หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1235

ตอนที่ 1235

บทที่ 1235 เตรียมเปิดศึก
ยิ่งเวลาผ่านไปทวีปซีเทียนก็ยิ่งร้อนระอุ

หัวข้อสนทนาทั้งหมดมุ่งไปที่ศึกนักรบทวีปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

ในบางแง่มุมนี่อาจเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของทวีปซีเทียนในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

นอกเหนือจากการคุ้มครองที่ตำหนักซีเทียนมีให้พวกเขา เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำไมขั้วอำนาจต่างๆมอบความจงรักภักดีให้กับตำหนักซีเทียนก็เป็นเพราะศึกนักรบทวีปนี้!

นี่เป็นแรงดึงดูดอย่างมากต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน

เพราะในมหาพันภพปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องพวกเขาเคยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปมาแล้ว!

ความจริงข้อนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างความบ้าคลั่งให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้มากมาย เพราะขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นระดับที่พวกเขาฝัน หากพวกเขาสามารถเข้าถึง พวกเขาก็จะเทียบเท่าหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพเลยทีเดียว

การเคลื่อนไหวของบุคคลเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพ

ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ครอบครองทวีป จัดตั้งขุมกำลังก็จะมีสำนักมากมายรวมตัวกันเพื่อมอบความจงรักภักดีต่อพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีป

และทวีปซีเทียนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน

เมืองซีเทียนจั้น

สำหรับทวีปซีเทียน เมืองแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจละเมิดได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกเหนือจากวันสำคัญที่เหล่าผู้นำและจอมยุทธ์ของขั้วอำนาจทั้งหลายจะมารวมกันที่นี่

เพราะพวกเขาแต่ละคนเป็นเจ้าเหนือหัวในดินแดนของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในเขตแห่งนี้ แม้แต่มังกรก็ต้องหมอบพยัคฆ์ก็ต้องคุกเข่า

เนื่องจากเมืองนี้เป็นที่พักอาศัยของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!

แต่ในช่วงเวลานี้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีป

เพราะศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นที่นี่

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองถึงร้อนเดือดเมื่อทุกคนมารวมกัน ทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมในศึกนักรบทวีปต่างมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่กลุ่มท้องถิ่นของทวีปซีเทียน แม้แต่กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในทวีปก็มารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธ์เข้าร่วม แต่พวกเขาก็สามารถชมได้ พวกเขาจะได้มีประสบการณ์ไว้บ้างเผื่อได้เข้าร่วมในอนาคต

ดังนั้นเมืองซีเทียนจั้นจึงดูอลังการอย่างมากในวันนี้

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มักถือตัวพบได้ทั่วในเมืองซีเทียนจั้น ทำให้ผู้ที่มาชมศึกนักรบทวีปต้องส่งเสียงอุทาน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตื่นเต้นกับศึกที่จะเกิดนี้มากขึ้น

ผลกระทบของศึกนักรบทวีปในทวีปซีเทียนยิ่งใหญ่มาก ตราบใดที่นักรบทวีปถูกยืนยันตัว ชื่อของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วมหาพัภพ

โดยทั่วไปแล้วมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสร้างชื่อไปทั่วมหาพันภพ

วังหลวง

สถานที่งดงามแห่งนี้ตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงที่ใจกลางเมืองทำให้มองเห็นได้ทั่วสารทิศ

ที่นี่คือตำหนักซีเทียน

ภายในมีห้องโถงใหญ่ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบสงบ เงาร่างทั้งสี่คุกเข่าข้างหนึ่งลง โดยมีร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่แรงกดดันแผ่ออกมาจากเขา ทำให้ทั้งสี่คนก้มศีรษะลงด้วยความยำเกรง

ร่างสง่างามนี้ก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์นั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาปิดลงราวกับว่ากำลังพักผ่อนหย่อนใจ แม้ว่าสี่คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าจะมีสถานะสูงในตำหนักซีเทียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดรบกวนจักรพรรดิสัประยุทธ์

“หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อ”

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานในที่สุดจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปิดดวงตาพร้อมกับเสียงทรงเกียรติดังก้อง

“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ!”

สามในสี่ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ

ชายคนแรกสวมชุดสีดำ เขาดูธรรมดา แต่มองเห็นไฟแห่งการต่อสู้วูบไหวในดวงตา เป็นความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์อสูรดุร้ายซ่อนอยู่ ภาพลักษณ์ปกติที่ปรากฏทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตรายจากแกนกระดูกเลยทีเดียว

เบื้องหลังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะพายกระบี่ไว้บนหลัง คิ้วคมขณะที่เปล่งรัศมีกระบี่คมกริบออกมา ราวกับว่าเขาเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยกระบี่นี้สามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้

เยื้องจากทั้งสองเป็นชายร่างกำยำราวกับหอคอยเหล็ก เงาของเขาบดบังคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เหมือนมีเกล็ดมังกรบนพื้นผิวของร่างกาย เสียงคำรามของมังกรเลือนรางเปล่งอย่างป่าเถื่อน ทำให้เขาดูเหมือนมังกรปีศาจ

ทั้งสามคนก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปซีเทียน

ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทั้งสามก็ดูมีมารยาทและให้เกียรติอย่างมาก

จักรพรรดิสัประยุทธ์มองพวกเขาพูดออกมาช้าๆ “พวกเจ้าสามคนจะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เพื่อรับตำแหน่งเดียว…”

“ข้าไม่สนใจว่าใครในพวกเจ้าที่จะได้ตำแหน่งไป แต่ข้าขอบอกไว้เลยว่าตำแหน่งนี้จะต้องตกเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น”

“เข้าใจไหม?”

ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น

จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดต่อ “จงอย่าประมาท แม้ว่าเจ้าสามคนถือว่าอยู่ในระดับดีของขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยงคงกระพัน”

“โดยเฉพาะหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน พวกเขาทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียนก็เพื่อตำแหน่งนี้ พวกเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่พวกเจ้าต้องเผชิญ”

หลิงจั้นจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆ ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อคลี่ยิ้ม “ข้าอยากประลองกับกระบี่เทพหมาป่ามานานแล้ว ข้าว่าหลังจากครั้งนี้เขาจะไม่กล้าใช้ฉายากระบี่เทพอีกแล้ว”

หลิงหลงจื่อยิ้มกว้างด้วยสีหน้าน่ากลัว “อาจารย์วางใจเถอะ เราจะให้พวกเขารู้ที่ยอมจำนนต่อตำหนักซีเทียนอย่างเชื่อฟัง การคิดทำอะไรตุกติกเป็นการรนหาที่ตาย”

จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า ก่อนจะตบที่เท้าแขนบนพนักบัลลังก์พลางเงียบไปอึดใจ “และคนสุดท้ายเป็นไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน…”

“ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีให้เขาเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มันก็ต้องมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจงระมัดระวังถ้าเจอ”

สายตาของทั้งสามกะพริบตามคำพูดของจักรพรรดิ พวกเขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินและเด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน ชายคนนั้นทำให้เจ้าวังของพวกเขากลับมาพร้อมกับความล้มเหลวแท้จริง ซึ่งไม่ดีต่อชื่อเสียงสักนิด

ด้วยความเข้าใจ สิ่งนี้จะต้องเป็นปมในหัวใจเขาแน่นอน แต่เนื่องจากสถานะของเขาและเทพจักรพรรดิอัคคีจึงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำกับมู่เฉินได้ ดังนั้นทั้งสามจึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจักรพรรดิของตน

ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาพบกับมู่เฉินในสนามรบ พวกเขาควรจัดการสอนเพื่อนคนนั้นว่ามีบางอย่างในโลกที่เขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้

เมื่อมองไปที่แววตาของพวกเขา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขามองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย “หลิงเฟยจื่อจงทำงานหนักในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น”

จอมยุทธ์คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่มีเรือนร่างเย้ายวนทำให้ผู้คนมึนเมา โดยเฉพาะไฝที่มุมหางตา ทำให้นางโดดเด่นยิ่งนัก

นี่คือเทพจอมยุทธ์คนที่สี่หลิงเฟยจื่อ นางเป็นอิสตรีหนึ่งเดียว เพียงแต่ว่าเวลาฝึกฝนของนางไม่ได้นานเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่สอดคล้องกับพลังในปัจจุบัน

สายตาของหลิงเฟยจื่อเป็นประกายเมื่อมองไปที่จักรพรรดิ ความรักลึกซึ้งฉายในดวงตา “วางใจเถิดเจ้าค่ะอาจารย์ เฟยจื่อจะนำตำแหน่งในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาให้ได้”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ยกยิ้ม “แต่เดิมเจ้าน่าจะสามารถชนะเลิศในสมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ตอนนี้มีการเพิ่มตัวแปรเข้าไป ลั่วหลีได้รับมรดกร่างเทพวารีของลั่วเสิน ไม่อาจประมาทได้”

เมื่อเอ่ยถึงลั่วหลีน้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ผิดแผกไปเล็กน้อย

ด้วยประสาทสัมผัสของสตรี หลิงเฟยจื่อรู้สึกได้ ความอิจฉาวูบไหวในดวงตาก่อนที่นางจะผงกหัว “ศิษย์จะจำไว้เจ้าค่ะ”

จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะให้ทั้งสี่คนออกไป

ทั้งสี่ออกจากวังไปอย่างเคารพ เมื่อห่างออกไปหลิงเจี้ยนจื่อก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลีรับร่างเทพวารีมา ทำให้ความงามของนางเรียกว่าล่มเมืองได้ ในอนาคตนางจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองอย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่นายท่านก็กลับมามือเปล่า”

พอได้ยินคำพูดนี่แม้แต่หลิงหลงจื่อที่ไม่สนใจเรื่องสตรีก็พยักหน้า พวกเขารู้ชัดถึงทักษะและเสน่ห์ของอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าจะไปล้มเหลวเรื่องของลั่วหลี

“ถ้าศิษย์พี่สองสนใจทำไมพวกไม่ลองดูล่ะ ใครจะรู้เจ้าคนใดคนหนึ่งอาจตรงกับความชื่นชอบของนางก็ได้นี่?” เสียงหัวเราะพลิ้วไหวดังขึ้นขณะที่หลิงเฟยจื่อตอบ

หลิงเจี้ยนจื่อกระแอมไอขณะที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮ่าๆ เฟยจื่อของเราก็ไม่ธรรมดา ครั้งนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าคิดว่าสตรีทั้งสองคงได้ต่อสู้กันดุเดือดแน่”

หลิงเฟยจื่อยิ้ม “ข้าอยากพบนางนะ แค่กลัวว่าจะมีหลายคนเกลียดข้าถ้าไปตะกุยหน้าสวยๆ ของนาง”

เมื่อทั้งสามคนเห็นนางใช้พูดคำอาฆาตแค้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาก็ขนลุกชัน ความหึงหวงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ

ดูเหมือนว่าจะมีศึกน่าสนใจในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท