บทที่ 1235 เตรียมเปิดศึก
ยิ่งเวลาผ่านไปทวีปซีเทียนก็ยิ่งร้อนระอุ
หัวข้อสนทนาทั้งหมดมุ่งไปที่ศึกนักรบทวีปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ในบางแง่มุมนี่อาจเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของทวีปซีเทียนในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
นอกเหนือจากการคุ้มครองที่ตำหนักซีเทียนมีให้พวกเขา เหตุผลสำคัญอีกอย่างที่ทำไมขั้วอำนาจต่างๆมอบความจงรักภักดีให้กับตำหนักซีเทียนก็เป็นเพราะศึกนักรบทวีปนี้!
นี่เป็นแรงดึงดูดอย่างมากต่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคน
เพราะในมหาพันภพปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องพวกเขาเคยได้รับตำแหน่งนักรบทวีปมาแล้ว!
ความจริงข้อนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างความบ้าคลั่งให้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้มากมาย เพราะขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นระดับที่พวกเขาฝัน หากพวกเขาสามารถเข้าถึง พวกเขาก็จะเทียบเท่าหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพเลยทีเดียว
การเคลื่อนไหวของบุคคลเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในมหาพันภพ
ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ครอบครองทวีป จัดตั้งขุมกำลังก็จะมีสำนักมากมายรวมตัวกันเพื่อมอบความจงรักภักดีต่อพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องการสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีป
และทวีปซีเทียนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
เมืองซีเทียนจั้น
สำหรับทวีปซีเทียน เมืองแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจละเมิดได้ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกเหนือจากวันสำคัญที่เหล่าผู้นำและจอมยุทธ์ของขั้วอำนาจทั้งหลายจะมารวมกันที่นี่
เพราะพวกเขาแต่ละคนเป็นเจ้าเหนือหัวในดินแดนของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในเขตแห่งนี้ แม้แต่มังกรก็ต้องหมอบพยัคฆ์ก็ต้องคุกเข่า
เนื่องจากเมืองนี้เป็นที่พักอาศัยของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!
แต่ในช่วงเวลานี้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งทวีป
เพราะศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้นที่นี่
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองถึงร้อนเดือดเมื่อทุกคนมารวมกัน ทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมในศึกนักรบทวีปต่างมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่กลุ่มท้องถิ่นของทวีปซีเทียน แม้แต่กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในทวีปก็มารวมตัวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธ์เข้าร่วม แต่พวกเขาก็สามารถชมได้ พวกเขาจะได้มีประสบการณ์ไว้บ้างเผื่อได้เข้าร่วมในอนาคต
ดังนั้นเมืองซีเทียนจั้นจึงดูอลังการอย่างมากในวันนี้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มักถือตัวพบได้ทั่วในเมืองซีเทียนจั้น ทำให้ผู้ที่มาชมศึกนักรบทวีปต้องส่งเสียงอุทาน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตื่นเต้นกับศึกที่จะเกิดนี้มากขึ้น
ผลกระทบของศึกนักรบทวีปในทวีปซีเทียนยิ่งใหญ่มาก ตราบใดที่นักรบทวีปถูกยืนยันตัว ชื่อของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วมหาพัภพ
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสร้างชื่อไปทั่วมหาพันภพ
วังหลวง
สถานที่งดงามแห่งนี้ตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงที่ใจกลางเมืองทำให้มองเห็นได้ทั่วสารทิศ
ที่นี่คือตำหนักซีเทียน
ภายในมีห้องโถงใหญ่ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบสงบ เงาร่างทั้งสี่คุกเข่าข้างหนึ่งลง โดยมีร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่แรงกดดันแผ่ออกมาจากเขา ทำให้ทั้งสี่คนก้มศีรษะลงด้วยความยำเกรง
ร่างสง่างามนี้ก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์นั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาปิดลงราวกับว่ากำลังพักผ่อนหย่อนใจ แม้ว่าสี่คนที่คุกเข่าเบื้องหน้าจะมีสถานะสูงในตำหนักซีเทียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดรบกวนจักรพรรดิสัประยุทธ์
“หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อ”
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานในที่สุดจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปิดดวงตาพร้อมกับเสียงทรงเกียรติดังก้อง
“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ!”
สามในสี่ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ชายคนแรกสวมชุดสีดำ เขาดูธรรมดา แต่มองเห็นไฟแห่งการต่อสู้วูบไหวในดวงตา เป็นความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์อสูรดุร้ายซ่อนอยู่ ภาพลักษณ์ปกติที่ปรากฏทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตรายจากแกนกระดูกเลยทีเดียว
เบื้องหลังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะพายกระบี่ไว้บนหลัง คิ้วคมขณะที่เปล่งรัศมีกระบี่คมกริบออกมา ราวกับว่าเขาเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยกระบี่นี้สามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้
เยื้องจากทั้งสองเป็นชายร่างกำยำราวกับหอคอยเหล็ก เงาของเขาบดบังคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เหมือนมีเกล็ดมังกรบนพื้นผิวของร่างกาย เสียงคำรามของมังกรเลือนรางเปล่งอย่างป่าเถื่อน ทำให้เขาดูเหมือนมังกรปีศาจ
ทั้งสามคนก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปซีเทียน
ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทั้งสามก็ดูมีมารยาทและให้เกียรติอย่างมาก
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองพวกเขาพูดออกมาช้าๆ “พวกเจ้าสามคนจะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เพื่อรับตำแหน่งเดียว…”
“ข้าไม่สนใจว่าใครในพวกเจ้าที่จะได้ตำแหน่งไป แต่ข้าขอบอกไว้เลยว่าตำแหน่งนี้จะต้องตกเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น”
“เข้าใจไหม?”
ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น
จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดต่อ “จงอย่าประมาท แม้ว่าเจ้าสามคนถือว่าอยู่ในระดับดีของขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ยงคงกระพัน”
“โดยเฉพาะหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน พวกเขาทั้งสามยอมสวามิภักดิ์ต่อตำหนักซีเทียนก็เพื่อตำแหน่งนี้ พวกเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่พวกเจ้าต้องเผชิญ”
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆ ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อคลี่ยิ้ม “ข้าอยากประลองกับกระบี่เทพหมาป่ามานานแล้ว ข้าว่าหลังจากครั้งนี้เขาจะไม่กล้าใช้ฉายากระบี่เทพอีกแล้ว”
หลิงหลงจื่อยิ้มกว้างด้วยสีหน้าน่ากลัว “อาจารย์วางใจเถอะ เราจะให้พวกเขารู้ที่ยอมจำนนต่อตำหนักซีเทียนอย่างเชื่อฟัง การคิดทำอะไรตุกติกเป็นการรนหาที่ตาย”
จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า ก่อนจะตบที่เท้าแขนบนพนักบัลลังก์พลางเงียบไปอึดใจ “และคนสุดท้ายเป็นไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน…”
“ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีให้เขาเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มันก็ต้องมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจงระมัดระวังถ้าเจอ”
สายตาของทั้งสามกะพริบตามคำพูดของจักรพรรดิ พวกเขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเสินและเด็กเหลือขอที่ชื่อมู่เฉิน ชายคนนั้นทำให้เจ้าวังของพวกเขากลับมาพร้อมกับความล้มเหลวแท้จริง ซึ่งไม่ดีต่อชื่อเสียงสักนิด
ด้วยความเข้าใจ สิ่งนี้จะต้องเป็นปมในหัวใจเขาแน่นอน แต่เนื่องจากสถานะของเขาและเทพจักรพรรดิอัคคีจึงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำกับมู่เฉินได้ ดังนั้นทั้งสามจึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจักรพรรดิของตน
ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาพบกับมู่เฉินในสนามรบ พวกเขาควรจัดการสอนเพื่อนคนนั้นว่ามีบางอย่างในโลกที่เขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
เมื่อมองไปที่แววตาของพวกเขา จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขามองไปที่จอมยุทธ์คนสุดท้าย “หลิงเฟยจื่อจงทำงานหนักในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น”
จอมยุทธ์คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่มีเรือนร่างเย้ายวนทำให้ผู้คนมึนเมา โดยเฉพาะไฝที่มุมหางตา ทำให้นางโดดเด่นยิ่งนัก
นี่คือเทพจอมยุทธ์คนที่สี่หลิงเฟยจื่อ นางเป็นอิสตรีหนึ่งเดียว เพียงแต่ว่าเวลาฝึกฝนของนางไม่ได้นานเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงเข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่สอดคล้องกับพลังในปัจจุบัน
สายตาของหลิงเฟยจื่อเป็นประกายเมื่อมองไปที่จักรพรรดิ ความรักลึกซึ้งฉายในดวงตา “วางใจเถิดเจ้าค่ะอาจารย์ เฟยจื่อจะนำตำแหน่งในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมาให้ได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยกยิ้ม “แต่เดิมเจ้าน่าจะสามารถชนะเลิศในสมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่ตอนนี้มีการเพิ่มตัวแปรเข้าไป ลั่วหลีได้รับมรดกร่างเทพวารีของลั่วเสิน ไม่อาจประมาทได้”
เมื่อเอ่ยถึงลั่วหลีน้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ผิดแผกไปเล็กน้อย
ด้วยประสาทสัมผัสของสตรี หลิงเฟยจื่อรู้สึกได้ ความอิจฉาวูบไหวในดวงตาก่อนที่นางจะผงกหัว “ศิษย์จะจำไว้เจ้าค่ะ”
จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะให้ทั้งสี่คนออกไป
ทั้งสี่ออกจากวังไปอย่างเคารพ เมื่อห่างออกไปหลิงเจี้ยนจื่อก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าลั่วหลีรับร่างเทพวารีมา ทำให้ความงามของนางเรียกว่าล่มเมืองได้ ในอนาคตนางจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองอย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่นายท่านก็กลับมามือเปล่า”
พอได้ยินคำพูดนี่แม้แต่หลิงหลงจื่อที่ไม่สนใจเรื่องสตรีก็พยักหน้า พวกเขารู้ชัดถึงทักษะและเสน่ห์ของอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าจะไปล้มเหลวเรื่องของลั่วหลี
“ถ้าศิษย์พี่สองสนใจทำไมพวกไม่ลองดูล่ะ ใครจะรู้เจ้าคนใดคนหนึ่งอาจตรงกับความชื่นชอบของนางก็ได้นี่?” เสียงหัวเราะพลิ้วไหวดังขึ้นขณะที่หลิงเฟยจื่อตอบ
หลิงเจี้ยนจื่อกระแอมไอขณะที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฮ่าๆ เฟยจื่อของเราก็ไม่ธรรมดา ครั้งนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าคิดว่าสตรีทั้งสองคงได้ต่อสู้กันดุเดือดแน่”
หลิงเฟยจื่อยิ้ม “ข้าอยากพบนางนะ แค่กลัวว่าจะมีหลายคนเกลียดข้าถ้าไปตะกุยหน้าสวยๆ ของนาง”
เมื่อทั้งสามคนเห็นนางใช้พูดคำอาฆาตแค้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาก็ขนลุกชัน ความหึงหวงของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ
ดูเหมือนว่าจะมีศึกน่าสนใจในสนามรบตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว