซ้ำตระกูลเสี่ยเสินยังมีความแค้นอย่างยิ่งกับตระกูลลั่วเสิน เกิดการปะทะกันระหว่างสองตระกูลมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลเสี่ยเสินกดดันหนักมาก ส่งผลให้ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในสภาพย่ำแย่”

“ส่วนภายในตระกูลลั่วเสินเองก็ย่ำแย่นัก ภายใต้ภัยคุกคามนี้กลับไม่สามัคคีกัน ต่างฝ่ายปกครองกันเอง เห็นได้เลยว่ากำลังจะล่มสลาย”

พูดถึงจุดนี้มั่นถัวหลัวก็ยิ้มมองมู่เฉิน “แต่คนรักของเจ้านั่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมแท้จริง นางพึ่งพาพลังของตนเองทำให้ตระกูลมั่นคงขึ้นและเป็นผู้นำทัพตระกูลลั่วเสินเข้าห้ำหั่นกับตระกูลเสี่ยเสินเอง”

มู่เฉินไม่รู้สึกดีใจเลย เขากลับกำหมัดแน่นสาดสีหน้าเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ข้างกายลั่วหลี แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน

“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบอกว่าสภาพของนางไม่ดีใช่ไหม?” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ขณะที่ถามเสียงเบา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่พยักหน้าเบาๆ “จากข้อมูลที่ได้รับตระกูลลั่วเสิน วางแผนที่จะให้นางเข้าพิธีเทพธิดาลั่ว เพื่อดูว่านางจะได้รับมรดกหรือไม่”

“หากลั่วหลีสามารถรับมรดกของลั่วเสินและฝึกร่างเทพวารีได้สำเร็จ ด้วยพรสวรรค์นางก็จะกลายเป็นลั่วเสินคนที่สองในอนาคต ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเทพอีกสามตระกูลอยากที่จะเห็น ดังนั้นข้ากลัวว่าจะมีปัญหาในพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้”

“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่ามีคลื่นใต้น้ำในตระกูล ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนคนรักของเจ้า สายของนางอ่อนแอและถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลั่วเทียนเสินละก็…”

“พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แน่”

ฮา

แสงเย็นเยือกวาววับในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกระงับอารมณ์ “พิธีเทพธิดาลั่วจะเริ่มเมื่อไร?”

“หนึ่งเดือนนับจากนี้”

มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวถามว่า “ข้าใช้พลังตำหนักมู่ได้ไหม?”

ตระกูลลั่วเสินเส้นสายโยงใยซับซ้อนมากเกินไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง

มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะที่ยืนขึ้น

“ตอนนี้เจ้าเป็นประมุขตำหนักมู่แล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”

มู่เฉินพูดเสียงเบา “ขอบคุณ”

เขารู้ดีว่าตนเองเป็นเหตุผลว่าทำไมมั่นถัวหลัวจึงตั้งใจสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือเพื่อจัดตั้งตำหนักมู่

มั่นถัวหลัวเหยียดเอวพูดอย่างทรงอำนาจ

“ใครให้เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าล่ะ ในเมื่อมีใครกล้ามารังแกน้องสะใภ้ก็ซัดให้มันตายไปเลย!”

มู่เฉินยิ้มกว้าง ทว่ากลับมีแสงเหี้ยมเกรียมวูบไหวในดวงตา

ลั่วหลี รอข้า!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท