หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1209

ตอนที่ 1209

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1209 พิธีเทพธิดาลั่ว
วังหลวงลั่วเสิน

ชัยภูมิที่นี่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำลั่วไหลเชี่ยว ที่ตั้งอยู่ตรงจุดตัดของแม่น้ำ มีสายน้ำไหลหลั่งไม่สิ้นสุดราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พิธีเทพธิดาจะจัดขึ้นที่นี่

ดังนั้นทั่วบริเวณจึงเต็มไปด้วยการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยมีกองทัพประจำการอยู่ทุกด้านของแม่น้ำ มีกระทั่งนักรบขี่กระเรียนสายฟ้าตั้งกระบวนทัพเป็นแนวป้องกันบนท้องฟ้า แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้

สามารถมองเห็นผู้คนจำนวนมากชุมนุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำที่ทอดยาวสุดสายตา

พวกเขาเหล่านี้เป็นประชาชนของตระกูลลั่วเสินซึ่งกำลังรอการปรากฏตัวของจักรพรรดินีองค์ใหม่

พวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานในพิธีเทพธิดาลั่ว เพื่อเฝ้ามองจักรพรรดินีก้าวขึ้นสู่บัลลังก์

บริเวณนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเมืองลั่วเสินหรือกระทั่งทั้งตระกูล

ตึง!

ขณะที่ทุกคนกำลังรออย่างตื่นเต้น เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้น

ฟิ้ว!

เมื่อระฆังดังกังวาน ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากวังลั่วเสิน ก่อนที่จะพลิ้วลงเหนือแท่นที่ลอยบนผิวแม่น้ำ

นี่เป็นแท่นพิธีที่เหมือนว่าถูกปั้นมาจากหยกขาว ระยิบระยับแพรวพราวอย่างยิ่ง แต่ความสนใจผู้คนไม่ได้อยู่ที่แท่นพิธีเลย กลับเป็นหญิงสาวที่อยู่บนนั้น

นางยืนบนแท่นพิธี เรือนผมสีเงินยวงพร่างพราวภายใต้แสงตะวัน ใบหน้าไร้ที่ติราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของโลก

ซ่าๆๆ!

เมื่อนางปรากฏตัวผู้คนทั้งหมดก็คุกเข่าลงราวกับนาข้าวที่ล้มลงเมื่อถูกพายุพัดใส่ ดวงตาที่มองเงาร่างบนแท่นพิธีทั้งลุกโชนและอัดแน่นด้วยความนับถือ

“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”

เสียงกึกก้องดังขึ้นในเมืองลั่วเสินสะท้อนไปมาเป็นเวลานาน

เมื่อเห็นดวงตาโชติช่วงด้วยความเชื่อมั่นของประชากรตระกูลลั่วเสิน ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มาเข้าร่วมพิธีเทพธิดาลั่วก็มีท่าทางเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลลั่วเสินที่กำลังจะล่มสลาย ไม่กี่ปีผ่านมาจะกลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้

นี่ทำให้พวกเขาต้องทอดถอนหายใจ จากนั้นก็มองดูร่างเงาบนแท่นพิธีด้วยความหลงใหล ยามนี้พวกเขาต้องยอมรับว่าบางคนในโลกมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่สามารถดึงดูดผู้คนทั้งหมดไว้ได้

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีองค์ใหม่ของตระกูลลั่วเสินอยู่ในประเภทนั้น

ลั่วหลีกวาดมองไปผู้คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ก็ลุ่มหลงในหัวใจของทุกคน

“นายหญิง!”

ที่ด้านหลังลั่วหลี เงาร่างสองร่างที่หนุ่มแน่นคุกเข่าลงบนพื้น มือข้างหนึ่งแตะหน้าอก พวกเขาเฝ้ามองร่างอรชรเบื้องหน้าด้วยดวงตาสุกสว่างและความรักความเทิดทูนฉายในส่วนลึกของดวงตา

ลั่วหลีหันไปมองทั้งสองคน พวกเขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลลั่วเสิน ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ก็จะสามารถจดจำทั้งสองได้ทันที เนื่องจากพวกเขาเป็นคนที่ติดตามลั่วเทียนเสินไปยังสำนักศึกษาเป่ยชาง

ลั่วชิงหยาและลั่วซิว

ช่วงเวลาหลายปีพวกเขาก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ด้วยวัยของพวกเขาแม้ว่าลั่วหลีจะให้การสนับสนุนทรัพยากร แต่ก็ปฏิเสธความโดดเด่นของพวกเขาไม่ได้

“จะต้องมีบางคนคิดทำลายพิธีเทพธิดาลั่วแน่นอน ข้าหวังว่าเจ้าสองคนจะสามารถขัดขวางพวกเขาได้” ลั่วหลีเอ่ยเสียงเบา

ภายใต้การสั่งการของนาง ลั่วชิงหยาและลั่วซิวแทบจะควบคุมกองทัพทั้งหมดของตระกูลลั่วเสิน พวกเขาทั้งสองมีอำนาจมากในกองทัพ

“ถ้าพวกข้ายังอยู่จะไม่ยอมให้หน้าไหนมาปรากฏตัวต่อหน้าท่านได้” ลั่วชิงหยายิ้มไม่มีการสั่นคลอนในเนื้อเสียงของเขาสักนิด

“แม้ตายพวกข้าก็จะใช้ศพขัดขวางศัตรูไว้ ไม่ให้มารบกวนท่านแน่” ลั่วซิวยิ้มกว้าง ทว่ารอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ลั่วหลียิ้มขณะที่ส่ายหัวเบาๆ “อย่าตายเลย”

ลั่วชิงหยาและลั่วซิวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จากนั้นก็ผงกหัวรับแล้วทะยานกลับไปยังกองทัพ ครั้งนี้พวกเขาไม่ปล่อยกระทั่งแมลงวันเข้ามารบกวนลั่วหลีได้อย่างแน่นอน แม้จะต้องใช้ราคาชีวิตของพวกเขาจ่ายก็ตาม

หลังจากที่พวกเขาไปแล้วลั่วหลีก็กวาดสายตาไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ตรงนั้นเป็นกลุ่มคนที่นำโดยผู้อาวุโสสามคน ทั้งสามปล่อยพลังงานที่ผันผวนทรงประสิทธิภาพ บ่งบอกได้ว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!

ทว่าลั่วหลีไม่มีความยินดีในสายตาสักนิดขณะที่มองผู้อาวุโสทั้งสาม ในทางตรงกันข้ามกลับมีไอเย็นยะเยือกวาบขึ้นในดวงตาของนาง เนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนมาจากตระกูลสาขา

ในตระกูลลั่วเสินพวกเขามีอำนาจสูงสุดนอกเหนือจากราชวงศ์

แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้จงภักดีต่อราชวงศ์ ตรงกันข้ามมีแต่คนพยายามลดบทบาทของราชวงศ์ หากไม่ใช่ลั่วทียนเสินยังยืนหยัด คนพวกนี้คงจะเข้ายึดบัลลังก์แล้ว

ดังนั้นในพิธีเทพธิดาลั่วนี้ ไม่เพียงแต่ลั่วหลีจะพึ่งพาพวกเขาไม่ได้ นางยังต้องคอยระวังพวกเขาด้วย

“ท่านลุงเทียนหลง” ลั่วหลีเรียกเสียงเบา

ที่เบื้องหลัง ชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งกำยำข้างลั่วเทียนเสินก้าวออกมาโค้งคำนับให้ เขาคือลั่วเทียนหลงหนึ่งในจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของราชวงศ์

เมื่อก่อนเขาและบิดาของนางเป็นเพื่อนรักกัน ทว่าหลังจากที่บิดาของลั่วหลีเสียชีวิต ความวุ่นวายในตระกูลทำให้เขาผิดหวังจนแยกตัวออกไป แต่เมื่อลั่วหลีกลับมา นางลองไปเชิญเขาด้วยตัวเองหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกจากการปลีกวิเวกกลับมาที่ตระกูล

“ฝากท่านช่วยเฝ้าดูคนพวกนั้นอย่างใกล้ชิดด้วย” ลั่วหลีพูดกับลั่วเทียนหลง

ลั่วเทียนหลงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนเดียว ดังนั้นจึงค่อนข้างตึงมือสำหรับเขาที่คอยกันจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนไว้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินไม่มีตัวช่วยมากนัก เขาเป็นคนสุดท้ายที่นางขอให้ช่วยได้แล้ว

เมื่อลั่วเทียนหลงได้ยินคำพูดของนาง เขาก็พยักหน้าโดยไม่ลังเล

“ขอบคุณมาก” ลั่วหลีเผยยิ้มกว้างออกมา

ลั่วเทียนหลงหัวเราะ “ความช่วยเหลือยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อเจ้าคือการมีลูกสาวที่โดดเด่น ข้าเชื่อว่าด้วยมือของเจ้าตระกูลลั่วเสินจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม! ดังนั้นเจ้าให้ข้าทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ!”

เขาทะยานออกไปพลิ้วตัวลงระหว่างกลุ่มคนกับแท่นพิธึ จากนั้นก็จ้องมองไอ้งั่งสามคนด้วยจิตสังหารเข้มข้นที่ฉายขึ้นบนใบหน้าเพื่อเป็นการเตือน

ที่นั่นผู้อาวุโสทั้งสามมองลั่วเทียนหลงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าทางใด ก่อนที่จะหันไปมองร่างเงาบนแท่นพิธีด้วยสายตาซับซ้อน

หลังจากที่ลั่วเทียนหลงไปประจำตำแหน่งแล้ว ลั่วหลีก็หันไปหาลั่วเทียนเสินและพยักหน้าให้

“เริ่มเลยเจ้าค่ะ”

ลั่วเทียนเสินสูดหายใจลึกๆ การวางแนวป้องกันของลั่วหลีค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ ทว่าเขารู้ว่านี่ไม่ใช่พวกเดียวที่พวกเขาจะต้องป้องกัน ซึ่งลั่วหลีก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

พิธีเทพธิดาลั่วในครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่อันตรายที่สุดในช่วงหลายปี

แต่ไม่ว่าจะอันตรายเพียงใดก็ไม่มีทางให้พวกเขาถอยอีกแล้ว

แสงหลิงหนาแน่นคลี่กระจายออกจากแท่นพิธี แท่นดอกบัวก่อตัวขึ้นใต้ฝ่าเท้าของลั่วหลี นางนั่งลงพร้อมกับเรือนผมสีเงินพลิ้วไหวไปกับสายลม ช่างเป็นภาพงดงามยิ่งนัก

ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองสายตาคาดหวังนับไม่ถ้วน ประชาชนทุกผู้ทุกนามล้วนปรารถนาให้นางประสบความสำเร็จ เพราะนี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลลั่วเสิน

ดังนั้นครั้งนี้นางจะล้มเหลวไม่ได้!

ลั่วหลีสูดหายใจลึก อึดใจก็กัดลิ้นโดยไม่ลังเล เลือดกลั่นไหลออกมาหยดลงมาจากท้องฟ้าทิ้งตัวสู่แม่น้ำลั่ว

ตู้ม!

เมื่อเลือดกลั่นไหลเข้าไป แม่น้ำทั้งสายก็กลายเป็นสีแดงแล้วเริ่มกวนตัว ประกายไฟสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากแม่น้ำ ก่อนที่พวกมันจะลอยขึ้นไปอาบไล้ร่างลั่วหลี

ทันใดนั้นชุดสีขาวของนางก็ถูกย้อมสีแดงเข้ม

สีแดงเข้มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะกลายเป็นเปลวไฟล้อมรอบร่างลั่วหลีพร้อมกับเสียงท่องคาถาโบราณดังขึ้นในฟ้าดิน

ทุกคนมองไปที่เปลวไฟสีแดงเข้ม หัวใจของพวกเขาก็เกร็งแน่น นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่า…

พิธีเทพธิดาลั่วได้เริ่มขึ้นแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท