หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1226

ตอนที่ 1226

บทที่ 1226 ความแค้น
“เทพจักรพรรดิสงคราม—หลินต้ง”

ทุกคนเห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนเป็นดำมืด เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีพูดชื่อนั้นออกมา ก่อนที่พวกเขาจะแลกสายตากันด้วยความสงสัย

โดยธรรมชาติพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับเทพจักรพรรดิสงคราม เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ไม่กี่คนในมหาพันภพที่ถือได้ว่าเทียบเท่ากับเทพจักรพรรดิอัคคี

ตำนานประวัติของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคี

เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่าง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือเขาเป็นผู้นำกองทัพจอมยุทธ์ของโลกใบนั้นขับไล่การรุกรานของเผ่าปีศาจยี่หมัว ซึ่งเป็นหนึ่งเผ่าของจักรวรรดิปีศาจ

แม้ว่าเผ่าปีศาจเผ่านั้นจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่ แต่ก็ทรงพลังพอที่จะกวาดล้างพิภพเขตล่าง ทว่าสุดท้ายทั้งหมดกลับตายด้วยฝีมือของหลินต้ง ดังนั้นทุกคนจะไม่ตกใจกับข้อมูลที่รู้มานี่ได้ยังไง?

หลังจากนั้นที่มาถึงมหาพันภพ หลินต้งก็ท้าทายเผ่าเทพน้ำแข็งและสถาปนาแคว้นหวูซึ่งกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เรื่องราวของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเลย

ทว่าแม้เทพจักรพรรดิสงครามจะเป็นตำนานเช่นกัน แต่เขาก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพจักรพรรดิอัคคี ทุกคนจึงได้แต่งงว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงบอกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ถ้าเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่แทนเขา

มู่เฉินและลั่วหลี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันชั่วแวบหนึ่ง

“ย้อนกลับไปตอนที่หลินต้งมุ่งหน้าไปยังเผ่าเทพน้ำแข็ง เขาต้องการยืมรูปปั้นเทพน้ำแข็งเพื่อชุบชีวิตฮูหยินของเขา ทว่าเผ่าเทพน้ำแข็งปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ซ้ำยังเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสามคนไปช่วย หนึ่งในนั้นก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน”

เสียงเบาหวิวของเซียวเหยียนสะท้อนขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉินและลั่วหลี

“จักรพรรดิสัประยุทธ์มีชื่อเสียงเรื่องหลงใหลความงาม ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิตวิญญาณของฮูหยินหลินต้ง เขาจึงขอนางกับเผ่าเทพน้ำแข็ง…”

“แต่เขามั่นใจในตัวเองเกินไป ซ้ำยังดูถูกหลินต้งที่มาจากพิภพเขตล่าง ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องนี้กับหลินต้งด้วยและให้อีกฝ่ายยอมถอยกลับไป”

เมื่อมู่เฉินได้ยินเรื่องนี้หางตาก็กระตุก เนื่องจากเคยได้พบกับหลินต้งมาก่อน จึงรู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่น่าเกรงขามขนาดไหน ดังนั้นเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล้าพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าเขา?

ตามคาดเสียงของเซียวเหยียนยังคงเล่าต่อไป “ฮ่าๆ หลินต้งถึงกับเลือดเดือด จากนั้นก็พุ่งชนค่ายกลของเผ่าเทพน้ำแข็ง ทำให้ผู้อาวุโสของเผ่าได้รับบาดเจ็บหนัก จากนั้นเขาก็เข้าต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามวันสามคืน บีบให้สองในสามต้องหลบหนี ขณะไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน…”

“จากนั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะหลบเลี่ยงทุกที่ที่เทพจักรพรรดิสงครามไป กระทั่งตำหนักซีเทียนก็ตั้งออกมาไกลจากแคว้นหวู ถ้าคนที่เจ้าเชิญมาเป็นเทพจักรพรรดิสงครามละก็ คงเป็นเรื่องยากสำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะอยู่อย่างสันติสุขอีกต่อไป”

มู่เฉินอ้าปากค้าง ที่แท้นี่ก็คือความแค้นที่เซียวเหยียนกล่าวถึง…

ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าเหตุใดใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงบิดเบี้ยวไม่น่าดูเมื่อได้ยินชื่อของเทพจักรพรรดิสงคราม สำหรับประโยคสุดท้ายที่เซียวเหยียนกล่าวมานั้น เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ แก่กัน ดังนั้นตราบใดที่เรื่องราวไม่ได้ใหญ่โต พวกเขาก็ไม่คิดต่อสู้กันจริงจัง อย่างมากก็พยายามทำให้อีกฝ่ายถอยกลับ

หากเขาเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมา สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยนิสัยของหลินต้งที่ถือว่าบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ คงม้วนแขนเสื้อแล้วพุ่งเข้าใส่จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ยั้งตั้งแต่เจอหน้า

ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่ได้เผชิญหน้ากับวิธีอ่อนโยนของเทพจักรพรรดิอัคคี ต่อให้จักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องการถอย เทพจักรพรรดิสงครามก็ไม่ให้ถอยไปแน่นอน…

คงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่

นอกจากนี้ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะจบลงด้วยจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกตอกจนหน้าหงาย เพราะขนาดในอดีตเทพจักรพรรดิสงครามยังสามารถไล่ล่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ตลอดทั้งเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พลังล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม

มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นแววดีใจของอีกฝ่าย ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงตระกูลลั่วเสินอาจติดร่างแห เว้นแต่ว่าเทพจักรพรรดิสงครามจะสังหารจักรพรรดิสัประยุทธ์ซะ

ขณะที่เซียวเหยียนอธิบายให้พวกเขาฟัง ใบหน้าที่ดำคล้ำของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดเสียงเหี้ยมว่า “ต่อให้ไอ้เด็กนั่นจะเชิญเทพจักรพรรดิมาได้ แต่ข้าคนนี้ก็ไม่กลัวเขา!”

ทว่าแม้เขาจะพูดอย่างแข็งขัน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงแปลกๆ แฝงในน้ำเสียง กระทั่งเสียงที่เคยหนักแน่นก็ไม่หนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า

ครั้งนี้เซียวเหยียนให้หน้ากับเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ถ้าเป็นหลินต้งมาถึงอาจจะไม่มีการพูดคุยอะไรสักคำ จากนั้นก็พับแขนเสื้อเข้าโรมรันพันตูกันทันที หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นหวูกับตำหนักซีเทียน ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉิน เจ้าช่วยเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาหน่อยเถอะ ข้าเชื่อว่าเมื่อเขามา เขาจะชดเชยบุญคุณให้เจ้าทันทีแน่นอน” เซียวเหยียนยิ้ม

มู่เฉินกำกำปั้นทันที หินสลักอักขระปรากฏขึ้น เขาทำท่าตั้งใจที่จะบดขยี้ลง

“เดี๋ยวก่อน!”

แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังจะบดขยี้ลงไป เสียงคำรามก็ดังขึ้น ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์สลับสีเขียวกับขาวก่อนที่จะกัดฟันพูด “ได้ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่เทพจักรพรรดิอัคคี ไม่เอาเรื่องที่เจ้าเด็กนี่ไร้มารยาทก็ได้!”

ทุกคนรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดการต่อสู้ระหว่างระดับเทียนจื้อจุน แต่พวกเขาไม่ต้องการเป็นพยาน เพราะนั่นเท่ากับจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้แน่นอน

ทว่าตอนนี้ก็มีหลายคนที่มองมู่เฉินด้วยสายตาหวาดผวา จากการสนทนานี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมาได้ เขายังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้ด้วย…

ตำนานมีชีวิตทั้งสองของมหาพันภพมีความสัมพันธ์กับเขา!

ความสัมพันธ์ที่มีน่ากลัวอะไรเพียงนี้?!

เสี่ยหลิงจื่อและพรรคพวกหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ขณะนี้เมื่อพวกเขามองดูมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ทั้งลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ไม่ควรที่จะไปแตะต้องและยั่วยุ

กลุ่มอื่นๆ ที่มองตระกูลลั่วเสินก็สงบความประสงค์ร้ายในใจลง พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้คงไม่มีใครกล้ามาแหยมตระกูลลั่วเสิน แม้กระทั่งตำหนักซีเทียน

เพราะเซียวเหยียนได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลลั่วเสิน ถ้าใครหน้าไหนกล้าที่จะแตะต้องตระกูลลั่วเสินก็หมายถึงการไม่ไว้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี ในเวลานั้นบางทีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอาจจะแสดงความหมายของคำว่าหวาดกลัวให้ได้ดู

ไม่ต้องพูดถึงที่มู่เฉินมีความสัมพันธ์กับลั่วหลี ด้วยการมีพันธมิตรเหนียวแน่นเช่นนี้ ตระกูลลั่วเสินจะปลอดภัยจากความล่มสลาย ยิ่งเมื่อลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสิน ศักยภาพของตระกูลลั่วเสินก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“จักรพรรดิสัประยุทธ์ใจกว้างมาก”

เซียวเหยียนชื่นชมก่อนที่จะพูดบางอย่างขึ้น “แต่ข้ามีเรื่องอื่นอีก”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้ว ท่าทางมืดครึ้มลงก่อนที่จะถามว่า “เรื่องอะไร?”

เซียวเหยียนยิ้ม “จากสายข่าวของข้า เวลาของนักรบทวีปกำลังจะมาถึงในไม่ช้าใช่ไหม?”

ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่เซียวเหยียนด้วยความระมัดระวัง “นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

นักรบทวีปเป็นชื่อฉายาที่ได้รับจากมหาพันภพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุน ตามการประเมินปกติจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพเคยได้รับตำแหน่งนี้ในอดีต

ว่ากันว่าทวีปที่ทรงพลังมีพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือพลังงานทวีป ซึ่งเป็นพลังมหัศจรรย์ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกาย ยังสามารถสร้างรากฐานให้สมบูรณ์แบบ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือยอมให้ผู้แข่งขันเปรียบได้กับสวรรค์มากขึ้น ให้โอกาสสูงกว่าในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ทุกคนในระดับตี้จื้อจุน

แต่พลังงานทวีปสามารถใช้งานได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้น ดังนั้นนักรบทวีปส่วนใหญ่จะปรากฏตัวเฉพาะในทวีปที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน สำหรับทวีปเทียนหลัวแม้จะเป็นหนึ่งในมหาทวีป แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีนักรบทวีปปรากฏขึ้น

แต่ทวีปซีเทียนต่างออกไป เนื่องจากการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ จอมยุทธ์ทุกคนที่เป็นสมาชิกตำหนักซีเทียนล้วนมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้ เพื่อชิงสิทธิ์ของการเป็นนักรบทวีป

นักรบทวีปทุกคนจะมีศักยภาพและสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับขั้วอำนาจต่างๆ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงตั้งระวังเมื่อเขาได้ยินเซียวเหยียนถามถึงนักรบทวีปนี้

เมื่อเซียวเหยียนเห็นใบหน้าตื่นตัวของอีกฝ่ายก็ยิ้มพลางชี้ไปที่มู่เฉิน

“ข้าต้องการตำแหน่งสำหรับมู่เฉินเพื่อลงชิงชัยในการแข่งขันนี้สำหรับทวีปซีเทียน…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท