หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1219

ตอนที่ 1219

บทที่ 1219 ไม่เป็น?
ปากหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในแม่น้ำลั่ว

ซึ่งตัดการไหลผ่านของน้ำไป เสื้อผ้าของเสี่ยโส่วขาดรุ่งริ่ง ขณะที่นอนพะงาบในหลุม คลื่นหลิงดิ่งลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

ส่วนเสี่ยถงก็ยังนอนพังพาบอยู่อีกมุมหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งดูน่าสมเพชพอกัน

ขณะนี้หมอกเลือดที่เกิดจากร่างเสี่ยยีก็จางหายไปหมดแล้ว…

ทั้งเมืองเงียบกริบ ทุกคนอ้าปากตาค้างกับฉากนี้ ขณะนี้ไม่ว่าตระกูลเสี่ยเสินหรือตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่เฝ้าดูการต่อสู้ ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึกในใจด้วยความหวาดกลัว

นั่นเป็นเพราะความสำเร็จนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

ด้วยตัวคนเดียวมู่เฉินสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคน ฆ่าไปคนหนึ่งและบาดเจ็บหนักสองคน!

ยามนี้พวกเขายอมที่จะเชื่อว่ามู่เฉินเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่ความจริงก็ย่อมโหดร้าย ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายตัวจริง พวกจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยทั้งสามคงไม่กล้าท้าทาย แม้จะให้ความกล้ากับพวกเขาเพิ่มขึ้นก็ตาม…

ดังนั้นความจริงคือมู่เฉินผู้สร้างผลงานชิ้นโบแดงสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเหมือนกับทั้งสามคนนั่น!

ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาที่เริ่มฉายแววเคารพยำเกรง

มู่เฉินแสดงสีหน้านิ่งสงบ เขาไม่ได้รู้สึกดีใจมากแม้จะประสบความสำเร็จ ราวกับว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ถ้าเป็นในอดีตหลายคนอาจรู้สึกว่าเขาอวดเก่ง แต่หลังจากบรรลุผลดังกล่าวทุกคนรู้สึกว่าความสงบของเขาลึกซึ้งและไม่อาจหยั่งรู้ได้

ท่ามกลางความเงียบสงบในทั่วฟ้าดิน แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินยังมองร่างเงานั้นด้วยความสุขในส่วนลึกของดวงตา

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายพวกเขาไปมาก

ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะถูกสังหารโดยจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินทั้งสาม แต่สุดท้ายกลับเป็นตระกูลเสี่ยเสินที่พ่ายแพ้ นี่เป็นแสงความหวังสำหรับพวกเขาที่สิ้นหวังไปก่อนหน้า

บางทีชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับจักรพรรดินี อาจสามารถกอบกู้ตระกูลลั่วเสินได้จริงๆ

ลั่วซิวและลั่วชิงหยาแลกเปลี่ยนสายตากัน ยามนี้พวกเขาหมดแรงจูงใจในการแข่งขัน พวกเขาหวังอย่างแท้จริงว่ามู่เฉินจะช่วยลั่วหลีพาตระกูลลั่วเสินออกจากสถานการณ์สิ้นหวังนี้ได้

บางทีพวกเขาอาจมีข้อสงสัยก่อนหน้านี้ แต่ในเวลานี้พวกเขาเชื่อว่ามู่เฉินสามารถทำได้…

บนเจดีย์ ลูกกระเดือกของเหล่าผู้อาวุโสตำหนักมู่ก็ขยับขึ้นลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อพวกเขามองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่วซึ่งบาดเจ็บหนัก

จากนั้นก็มองมู่เฉินอีกครั้งด้วยความเคารพที่มีในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัว ขณะนี้พวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของมู่เฉินแล้ว

นั่นเป็นเพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้พวกเขายำเกรง ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินยังอ่อนเยาว์มากซึ่งหมายความว่าเขามีศักยภาพในการเติบโตขึ้นไปอีก

ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าในอนาคต มู่เฉินจะไปได้ไกลกว่ามั่นถัวหลัว ในเวลานั้นตำหนักมู่ก็จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเจ้าตำหนักอย่างมู่เฉิน

และพวกเขาก็สามารถพึ่งพามู่เฉินเพื่อให้ได้ตำแหน่งและทรัพยากรอย่างคาดไม่ถึง

“ประมุขมู่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับพรจากสวรรค์มีศักยภาพเหลือล้น ในอนาคตเราทุกคนจะต้องดีใจสำหรับการเลือกนี้” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจด้วยความเคารพ

ครั้งนี้เขาเรียกมู่เฉินว่าประมุขจากส่วนลึกของหัวใจ

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้กับความกินแหนงแคลงใจที่มีต่อมู่เฉิน กระทั่งเอ่ยประจบสอพอขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงจะมีความคิดนี้ในใจพวกเขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหลิ่วเทียนเต้า

พอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นริมฝีปากของมั่นถัวหลัวก็โค้งขึ้น เนื่องจากนางรู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตาเฒ่าเหล่านี้จะยอมรับมู่เฉินได้อย่างแท้จริง

นั่นหมายความว่าจากนี้พวกเขาจะสละความเย่อหยิ่งและเคารพมู่เฉินในฐานะผู้นำ จนยอมสวามิภักดิ์ทั้งใจกาย…

“เจ้าหนูนี่…”

ภายใต้สายตาตกใจมากมาย ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปขณะมองแม่น้ำลั่วที่มีสภาพวุ่นวายก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน

เขาตกตะลึงมากกับความสำเร็จนี้เช่นกัน

ด้วยขุมพลังที่เหมือนกัน มู่เฉินสามารถสังหารไปคนหนึ่ง อีกสองคนก็บาดเจ็บหนัก ผลลัพธ์ดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนพูดไม่ออก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ลั่วเทียนเสินรู้สึกถึงความซับซ้อนที่สุดในหัวใจ เพราะเขาเคยได้เห็นว่ามู่เฉินอ่อนแอและไร้ประโยชน์แค่ไหนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แต่ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินก็สามารถบอกได้ถึงความดื้อรั้นและความเพียรที่ชายหนุ่มมี

ตอนนั้นเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าจะเติบโตอย่างทรงพลัง…

และเป็นอย่างที่คาดไว้มู่เฉินเติบโตอย่างแกร่งกล้า แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือมู่เฉินจะสามารถบรรลุผลได้รวดเร็วเพียงนี้…

เขาใช้เวลาไปเพียงสี่ปี!

ชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนในตอนนั้นกลับพุ่งแรงยิ่งกว่าดาวฤกษ์ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน นอกจากนี้ยังมีทักษะและความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้อีกด้วย!

เมื่อมองไปทางมู่เฉิน แม้แต่คนอย่างลั่วเทียนสินยังผวาหน่อยๆ เขารู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ขัดขาหรือรังแกชายหนุ่มคนนี้มากเมื่อตอนที่อ่อนแอ มิฉะนั้นเขาจะถูกวางให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจ

“ยอมมีเรื่องกับตาแก่ ดีกว่ามีเรื่องกับเด็กหนุ่ม” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจด้วยอารมณ์หนักหน่วง

เนื่องจากความสำเร็จของมู่เฉิน จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสามคนของตระกูลสาขาก็หยุดชะงักไปเช่นกัน พวกเขาต่างเห็นความกลัวบนใบหน้าของกันและกัน เมื่อมองดูสภาพของเสี่ยถงและเสี่ยโส่ว

“ฮ่าๆ น่าเกรงขามอะไรอย่างนี้!”

ดวงตาของลั่วเทียนหลงแจ่มใส เขาระเบิดเสียงหัวเราะร่วน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลั่วหลีรักอย่างมั่นคง สายตาของนางไม่ธรรมดาเหมือนกับพรสวรรค์เลย!”

ในขณะที่พูดก็มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามพลางเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนต้นขาของตระกูลเสี่ยเสินไม่ได้หนาอย่างที่แกคิดไว้นะ”

ทั้งสามคนนั้นแสดงออกด้วยท่าทางน่าเกลียด แต่ก็ยังพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ต่อให้เด็กเหลือขอนั่นจะทรงพลัง แต่ตอนนี้ก็คงถึงขีดสุดแล้ว”

ลั่วเทียนหลงล้อเลียนด้วยรอยยิ้ม ไม่ใส่ใจพวกเขาอีก สายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความพอใจอย่างยิ่ง วิธีการของชายหนุ่มถูกใจเขามากเลยทีเดียว

ทุกคนต่างตกตะลึงชื่นชมไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันมองไปที่เสี่ยหลิงจื่อที่ตอนนี้ใบหน้ามืดมนลงหลายส่วนพร้อมกับรังสีสังหารวาบขึ้นในดวงตาขณะจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน

ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ทุกคนสามารถจินตนาการได้ถึงความโกรธในใจเขา

“ไอ้ขี้กลาก! ขยะสามชิ้น! ถูกเด็กเหลือขอซัดจนถึงจุดนี้ พลังที่พวกแกฝึกฝนไปอยู่ในร่างสุนัขหมดเลยเรอะ?!”

เสี่ยหลงจื่อขบฟันขณะที่คำราม ความโกรธแค้นถูกระบายไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว ซึ่งทำให้ทั้งสองละอายใจนัก

ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขารู้ว่าคงมีแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยในอนาคตหากมีข่าวว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสามคนพุ่งชนมู่เฉินแต่สุดท้ายกลับล้มเหลว ตายหนึ่งคน บาดเจ็บสองคน

“พวกเจ้าลงมือให้หมดฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนั่น!”

สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมน เขาไม่เพียงแต่มองไปที่เสี่ยถงและเสี่ยโส่งเท่านั้น ยังหมายรวมไปที่จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินด้วย

ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียว เสี่ยถงและเสี่ยโส่วก็ยังตะเกียกตะกายยืนขึ้นอย่างช้าๆ

“และพวกแกด้วย สามคนยังจัดการคนเดียวไม่ได้ หากไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว ข้าจะช่วยสนองให้!” เสี่ยหลิงจื่อหันกลับมาอย่างเย็นชาขณะที่มองผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลลั่วเสินสาขา

“ไปจัดการพร้อมกัน หากไอ้เด็กเหลือขอนั่นไม่ตาย วันนี้พวกแกลงนรกแทนแน่!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทั้งสามคนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกถึงไอสังหารในสายตาของเสี่ยหลิงจื่อ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะลบล้างคำพูดเหล่านั้น ทำได้เพียงขบฟัน ก่อนสองคนจะแยกไปปรากฏข้างๆ เสี่ยถงและเสี่ยโส่ว

จอมยุทธ์อีกสองคนของตระกูลเสี่ยเสินก็มาถึงเช่นกัน ทีนี้ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเตรียมประจัญบานกับมู่เฉินถึงหกคน

แม้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ การรวมตัวนี้ก็ยังคงน่ากลัว

โห!

เผชิญหน้ากับวิธีไร้ยางอายของตระกูลเสี่ยเสิน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในเมืองลั่วเสิน บางขั้วอำนาจที่เฝ้าดูสิ่งนี้ก็ได้แต่สาปแช่ง ตระกูลเสี่ยเสินละทิ้งใบหน้าของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว…

จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้

“ผู้ชนะคือกฎ หากมัวใส่ใจกับมุมมองของคนอื่น ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่มีโอกาสลุกขึ้นแล้ว”

ทว่าเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ใส่ใจกับสายตามากมายขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย เขามองมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยม “ไอ้หนู แกมีไพ่ตายเยอะไม่ใช่เรอะ? มาลองใหม่อีกสิ หากสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจำนนต่อตระกูลลั่วเสินเลย!”

มู่เฉินยิ้มอ่อน “หมาในเหมือนแกฆ่าให้ตายเลยจะดีกว่า ไม่ต้องมาจำนนอะไรหรอก”

“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!” สายตาของเสี่ยหลิงจื่อเย็นชาลง

มู่เฉินยักไหล่ก่อนที่จะมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งหกคนพลางแย้มยิ้ม “แกแน่ใจหรือว่าวันนี้ข้าจะเป็นคนตาย?”

“โอ้?” มุมโค้งเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปากของเสี่ยหลิงจื่อ “แกสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหกคนได้เชียวรึ?”

มู่เฉินยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่ลงขณะมองคนทั้งหกพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนแกจะลืมสิ่งที่ข้าพูดไปแล้ว”

เสี่ยหลิงจื่อขมวดคิ้ว เค้นเสียงเย็น “อะไร? แกยังแกล้งทำอยู่เหรอ?”

มู่เฉินหลุบตาลงตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าชื่อมู่เฉินเป็นประมุขตำหนักมู่”

เสี่ยหลิงจื่อหัวเราะเสียงเย็นเยือก “ตำหนักมู่อะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายเสี่ยหลิงจื่อก็รู้สึกไม่สบายใจทันที

“ในเมื่อข้าเป็นประมุข แกคิดว่าทั้งสำนักมีข้าคนเดียวรึ?”

“กำลังเสริม แกคิดว่าข้าเรียกไม่เป็นรึไง?”

พูดจบมู่เฉินก็ยกมือขึ้นแล้วกวาดลงเบาๆ

เมื่อมือของเขากวาดลง ทุกคนก็เห็นห้วงมิติบิดเบือนรอบตัวมู่เฉิน ร่างเงาจำนวนหนึ่งที่มาพร้อมกับความผันผวนของพลังงานที่ไร้ขอบเขตก้าวออกมาปรากฏอยู่ด้านหลัง ภายใต้สายตาตื่นตะลึงงันนับไม่ถ้วน

ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง เขาหายใจเข้าลึกด้วยความไม่เชื่อ ความกลัวพวยพุ่งจากหัวใจไปยังหัวทำเอาหนังหัวลุกชันเลยทีเดียว…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท