หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1224

ตอนที่ 1224

บทที่ 1224 เทพจักรพรรดิอัคคีปรากฏตัว
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”

เมื่อเสียงตกตะลึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังก้อง ในดวงตาทุกคนก็เผยความหวาดผวาขณะมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยความไม่เชื่อสายตา

นั่นเป็นเพราะทุกคนในมหาพันภพรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี

นี่คือตำนานมีชีวิตที่แท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความสามารถในสร้างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีด้วยรากฐานที่เหนือกว่าเผ่าโบราณบางเผ่า แคว้นหวู่จิ้งฮั่วกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพที่แม้แต่ชนเผ่าโบราณก็ไม่กล้าดูถูก

แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีชื่อเสียง แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีช่องว่างระหว่างเขากับเทพจักรพรรดิอัคคีผู้นี้

ก็คล้ายกับยอดยุทธ์และตำนานในหมู่ยอดยุทธ์สุดยอด

บุคคลเช่นนี้ไม่ใช่สามารถพบเจอได้บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้…มู่เฉินกลับเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีในตำนานมาได้

ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ที่จ้องมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นความหวาดกลัวรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อมองมั่นถัวหลัว

เสี่ยหลิงจื่อที่ก่อนหน้ากำลังดีอกดีใจกับสถานการณ์นี้ก็มีใบหน้าพิลึกจนน่าตลก ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็มีใบหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก

พวกเขาตัวสั่นขณะที่มองมู่เฉินด้วยความกลัว

เสี่ยหลิงจื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ขณะที่รู้สึกวิงเวียนกับอารมณ์กลับตาลปัตรในใจ เขาไม่คิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ไอ้หนูปีศาจนี่เชิญตำนานของมหาพันภพมาเลยทีเดียว

“มู่เฉิน…ภูมิหลังเขาเป็นมายังไงกันแน่?!”

เสี่ยหลิงจื่อคำรามในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา เขาก็ไม่กล้าหยิ่งผยองแม้ว่าจะเก่งกาจกว่านี้ถึงร้อยเท่า

แต่ตามความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมา แม้ว่าจะใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ตาม!

ก็เหมือนกับว่ามดไม่สามารถเรียกช้างได้!

ขณะที่เสี่ยหลิงจื่อและคนอื่นๆ สั่นไหวด้วยความตกใจ สายตาของสมาชิกตระกูลลั่วเสินก็จรัสแสง

พวกเขามองมู่เฉินด้วยสายตานับถือ หากก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับลั่วหลี ตอนนี้พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้นแล้ว

มู่เฉินไม่เพียงแต่โดดเด่นเท่านั้น เขายังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาได้

บางทีต้องผู้ชายคนแบบนี้ถึงคู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา

เซียวเหยียนยืนเอามือไพล่หลัง ไม่มีรัศมีครอบงำใดที่แผ่ออกมาจากร่าง แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่มาจากจักรพรรดิสัประยุทธ์สลายไปอย่างรวดเร็วจากการดำรงอยู่ของเขา

ในเวลาไม่กี่อึดใจทุกคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่น่ากลัวหายไปหมดสิ้น

เซียวเหยียนที่ปรากฏตัวไม่ได้สนใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งเข้าใส่ เขามองไปรอบๆ เมืองลั่วเสินด้วยรอยยิ้มรำลึกถึง “ไม่คิดว่าจะกลับมาที่เมืองลั่วเสินหลังจากผ่านมาหลายปี”

“ผู้อาวุโสเซียวเคยมาที่ตระกูลลั่วเสินในอดีตด้วยหรือขอรับ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะถามด้วยความประหลาดใจ

“ฮ่าๆ ข้ามีความสัมพันธ์เก่าแก่กับตระกูลลั่วเสินน่ะ” เซียวเหยียนหัวเราะก่อนที่จะมองไปที่ลั่วเทียนเสินด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสลั่วไม่เจอกันนานหลายปีแล้วนะขอรับ”

ลั่วเทียนเสินตกตะลึงขณะที่มองดูเซียวเหยียน เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนพลางยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ใช่เด็กหลงทางอีกต่อไปแล้ว”

นานมาแล้วตอนที่เซียวเหยียนเพิ่งเข้ามาในมหาพันภพ เขามาอยู่ในตระกูลลั่วเสิน ช่วงเวลานั้นเซียวเหยียนเพาะบ่มขุมพลังโดยใช้คลื่นโต้วชี่ที่ยังไม่ได้หลอมรวมเป็นคลื่นหลิง ดังนั้นเขาจึงอ่อนแอมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่คุ้นเคยกับมหาพันโลก เขาจึงได้แต่หลงทางอยู่ในเมืองลั่วเสินแห่งนี้

ตอนนั้นลั่วเทียนเสินเป็นประมุขตระกูลลั่วเสิน ด้วยความบังเอิญเขาได้พบกับเซียวเหยียน กระทั่งให้ความช่วยเหลือ แต่เซียวเหยียนก็ต้องจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องตามหาฮูหยินและสหาย

หลังจากนั้นลั่วเทียนเสินก็ได้ยินข่าวบางอย่างเกี่ยวกับเซียวเหยียน รู้ว่าเขาได้สถาปนาแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว บรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ

เขาเคยมีความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แต่ก็ละความคิดนั้นไป เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเชิญเซียวเหยียนได้จากบุญคุณเล็กน้อยนั่นไหม

เพราะตอนนี้เซียวเหยียนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแล้ว

ในระดับความสูงนั้น บางทีเซียวเหยียนอาจลืมตระกูลลั่วเสินไปนานแล้ว นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นลั่วเทียนเสินก็แค่ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ตามความสามารถที่มี ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเรื่องเล็กน้อยนั่น

ท้ายที่สุดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเหลือเกิน

ทว่าเมื่อเซียวเหยียนได้ยินคำพูดก็มาปรากฏตัวตรงหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขายื่นมาคว้าฝ่ามือของลั่วเทียนเสินไว้พลางเอ่ยเสียงขรึม “คำพูดของผู้อาวุโสลั่วกำลังจะทำให้ข้าเซียวเหยียนเนรคุณนะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ท่านที่ช่วยให้ข้าเปลี่ยนคลื่นโต้วชี่กลายเป็นคลื่นหลิง ใครจะรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นเมื่อถึงคราวตามหาฮูหยินและสหายข้าคงต้องทนทุกข์มหาศาล”

จากที่เซียวเหยียนพูดก็รู้ได้ว่าตอนนั้นฮูหยินและสหายของเขาคงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแน่ หากเขาไปไม่ทันเวลาผลที่ตามมาก็คงไม่ใช่ภาพที่น่าเห็น

ลั่วเทียนเสินไม่คิดว่าความช่วยเหลือที่เคยให้ต่อเซียวเหยียนจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้จึงอึ้งไปทันที จากนั้นรอยยิ้มปลื้มใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะถอนหายใจตบมือเซียวเหยียนเบาๆ

“ผู้อาวุโสลั่วบาดเจ็บรึ?” เซียวเหยียนสังเกตเห็นใบหน้าหมองคล้ำของลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายอีกฝ่ายทันที

ลั่วเทียนเสินยิ้ม “ก็แค่พิษโลหิตปีศาจ”

พิษนี่เกิดจากเสี่ยหลิงจื่อ ตอนที่พวกเขาสู้กันในอดีต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเขาอ่อนกำลังลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะถูกพิษเข้าแทรกเส้นลมปราณธาตุไฟแตกตายแน่นอน

แต่พิษนี้ก็ครอบงำมาก บวกกับสะสมอยู่ในร่างกายของเขาเป็นเวลานาน ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังต้องใช้เวลามากที่จะกำจัดพิษให้เขา

เซี่วเหยียนยิ้ม “ไม่ใช่ปัญหา”

เขาตบแขนลั่วเทียนเสินเบาๆ เกลียวไฟหลายสายก็ถูกฝังเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เลือดเหม็นคาวหยดออกมาจากรูขุมขนและระเหยออกไป

ไม่กี่อึดใจใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนกลับมาน่าดู คลื่นหลิงก็สะอาดหมดจด นี่ทำให้มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุก เขาไม่คิดว่าพิษโลหิตปีศาจที่รบกวนเขามาเป็นเวลานานจะถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดายขนาดนี้

ขณะที่เซียวเหยียนกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อก็เหงื่อแตกพลั่กใบหน้าซีดเซียวลง เขาไม่คิดว่าไม่เพียงมู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ แต่จอมยุทธ์ในตำนานผู้นี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับลั่วเทียนเสินด้วย!

สถานการณ์ที่พัฒนาไปอย่างฉับพลันนี้ ทำให้แขนขาของเขาสั่นพั่บๆ หากเขารู้ว่าตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคี เขาจะกล้ามาแหย่เสือหลับได้อย่างไร?

“ผู้อาวุโสลั่วเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลลั่วเสินรึ?” หลังจากกำจัดพิษให้ลั่วเทียนเสินแล้ว เซียวเหยียนก็มองเห็นถึงสถานการณ์ เขาถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่แคบลง

ลั่วเทียนเสินลังเลในเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะอธิบายรายละเอียด

“แค่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชิญเจ้ามาที่นี่…” ลั่วเทียนเสินยิ้มอย่างขมขื่น

เซียวเหยียนพยักหน้าขณะที่หันไปหามู่เฉินและยิ้มให้ “โชคดีที่มู่เฉินเชิญข้ามา มิเช่นนั้นข้าคงจะเป็นคนอกตัญญูแล้ว”

มู่เฉินเกาหัว ตัวเขาอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ดังนั้นจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเซียวเหยียน แต่ไม่คิดว่าจะได้รับการขอบคุณจากเซียวเหยียนในเรื่องนี้

“ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”

เซียวเหยียนยิ้มให้ลั่วเทียนเสิน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่กำลังปลดปล่อยแรงกดดันน่าสยดสยองอยู่บนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่วันนี้”

จักรพรรดิสัประยุทธ์มองไปที่เซียวเหยียนอย่างเคร่งขรึมก่อนจะพูดช้าๆ “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาเช่นกัน”

“เดิมทีข้าไม่ควรแทรกแซงเรื่องในทวีปซีเทียน แต่ตระกูลลั่วเสินมีความสัมพันธ์อันดีกับข้า ดังนั้นจะสะดวกไหมถ้าข้าขอความอนุเคราะห์เจ้าที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้ต้องยุ่งยากสำหรับตระกูลลั่วเสินและมู่เฉิน” เซียวเหยียนยิ้มบาง

จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มด้วยดวงตาที่หรี่แคบลง ชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิอัคคีเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ มิหนำซ้ำแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ไม่ใช่ที่จะยั่วยุได้ แต่ในฐานะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งตั้งแต่เมื่อใดที่เขากลัวผู้อื่น?

ตระกูลลั่วเสินเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าข่าวลือกระจายไปว่าเขาจักรพรรดิสัประยุทธ์กลัวเทพจักรพรรดิอัคคี ชื่อเสียงของเขาจะต้องเสียหายใหญ่หลวง

ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงเม้มปาก ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา ทว่าคำพูดกลับทำให้ผู้คนใจสั่นเลยทีเดียว

“ถ้าข้าบอกว่า…ไม่อยากให้ความสะดวกกับเรื่องนี้ล่ะ?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท