หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1237

ตอนที่ 1237

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1237 แปดสิบล้านต่อหมัด
เสียงของมู่เฉินดังก้อง

ทั้งอาคารก็เงียบกริบขณะสายตาอึ้งทึ่งมากมายจ้องไปที่เขา

ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนคนนี้จะกล้าพูดไม่ไว้หน้าสงป้าออกมา

นั่นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายนะ!

นอกจากนี้สงป้ายังมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน ซึ่งรู้จักกันในฉายาราชาหมี เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและเผด็จการมาก มีข่าวลือว่าเขาได้ฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนให้กลายเป็นแอ่งเลือดเมื่อในอดีต

แต่ถึงกระนั้นมู่เฉินยังกล้าสร้างความอับอายให้เขา

คำอุทานมากมายดังก้องอยู่ในอาคาร ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอัดด้วยไอสังหาร ขณะที่เขาจ้องมองมู่เฉินก็แสยะฟันขาวออกมา “ไอ้หนู กล้าพูดแบบนี้กับข้าคิดหาที่ตายรึ?”

เผชิญหน้ากับสงป้าที่โกรธแค้น มู่เฉินก็ยังคงยิ้มเฉยเมย “ข้าเป็นประมุขตำหนักมู่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ข้าพูดแบบนี้ด้วยแล้วจะทำไม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนก็อึ้งไปก่อนจะจำได้ว่ามู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขสำนักเท่านั้น เขายังมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การรวมตัวเช่นนี้เทียบเท่ากับขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปซีเทียนเลยทีเดียว

ด้วยภูมิหลังสนับสนุนเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับสงป้า

สงป้าหวนนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเค้นเสียงเย็น “แล้วไง? แกคิดจะร้องแรกแหกกระเฌอให้ทุกคนช่วยรุมข้าไง? มาดูกันว่าตำหนักซีเทียนจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นไหม!”

แม้ว่าจะพูดอย่างเกี้ยวกราด ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้บีบคั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

“เชอะ แม้ว่าแกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่แกจะให้นางเข้าไปที่สมรภูมิแทนรึไง?” เสี่ยหลิงจื่อช่วยสงป้าสาดโคลนทันที

ทันใดนั้นดวงตาของสงป้าก็เป็นประกายขณะยิ้ม “ใช่สิ แกมันฉลาดแกมโกงจริงๆ ข้าแค่มีข้อกังขากับคุณสมบัติของแกที่จะเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเลย”

“ข้าว่าแกคงกลัวจนบ้าไปแล้ว ถึงได้หาข้ออ้างแบบนี้ หากมีความสามารถพอก็รับกำปั้นข้าสักครั้ง หากรับได้ไม่เพียงแต่ข้าจะขอโทษเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ในอนาคตอีกด้วย… แต่หากไม่ก็ส่งสิทธิ์ของแกมา จะได้ไม่ต้องไปตายในสมรภูมิ” สงป้ายิ้มกว้าง แม้ว่าเขาจะมีร่างกำยำ แต่ในสมองก็ไม่ได้มีแค่กล้ามเนื้อจึงเอ่ยกล่าวออกมาโดยไม่หวังดี

เขามีวัตถุประสงค์ชัดเจนก็คือสิทธิ์ของมู่เฉิน นั่นเพราะการตัดสินจากทัศนคติที่ไม่พึงพอใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีต่อมู่เฉิน ถ้าเขาแย่งสิทธิ์ของมู่เฉินมาได้ จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็จะต้องยอมรับในสิ่งนี้ ต่อให้เขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมในตอนแรก มิหนำซ้ำอาจจะยังชื่นชมเขาอีกด้วย

เขาพิจารณาเรื่องนี้มานานแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เขาร่วมมือกับเสี่ยหลิงจื่อเพื่อมาหาเรื่องมู่เฉิน

“ไอ้หนู แกกล้าไหม?”

สงป้ามองมู่เฉินพลางตะแบงเสียง

เสียงสะท้อนก้องในอาคาร มีหลายคนที่สนับสนุนความคิดสงป้า ถึงยังไงมู่เฉินก็เป็นคนนอก ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายรู้สึกอับอายใจที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกมีความสุขที่จะได้เห็นมู่เฉินเสียสิทธิ์นี้ไป

เมื่อลั่วเทียนเสินและลั่วหลีรู้สึกถึงความคิดของคนอื่น ทั้งสองก็ขมวดคิ้ว พวกเขาประเมินการไม่ต้อนรับมู่เฉินของทวีปซีเทียนต่ำเกินไป

ทั้งหมดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์

มู่เฉินคงไม่มีความสงบสุขตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับสงป้า แต่ก็ต้องมีบางคนที่มีความคิดคล้ายกันมาหาเรื่องเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลต่อพลังงานของเขา

มู่เฉินสัมผัสกับสิ่งนี้ได้เช่นกัน เขาจึงหรี่ตาลงจ้องมองสงป้าพลางตอบด้วยเสียงสงบ “เจ้าจะวัดกำปั้นกับข้าเหรอ?”

พอได้ยินคำตอบที่เหมือนจะมีแววรับคำท้า ดวงตาของสงป้าก็วูบไหวด้วยความดีใจ “เจ้าตอบตกลงเรอะ?”

มู่เฉินยิ้ม “เจ้าคำนวณเข้าข้างตัวเองไปไหม ถ้าข้าแพ้ก็ต้องส่งสิทธิ์ แต่เจ้ากลับแค่ขอโทษเท่านั้น คำขอโทษของเจ้ามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

สงป้าขมวดคิ้ว “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”

มู่เฉินยักคิ้วยิ้ม “ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้าก็ได้ แต่ในราคา…ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด”

หนังตาสงป้ากระตุกไม่หยุดพลางคำราม “ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านต่อหนึ่งหมัด? แกคุ้มกับราคานี่เรอะ?!”

หลายคนกลั้นเสียงหัวเราะ นี่เป็นราคาที่สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำได้เลย ราคาที่มู่เฉินเสนอเอาเรื่องน่าดู

“ข้าไม่คุ้มหรอก แต่สิทธิ์เข้าร่วมศึกนักรบทวีปคุ้มกับราคานี้” มู่เฉินยิ้ม อึดใจสายตาก็เย็นเยือกลง “ถ้าเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ราคานี้ ก็ไสหัวไป หยุดสร้างความอายให้ตัวเองซะ!”

ดวงตาของสงป้าเปลี่ยนเป็นแดงฉาน รัศมีร้ายกาจปกคลุมรอบตัว ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อย กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้ดีนัก ทำให้ไม่สามารถจ่ายได้ในเวลานี้

สงป้ามองเสี่ยหลิงจื่อก็สังเกตเห็นท่าทางอึดอัดใจของอีกฝ่าย ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดการตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพอจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดได้ แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะใช้กับสงป้า เรื่องนี้สิ้นเปลืองเกินไป มิหนำซ้ำเสี่ยหลิงจื่อก็มีประสบการณ์ตรงกับความแปลกประหลาดของมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินกล้าที่จะรับการท้าทาย ดังนั้นเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องระมัดระวังเพื่อที่จะไม่ต้องเสียของเหลวจื้อจุนไปโดยเปล่าประโยชน์

พอเห็นท่าทางอึกอักของเสี่ยหลิงจื่อ สงป้าก็รู้สึกโกรธมาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาไม่คิดว่าตนเองจะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้จากการตอกกลับของมู่เฉิน

เมื่อเห็นท่าทางอับอายของสงป้า มู่เฉินก็ยิ้มบาง เหตุผลที่เขาเรียกราคาสูงเช่นนั้นก็เพื่อทำให้เกิดปัญหากับสงป้าพร้อมกับสร้างกำแพงรอบตัวในเวลาเดียวกัน เขาต้องการให้คนอื่นรู้ว่าถ้าพวกเขาตั้งใจจะมาชิงสิทธิ์จากเขาจริงๆ ละก็ พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยด มิฉะนั้นถ้ามีคนมาท้าไม่หยุด แม้แต่จอมยุทธ์ไร้เทียมทานก็คงเอาไม่อยู่

ทุกคนรู้สึกผิดหวังกับท่าทางของสงป้า เนื่องจากตอนแรกพวกเขาต้องการใช้สงป้าเพื่อทดสอบมู่เฉิน แต่ดูเหมือนตอนนี้สงป้าจะไม่สามารถทำตามความคาดหวังของพวกเขาได้

“ฮ่าๆ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดใช่ไหม? เรียกราคาสูงจริงๆ เลย แต่ช่างเถอะ ข้าจะจ่ายให้เอง”

ทว่าขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องจะจบลงเท่านี้ เสียงหัวเราะเร้าใจก็ดังขึ้น สายตาทุกคนยกขึ้นไปบนชั้นสาม เงาร่างอรชรเดินออกมาเบื้องหหน้าครรลองสายตาทุกคน

“เทพจอมยุทธ์สี่—หลิงเฟยจื่อ!”

“ทำไมนางถึงมายุ่งเรื่องนี้”

“ฮ่าๆ หลิงเฟยจื่อเล็งเป้ามาที่ลั่วหลีแน่ คึๆ การแข่งขันของอิสตรี บางครั้งโหดยิ่งกว่าบุรุษซะอีก”

“…”

พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างทรงเสน่ห์ เสียงกระซิบก็กระจายไปในอาคาร

หลิงเฟยจื่อจ้องมองไปที่ลั่วหลีขณะที่ปรากฏตัว เมื่อรู้สึกถึงแววตาท้าทายลั่วหลีก็เงยหน้าขึ้น ประกายไฟแล่นแปลบปลาบจากการจ้องมองของพวกนาง

เมื่อเห็นท่าทางของหญิงทั้งสอง ทุกคนก็รู้ซึ้งทันทีว่าการแข่งขันของจอมยุทธ์หญิงยอดนิยมทั้งสองในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว

หลิงเฟยจื่อโบกมือ ขวดหยกก็บินไปหาสงป้า ก่อนที่นางจะหัวเราะเสียงพลิ้ว “นี่คือของเหลวแปดสิบล้านหยด หวังว่าราชาหมีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังใช่ไหม?”

สงป้าคว้าขวดด้วยความปีติยินดีบนใบหน้าจากนั้นก็หัวเราะ “แม่นางหลิงเฟยจื่อโปรดวางใจ ข้าจะทำให้มันซึ้งจนกระอักที่เข้ามาในทวีปซีเทียนของเรา!”

หลิงเฟยจื่อหัวเราะ ของเหลวจื้อจุนแปดสิบล้านหยดไม่ใช่ปริมาณเล็กน้อยสำหรับนางเช่นกัน แต่ถ้านางสามารถใช้เพื่อกำจัดมู่เฉินได้ นางก็จะได้ช่วยองค์จักรพรรดิของนางระบายความโกรธที่มี มิหนำซ้ำยังสามารถทำให้ลั่วหลีอับอาย ดังนั้นถือว่าคุ้มค่าสำหรับนางนัก

นางยิ้มมองไปที่ลั่วหลี ทว่าความสงบที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจก่อนที่จะเค้นเสียงเยาะเย้ย นางจะรอดูว่าลั่วหลีจะรักษาหน้ายังไงหลังจากที่มู่เฉินแพ้!

สงป้าคว้าขวดหยกมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ไอ้หนูมาดูสิว่าแกจะหาข้อแก้ตัวครั้งนี้ได้อย่างไร!”

ในความคิดของเขา มู่เฉินแค่พยายามทำให้เรื่องต่างๆ ยุ่งยากไปเท่านั้น

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะมองหลิงเฟยจื่อ ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่าหลิงเฟยจื่อตั้งใจมาหาเรื่องลั่วหลีโดยเฉพาะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ถอยแล้ว

ดังนั้นภายใต้สายตาจอมยุทธ์มากมาย มู่เฉินก็ก้าวออกมายื่นมือท้าทายสงป้า สิ่งที่พูดออกมาทำให้ผู้คนตกตะลึงไปอีกครั้ง

“ในเมื่อมีคนรวยขนาดนี้… ข้าจะยืนอยู่ที่นี่ รับกำปั้นโดยไม่หลบเลย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท