หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1229

ตอนที่ 1229

บทที่ 1229 วิธีของลั่วหลี
การกลับไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์

ทำให้เมฆสีดำเหนือตระกูลลั่วเสินจางหายจนหมดสิ้น ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าหายนะที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว

ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังส่งเสียงโห่ร้องยินดี เสี่ยหลิงจื่อก็นำจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหนีออกจากเมืองทันที

หลังจากทะยานออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เริ่มชะลอตัวพลางแลกเปลี่ยนสายตากัน ตอนนี้ขวัญกำลังใจทุกคนตกต่ำหมดแล้ว

ครั้งนี้จอมยุทธ์ทั้งหมดของตระกูลเสี่ยเสินออกมาโดยตั้งใจที่จะทำลายตระกูลลั่วเสินให้ราบคาบ แต่พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์เข้าตาจนของตระกูลลั่วเสินจะตาลปัตรกลับมาแบบนี้

“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้สารเลวมู่เฉินนั่น!” จอมยุทธ์คนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจ หากไม่ใช่การปรากฏตัวของมู่เฉิน ตระกูลเสี่ยเสินของพวกเขาจะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวันนี้

แต่ตอนนี้ตัดเรื่องชัยชนะออกไปเลย ตระกูลเสี่ยเสินประสบความสูญเสียใหญ่หลวง หากพวกเขาไม่รีบหนีไปให้เร็วที่สุด สิ่งที่รออยู่ต่อไปอาจเรียกว่านรก

ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อมืดครึ้มขณะกัดฟันกรอด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อมู่เฉิน เขารู้ว่าเป็นเพราะมู่เฉินทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการทำลายตระกูลลั่วเสิน ซึ่งโอกาสเช่นนี้จะไม่มีในอนาคตอีกแล้ว

แม้แต่ลั่วเทียนเสินที่ได้รับพิษโลหิตปีศาจก็สามารถกู้คืนสภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความช่วยเหลือของเทพจักรพรรดิอัคคี เพียงพักผ่อนอีกไม่นาน ความแข็งแกร่งของเขาก็จะฟื้นตัวเต็มที่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องลั่วหลีและมู่เฉินที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ

ลั่วหลีได้รับมรดกของเทพธิดาลั่วเสินและปลูกฝังร่างเทพวารี พรสวรรค์และศักยภาพของนางทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ด้วยการคงอยู่ของลั่วหลีตระกูลลั่วเสินจะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะแตะยากราวกับแผ่นเหล็ก ไม่มีโอกาสสำหรับพวกเขาในอนาคตอีกแล้ว

นอกจากนี้ยังมีมู่เฉินที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าลั่วหลี…

ความแข็งแกร่งของมู่เฉินไม่เพียงแต่จะน่ากลัว เขายังเป็นประมุขตำหนักมู่ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าตระกูลเสี่ยเสินและยังเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นในการเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาได้

ด้วยความช่วยเหลือนี้ไม่มีใครในดินแดนซีเทียนเล็กกล้าที่จะยั่วตระกูลลั่วเสินอีกต่อไป

สายตาของเสี่ยหลิงจื่อวูบไหวด้วยไอเย็นเยือกและไม่พอใจ สุดท้ายเขามองกลับไปในทิศทางของเมืองลั่วเสินพลางพูดเสียงโหดร้าย “ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นชะล่าใจไปก่อน เมื่อมันเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของนักรบทวีป ข้าจะทำให้มันเสียใจสุดซึ้งกับเรื่องในวันนี้!”

“ไป!”

เสี่ยหลิงจื่อโบกมือ นำกลุ่มคนหนีตายจากไป…

เมื่อตระกูลเสี่ยเสินหนีไป ขั้วอำนาจอื่นก็จากไปเช่นกัน แต่ละคนยับยั้งความตั้งใจที่มีก่อนหน้าทั้งหมดลง

กลุ่มที่มีสัมพันธ์เชิงดีกับตระกูลลั่วเสินก็ปรากฏตัวแสดงความยินดีกับลั่วเทียนเสิน พยายามแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี

เพราะจากสถานการณ์ในวันนี้ทุกคนบอกได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะกลับมาผงาดในอนาคต พวกเขาอาจกลายเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของทวีปซีเทียนเลยทีเดียว

หลังจากมู่เฉินและลั่วหลีสารภาพรักกัน ทั้งสองก็พลิ้วลงมาที่พื้นที่ของพวกราชวงศ์ย่อย

เมื่อเห็นการมาถึงของลั่วหลี พวกตระกูลสาขาก็มือไม้อ่อนทันที พวกเขาคุกเข่าลง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังมีสีหน้าซีดเซียวเนื้อตัวสั่นเทา

พวกเขารู้ว่าการลงทุนล้มเหลวลงหมดแล้ว

“พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลเสี่ยเสิน คิดทรยศตระกูลตัวเอง มีอะไรจะพูดอีกไหม?” ท่าทางของลั่วหลีเย็นชาลงหลายส่วน เมื่อนางมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสาม

ทั้งสามมีท่าทางสิ้นหวัง จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกข้าโง่เขลาที่ถูกล่อลวงโดยตระกูลเสี่ยเสิน พวกข้ายินดีที่จะรับการลงทัณฑ์ แต่สมาชิกสาขาส่วนมากไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หวังว่าจักรพรรดินีจะยกเว้นโทษพวกเขา”

พวกเขารู้ว่าตนเองสมควรตาย หากลั่วหลีต้องการลงโทษก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแทรกแซงแน่ แม้แต่ทุกคนในราชวงศ์ย่อยที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็คงสาปแช่งพวกเขาในใจตอนนี้

เคร้ง!

ลั่วหลีประจันหน้ากับทั้งสามโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ก่อนที่กระบี่ลั่วเสินจะเปล่งประกายแสงเย็น จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ทั้งสามคน ทำให้พวกเขาดิ่งลงไปในสิ้นหวังไม่สามารถปีนกลับมาได้

แต่ก่อนที่กระบี่จะอ้างสิทธิ์ในชีวิตของพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นลั่วหลีโบกมือ เม็ดยาสีเงินตกลงในมือพวกเขาทั้งสามคน

“พวกเจ้าสมควรตาย แต่พลังของพวกเจ้ามาจากทรัพยากรของตระกูลลั่วเสิน หากพวกเจ้าตายที่นี่จะไม่เท่ากับทรัพยากรสูญเปล่าไปเหรอ?”

“ถึงแม้ว่าโทษตายจะละเว้นได้ แต่ก็ยังต้องรับการลงทัณฑ์พิษแม่น้ำลั่วและทำงานตอบแทน เจ้าสามคนเต็มใจหรือไม่?”

เสียงเยือกเย็นของลั่วหลี ทำให้ทั้งสามตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะคุกเข่ากลืนเม็ดยาลงไปทันที เสียงร้องตะโกนดังขึ้น “พวกข้าขอบคุณจักรพรรดินีลั่ว สำหรับการให้อภัยโทษครั้งนี้ เราน้อมรับทุกสิ่ง!”

พวกเขารู้ว่าพิษแม่น้ำลั่วทรงประสิทธิภาพเพียงใด ถ้ากินเข้าไปก็ต้องได้รับยาแก้พิษเป็นประจำทุกปีจากลั่วหลี มิฉะนั้นพิษแม่น้ำลั่วทำลายร่างกายของพวกเขา

ดังนั้นเพื่อซื้อชีวิต พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งของลั่วหลีทุกอย่าง แต่พวกเขาก็พอใจกับผลลัพธ์นี้มากแล้ว เพราะถึงยังไงการมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตายถมเถ

ลั่วหลีกวาดสายตาเย็นชาไปยังทั้งสาม พวกเขาสมควรตาย แต่นางก็สามารถระงับความโกรธในใจลงได้ แม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะรอดพ้นจากภัยพิบัติแล้ว แต่ก็ยังอ่อนแอในแง่ของจำนวนจอมยุทธ์ระดับสูง ดังนั้นหากฆ่าทั้งสามคน ก็เหลือเพียงลั่วเทียนเสิน ลั่วเทียนหลิงและนางที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก

ดังนั้นนางไม่สามารถฆ่าพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตระกูล

ทว่านางก็ไม่สามารถให้อภัยได้ บ้านเมืองต้องมีกฎ ไม่อย่างนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อการพัฒนาตระกูลลั่วเสิน

ลั่วหลีมองไปที่สมาชิกตระกูลสาขา แม้ว่าผู้บงการเรื่องนี้จะเป็นทั้งสามคนนี่ แต่ก็เป็นทัศนคติของตัวแทนผู้คนทั้งหมด

“สำหรับราชวงศ์ย่อยทั้งหมดจะถูกลดขั้นไปเป็นตระกูลธรรมดา แต่หากสร้างคุณูปการในอนาคตก็สามารถกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีเหล่าสมาชิกราชสงศ์ย่อยก็มีสีหน้าซีดเซียว การถูกลดระดับก็จะเป็นการลบสถานะของพวกเขาในฐานะราชวงศ์ นี่เป็นการระเบิดที่ร้ายแรงสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของลั่วหลีได้ ต้องก้มหน้ายอมรับไว้เท่านั้น ทว่าสายตามากมายก็ยังสาดความแค้นไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม

พวกเขาไม่กล้าที่จะนำความเกลียดชังไปให้ลั่วหลี ดังนั้นจึงได้แต่เทใส่ทั้งสามคนที่คบคิดกับตระกูลเสี่ยเสินลากทั้งครอบครัวลงนรกไปตามกัน

รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาทั้งสามก็มีสีหน้าขมขื่น พวกเขารู้ว่าลั่วหลีทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาสูญเสียความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชา ในอนาคตพวกเขาต้องฟังคำสั่งของลั่วเหลืออย่างเชื่อฟังเท่านั้น

ลั่วเทียนเสินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลั่วหลี เขาเพียงยิ้มอย่างพอใจกับวิธีจัดการของหลานสาว

“ฮ่าๆ คนรักตัวน้อยของเจ้ามีวิธีจัดการดีกว่าเจ้าตำหนักมู่มากเลยนะ” มั่นถัวหลัวล้อเลียนขณะที่เอ่ยชมเชยวิธีที่ลั่วหลีสามารถจัดการตระกูลสาขาและยังได้รับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคน ยิ่งกว่านั้นนางยังแยกทั้งสามออกจากตระกูลสาขา ทำให้พวกเขาขาดการสนับสนุน

มู่เฉินถูจมูกอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่เก่งเรื่องการบริหารคน เมื่อเทียบกับลั่วหลี เขาก็ด้อยกว่าแท้จริง

“ฮ่าๆ ประมุขมู่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว นี่เรียกว่าการจัดการแบบอิสระ” คนอื่นๆ รีบเข้ามาช่วยมู่เฉิน ที่จริงแล้วพวกเขาก็ตกตะลึงกับวิธีการของลั่วหลี ลองคิดดูว่าถ้านางกลายเป็นเจ้าตำหนักมู่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาน่ากลัวมากที่ได้พบประมุขที่มีความสามารถจัดการ

มั่นถัวหลัวชำเลืองมองพวกเขาก็หัวเราะเบาๆ นางรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ในเมื่อเสร็จเรื่องนี้ข้าจะพาพรรคพวกกลับไปทวีปเทียนหลัวในอีกสองวันจากนี้ ถึงยังไงตำหนักมู่ก็เพิ่งก่อตั้ง ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้ที่วั้นเซิ่งจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้า แม้เขาจะจัดการไม่เก่งเรื่องแต่ตำหนักเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้มั่นถัวหลัวและผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับไปดูแล สถานการณ์ของทวีปเทียนหลัวอันตรายกว่าตระกูลลั่วเสิน เพราะไม่มีขั้วอำนาจไหนที่สามารถปกครองทั้งทวีปได้ ดังนั้นความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำให้ขั้วอำนาจระดับสูงถูกทำลายได้เช่นเดียวกับตำหนักเทพปีศาจ

“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้” มู่เฉินยิ้ม

มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่ “เจ้าเป็นผู้นำ พวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเรื่องปกติที่เราจะฟังคำสั่งของเจ้า”

นางหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะเตือน “แต่เจ้าต้องระวังระหว่างการแข่งขันนักรบทวีปด้วย…”

นางรู้ว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้เปิดเผย แต่เขาก็ไม่ได้ลงประลองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่เป็นขั้นปลาย

ที่นั่นเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมารวมตัวกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะโดดเด่นในหมู่คนเพื่อคว้าชื่อนักรบทวีปมา

“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้เจ้ารับสิทธิ์นี้…” มั่นถัวหลัวมองไปที่เซียวเหยียนที่กำลังสนทนากับลั่วเทียนเสินก็บ่นเบาๆ

มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัว เขาไม่มีความข้องใจเกี่ยวกับการจัดการของเซียวเหยียน ตรงกันข้ามเขากลับเต็มไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ เพราะเขารู้ว่าเซียวเหยียนต้องการให้เขาปรับปรุงตัวเองผ่านการต่อสู้

ก็คล้ายกับการเจียระไนอัญมณี

แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เคียงข้างกับลั่วหลีแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะหยุดทำงานหนัก เพราะ…มารดาของเขายังคงถูกกักขังอยู่ในเผ่าฝูถู

ตอนนี้เขาทรงพลังแล้วก็จริง แต่ถ้าเขาต้องการช่วยมารดา เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะพลังในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ…

ดังนั้นเขาต้องไปสมรภูมิของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย!

ตำแหน่งนักรบทวีปเขาก็ต้องคว้ามาให้ได้!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท