หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1220

ตอนที่ 1220

บทที่ 1220 ผู้เฒ่าตง
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลัง

ที่เบื้องหลังคลื่นหลิงมหึมาระเบิดออก ก่อนที่มิติจะบิดเบี้ยว ร่างเงากลุ่มหนึ่งเยื้องย่างออกมายืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินภายใต้สายตาเบิกกว้าง

นั่นคือร่างเงาห้าคน

ทั้งห้าปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังพร้อมกับความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปฉีกเมฆบนท้องฟ้า

พวกเขาทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!

เมื่อการปรากฏตัวนี้เกิดขึ้น แรงกดดันจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นหกคนก็ถูกระงับทันที ในทางตรงข้ามพวกเขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่ห่อหุ้มมาจากท้องฟ้าฝ่ายตรงข้าม

ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที ความกลัวที่ไม่อาจคาดการณ์ได้เพิ่มขึ้นในสายตา

“จะ…จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคน?! พวกเขามาจากตำหนักมู่หมดเลยรึ? ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ทรงพลังขนาดนี้เชียว?”

มีบางคนหายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองฉากนี้แบบไม่อยากเชื่อ แม้แต่ในดินแดนซีเทียนเล็กทั้งหมด อาจมีเพียงตระกูลเสี่ยเสินเท่านั้นที่มีจำนวนขนาดนี้ แต่ตำหนักมู่ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนมีพลังเช่นนี้เหมือนกันรึ?

นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบอกได้ว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินมีสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นั่นก็หมายความว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินจริงๆ

ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเสี่ยเสิน เป็นเพราะเขามีพลังและคุณสมบัติที่จะต่อสู้ แม้แต่เสี่ยหลิงจื่อก็ยังต้องถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการรวมตัวดังกล่าว

หากเขาต้องการที่จะสู้ แม้ว่าเขาจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ก็รังแต่ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมาน

“เจ้าหนูนี่…”

ลั่วเทียนเสินก็ตกใจกับฉากนี้เช่นกัน ครู่ต่อมาเขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวไปมา การแสดงศักยภาพของมู่เฉินกินขาดเลยจริงๆ แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าชายหนุ่มจะซ่อนมือไว้ในแขนเสื้ออีกด้วย

ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง เขายังรวบรวมจอมยุทธ์ทรงพลังที่มีเช่นนี้ได้อีกด้วย

จากการประเมินของลั่วเทียนเสิน ด้วยพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลลั่วเสินเลย…

เมื่อเทียบกับสิ่งนี้สายตาลั่วเทียนเสินยิ่งลุกโชนเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ชายหนุ่มคนนี้เป็นปาฏิหาริย์แท้จริง บางทีถ้าเขาและลั่วหลีตกร่องปล่องชิ้นกัน ก็อาจนำสิ่งมหัศจรรย์มาสู่ตระกูลลั่วเสินได้…

“คารวะท่านประมุข!”

ภายใต้สายตาตกละลึงนับไม่ถ้วน ทั้งห้าคนก็ไม่ได้ใส่ใจ พวกเขาประสานมือแสดงมารยาทต่อมู่เฉิน

มองท่าทางของพวกเขาคิ้วของมู่เฉินก็เลิกขึ้น ในอดีตแม้ว่าพวกเขาจะเอ่ยถึงเขาในฐานะเจ้าตำหนัก เขาก็บอกได้ถึงความอึดอัดใจที่พวกเขามีให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินสัมผัสได้ว่าพวกเขาพูดจากส่วนลึกของหัวใจ

เขามองไปที่ทั้งห้าด้วยสายตาลึกซึ้งและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ข่มขู่ตระกูลเสี่ยเสินได้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเหล่านี้ยำเกรงขึ้นด้วย

นี่เป็นผลที่คาดไม่ถึง มู่เฉินยิ้มบาง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะทำให้จอมยุทธ์ที่เคยเป็นผู้ปกครองภูมิภาคทางเหนือยอมรับเขาได้

“ท่านประมุขจัดการไปแล้ว ที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้กับพวกเราเถอะ” โยวมิ่งยิ้ม เขาเป็นคนแน่วแน่ ในเมื่อยอมรับตำแหน่งของมู่เฉินแล้ว เขาก็จะวางตัวเองให้ดีทำหน้าที่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา

คนอื่นๆ ก็พยักหน้าพลางมองไปที่ฝั่งศัตรู

เผชิญหน้ากับทั้งห้าคน พวกเสี่ยถงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบจากจำนวน แต่มู่เฉินก็ทำให้บาดเจ็บไปเกือบครึ่ง หากพวกเขาต้องสู้ งานนี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แน่

ผู้อาวุโสทั้งสามของสาขาตระกูลลั่วเสินก็รู้สึกขมขื่นในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่ชายหนุ่มคนนี้มีพลังที่ทรงศักยภาพ สำนักที่เรียกว่าตำหนักมู่ก็ยิ่งน่ากลัวไปกว่าเนื่องจากมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นถึงห้าคน!

การรวมตัวทรงพลังนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลเสี่ยเสินเลย!

เนื่องจากการปรากฏตัวของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลลั่วเสินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ภายใต้การคุ้มครองของเขา ลั่วหลีจะสามารถรับมรดกได้สำเร็จ ตำแหน่งของนางในตระกูลไม่มีทางสั่นคลอนในอนาคตอีกเลย

ความล้มเหลวของพวกเขาราวกับถูกกำหนดแล้ว

พวกเขามองไปที่เสี่ยหลิงจื่อด้วยความตื่นตระหนก ขณะนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนทำให้เขาตกใจอย่างมาก แต่เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจึงสามารถระงับอารมณ์เอาไว้

เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมนพูดช้าๆ ว่า “ข้าเสี่ยหลิงจื่อได้พบกับผู้คนมามากมาย ไม่คิดว่าจะมามองพลาดที่แก”

น้ำเสียงของเขาไม่มีการดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป เขาเริ่มมองมู่เฉินเป็นคนในระดับเดียวกัน สถานะของมู่เฉินในฐานะผู้นำตำหนักมู่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

มู่เฉินยิ้มให้กับคำพูดนี่

เสี่ยหลิงจื่อครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ข้าจะปล่อยเรื่องที่เจ้าฆ่าผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินและจะมอบของเหลวจื้อจุนให้เจ้าสามร้อยล้านหยด ที่ข้าขอคือให้เจ้าจากไปโดยสามารถพาลั่วหลีไปกับเจ้าได้!”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะเด็ดขาดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ไล่ล่ามู่เฉิน เขายังเต็มใจที่จะจ่ายค่าชดเชยและปล่อยลั่วหลีไป

แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นตระกูลลั่วเสินพินาศแน่นอน

สายตาทุกคนมองไปที่มู่เฉิน เพราะจำนวนสามร้อยล้านหยดไม่น้อยเลย แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังต้องเทคลังทั้งหมดเพื่อสิ่งนั้น พลเมืองตระกูลลั่วเสินมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับตัวสั่นงันงก สำหรับพวกเขาจำนวนนั่นไม่อาจจินตนาการได้เลย กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังหวั่นไหว

ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาทราบดีถ้ามู่เฉินปฏิเสธ เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้อดีข้อเสียเห็นได้อย่างชัดเจน

“ฮ่าๆ เป็นข้อเสนอที่ดึงดูดนัก” มู่เฉินทึ่งกับความกล้าได้กล้าเสียของเสี่ยหลิงจื่อ เขาหัวเราะเบาๆ มองไปที่ลั่วเทียนเสิน “ท่านประมุขลั่วคิดเห็นว่าอย่างไร?”

ลั่วเทียนเสินนิ่งเฉยหลังจากได้ยินคำถามโดยไม่มีความกังวล ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อในมู่เฉิน ลั่วหลีต่างหากที่เป็นคนที่เขาเชื่อ สายตาของนางไม่เลือกคู่ครองที่ถูกดึงดูดด้วยเงินหรอก…

เมื่อเห็นท่าทางลั่วเทียนเสิน มู่เฉินก็เบ้ปากยิ้มให้เสี่ยหลิงจื่อ “ยังมีวิธีอะไรอีกก็ใช้มาซะ”

ประโยคนี้บอกคำตอบของเขาแล้ว

เมื่อเสี่ยหลิงจื่อได้ยิน เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ชัดว่าคาดไว้แล้ว แต่สายตากลับเย็นเยือกลง อึดใจก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อให้ทางแล้วพวกแกไม่ไป งั้นก็โทษข้าไม่ได้แล้ว”

ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาตะโกนด้วยความเคารพว่า “ผู้เฒ่าตงโปรดแสดงตัว!”

พร้อมกับเสียงของเสี่ยหลิงจื่อ ท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกด้วยเกล็ดหิมะโปรยปราย แช่แข็งดินแดนเอาไว้ทันที

เกล็ดหิมะลอยล่องมารวมกันเบื้องหน้าเสี่ยหลิงจื่อ เผยร่างชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว คิ้วและเคราขาวโพลน รูปร่างผอมบาง บนใบหน้าที่ไม่มีการแสดงออกใดๆ ปรากฏลวดลายเกล็ดหิมะคลุมเครือ

เมื่อทุกคนมองไปที่ชายชรา สีหน้าบางคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง เสียงอุทานดังก้องออกมา

“นั่น…นั่นผู้เฒ่าหลิงตง?!”

“สวรรค์ทำไมเขามาที่นี่!”

ทุกคนฉายสีหน้าหวาดผวาบนใบหน้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินใบหน้าซีดเป็นขี้เถ้าทันที แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็มีเหงื่อหยดลงจากหัวเมื่อมองดูชายชราคนนี้

นั่นเป็นเพราะชายชราคนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม!

แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านี้คือ เขามาจากตำหนักซีเทียน!

“กะ…แกเชิญคนจากตำหนักซีเทียนมาเรอะ?!” ลั่วเทียนเสินมองเสี่ยหลิงจื่อด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าเสี่ยหลิงจื่อจะวางแผนขนาดนี้เพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน!

เสี่ยหลิงจื่อยิ้ม เขาจ่ายราคามหาศาลเพื่อเชิญจอมยุทธ์ผู้นี้มา ครั้งนี้ไม่ว่ามู่เฉินจะกระโดดโลดเต้นยังไง ก็ต้องตายแน่นอน!

“ก่อนหน้านี้ข้าให้ทางลงแล้ว แต่แกปฏิเสธ ตอนนี้สายไปแล้ว!” เสี่ยหลิงจื่อมองมู่เฉินอย่างเย็นชา รังสีสังหารพล่านในดวงตาของเขา

นั่นเป็นเพราะหากผู้เฒ่าหลิงตงเผยตัวตระกูลเสี่ยเสินจะต้องจ่ายราคามหาศาล ตอนแรกเสี่ยหลิงจื่อไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายเผยตัวด้วยซ้ำ…

เสี่ยหลิงจื่อหันมาทางหลิงตงกล่าวเสียงเคารพ “ท่านผู้เฒ่าช่วยลงมือกำจัดไอ้หนูจอมหยิ่งนั่นด้วย”

หลิงตงมองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เกล็ดหิมะรอบตัวเขากวนตัวยิ่งขึ้น แม้แต่มิติยังถูกฉีกขาดออกจากกัน

ทว่าขณะที่ทุกคนรู้สึกว่ามู่เฉินจะต้องตาย หลิงตงก็ส่ายหัวตอบด้วยความเฉยเมยว่า “ข้าไม่สามารถฆ่าเขาได้”

เสี่ยหลิงจื่ออึ้งไปกับคำพูดนี่ คิดว่าได้ยินผิด ทันใดนั้นเขาก็ยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าตงล้อเล่นแน่ๆ ท่านเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แค่พลิกมือก็สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ?”

ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความประหลาดใจ

“ฮ่าๆ เขาพูดถูก เมื่อมีข้าอยู่ด้วย เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้…”

ขณะที่ทุกคนสับสน เสียงหัวเราะพลิ้วหวานนุ่มนวลก็ดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเงาเล็กปรากฏอยู่ข้างมู่เฉิน

เมื่อร่างเล็กปรากฏขึ้นดินแดนที่ถูกแช่แข็งก็กลับมาเป็นปกติ…

ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ ม่านตาหดเกร็ง ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่เงาละเอียดอ่อนด้วยความหวาดผวา เสียงตกใจหวาดกลัวดังก้องจากริมฝีปากของพวกเขา

“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท