หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1233

ตอนที่ 1233

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1233 สังหารและช่วยเหลือ
เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินประหนึ่งฟ้าคำรน

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา

ขณะที่คลื่นหลิงกำลังผันผวน มือใหญ่ที่แห้งกรังก็โอบเข้าหามู่เฉินราวกับภูเขามหึมา

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว เขารีบเรียกเจดีย์ผลึกใสกลับมาและหนีไปโดยไม่ลังเล

ร่างดวงจิตมู่เฉินรีบเผ่นเข้าไปในเจดีย์และกระตุ้นมัน ทันใดนั้นแสงวววาวราวกับอัญมณีก็แผ่ขยายออกไปพร้อมกับรัศมีเทพที่ก่อตัวกลายเป็นกระแสน้ำวน

เมื่อกระแสน้ำวนก่อตัวขึ้น มู่เฉินก็คือกระตุ้นสิ่งนี้เพื่อหนีไป

“เจ้าหัวขโมย คิดหนีเรอะ?!”

ทว่าทันใดนั้นเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง อึดใจก็สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันคือสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่เชื่อมโยงกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลจองจำขนาดใหญ่

เมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์เข้าตาจนแล้ว

“จองจำ!”

เสียงเย็นดังก้อง มู่เฉินก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระแสน้ำวนข้างหลังหยุดนิ่ง นอกจากนี้ร่างดวงจิตซึ่งอยู่ในเจดีย์ผลึกใสก็ถูกตรึงไว้ด้วย

ความรู้สึกราวกับว่าเวลาและมิติแห่งนี้ถูกคุมขัง เขาเหมือนยุงในอำพันที่ไม่สามารถกระตุกกระดิกได้

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงกัดฟันตั้งใจจะทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิตของตนเอง

แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ เขาจะต้องสูญเสียใหญ่หลวง ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบากในการสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ มู่เฉินรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต หากเขาพลาดไปก็จะไม่สามารถสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ได้อีกในอนาคต

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเขาไม่ทำลายร่างดวงจิตของตนเอง จอมยุทธ์เผ่าฝูถูอาจใช้สิ่งนี้ในการตรวจหาร่างจริงเขา เมื่อตัวตนเขาถูกเปิดเผยก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิต

“ระเบิด!”

“หืม?”

มู่เฉินกัดฟันแน่นทำใจที่จะทำลาย ทว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในพื้นที่นี้ สายผนึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลทรงพลัง แต่พวกมันไม่ได้ถูกควบคุม เนื่องจากได้แยกการเชื่อมโยงออกจากกัน

เหตุนี้ทำให้การคุมขังในบริเวณนี้หายไป ร่างดวงจิตมู่เฉินสามารถควบคุมเจดีย์ผลึกใสได้อีกครั้ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลัน มากจนมู่เฉินยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ แต่โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไว เขาส่งเจดีย์ผลึกใสไปที่กระแสน้ำวนทันที

“ทำไมค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษถึงมีช่องโหว่?!”

คนที่เคลื่อนไหวร้องอุทานเมื่อเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะหนีเข้าไปในกระแสน้ำวน เขาคำรามลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ตู้ม!

ทันใดนั้นมือแห้งกรังก็ตบลง ชั้นฟ้าและชั้นดินดูเหมือนจะพังทลายลงมา พลังอันน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวถูกฉีกขาดมิติบดขยี้มู่เฉินไว้จากด้านบน

สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่คิดจะจับเป็นแล้ว หัวขโมยแบบนี้ ต่อให้ต้องฆ่าก็ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้!

คลื่นพลังงานน่าสะพรึงบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด ถ้ามีเวลาอีกสามลมหายใจเขาก็จะสามารถหลบหนีไปได้!

แต่การโจมตีครั้งนี้โหดเหี้ยมไม่ให้โอกาสเขาสักเสี้ยววินาที

ถึงเป็นสามลมหายใจสั้นๆ แต่ขณะนี้หมายถึงความเป็นตายเลยทีเดียว

มู่เฉินได้แต่มองพลังทำลายล้างกวาดเข้ามา ทว่าทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

ฮึ่ม ฮึ่ม

สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏรอบตัวมู่เฉิน พวกมันกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ถักทอเป็นม่านบางเหนือร่างมู่เฉิน

ปัง!

แม้ว่าม่านจะแตกสลายในทันที แต่ก็ซื้อเวลาได้ถึงสามอึดใจพอดี

มู่เฉินควบคุมเจดีย์ผลึกใสทะยานเข้าไปในกระแสน้ำวน จังหวะนั้นเขาก็มีเวลาที่จะหันกลับไปมองดูเส้นสายผนึกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่มาจากพวกมัน

ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ หัวใจของเขาเต้นเป็นกลองรัว

“ท่านแม่…เป็นท่านใช่ไหม?”

ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำ มารดาของเขาช่วยแก้ไขสถานการณ์เป็นตายให้เขาเป็นครั้งที่สองแล้ว

ในเผ่าฝูถูมีเพียงมารดาของเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือเขาได้

“ท่านแม่รอข้านะ ข้าจะมาช่วยท่าน แล้วเราจะกลับไปหาท่านพ่อด้วยกันแน่นอน!”

กระแสน้ำวนมืดมิดลงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มู่เฉินพึมพำในใจ

เมื่อร่างดวงจิตและเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินเข้าสู่กระแสน้ำวน พลังงานทำลายล้างก็หายไปทันที ไม่กี่อึดใจผู้อาวุโสที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีประสบการณ์สูงก็ปรากฏตรงจุดที่กระแสน้ำวนหายไป

เขายื่นมือออกสัมผัสมิติบริเวณนี้ พยายามที่จะมองหาทิศทางตามรัศมีที่หลงเหลือไว้

ทว่าเขาก็ต้องหดมือกลับ ใบหน้าของเขามืดครึ้มเพราะเขาพบว่าร่องรอยมิติที่นี่ถูกลบไปหมดแล้ว

ทำได้อย่างหมดจดจนเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย

ชายชราเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่ใบหน้ามืดครึ้ม

ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ในเจดีย์

ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มคลุมเครือผุดตรงมุมปากขณะมองไปในระยะไกล

ทว่าก็กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะหายไป

ฮึ่ม ฮึ่ม

มิติมืดมิดบิดเบือนยามนี้มีใบหน้าแก่หงำปรากฏขึ้นพร้อมกับความโกรธมองร่างเงาในเจดีย์

“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เมื่อกี้เจ้าทำอะไรลงไป?!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปที่ใบหน้าสูงวัยก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสกำลังพูดอะไร”

ใบหน้าอาวุโสอัดแน่นด้วยความกรุ่นโกรธขณะที่คำราม “มีคนแอบเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อขโมยรัศมีตกทอด ที่สำคัญในช่วงเวลาสุดท้ายยังเกิดปัญหาขึ้นกับค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ช่วยเจ้าหัวขโมยหลบหนีไป!”

“แล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มบาง

“หึ! เกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงเรอะ? เจ้าเป็นหนึ่งในคนสร้างค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ! จะยากแค่ไหนถ้าเจ้าต้องการทิ้งบางอย่างเอาไว้? เจ้าคิดว่าข้าเป็นตาแก่ขี้หลงขี้ลืมรึ? เจ้าโจรที่มาขโมยรัศมีตกทอดจะต้องเป็นเชื้อสายต่ำตมที่เจ้าทิ้งไว้ข้างนอกแน่?!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะคอกอย่างเย็นชา

“งั้นเหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ยอมรับคำพูดของเขา

ผู้อาวุโสใหญ่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินไอ้เด็กเหลือขอน้อยไป เพียงไม่กี่ปีก็เติบโตได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีรายงานมาว่าเขาสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ท่าทางคงได้รับการถ่ายทอดสายเลือดไปจากเจ้า ในเมื่อเป็นกรณีนี้เราคงต้องส่งผู้อาวุโสออกไปจับเขามา!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งที่สงบนิ่งเสมอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องมองผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่จะพูดช้าๆ ว่า “ถ้าท่านกล้าส่งหน้าไหนออกไป อย่าโทษข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”

ผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูมีสถานะสูงส่ง แต่ละคนมีขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น เมื่อไรที่พวกเขาเคลื่อนไหวจะเป็นเรื่องน่าสะพรึงสำหรับมู่เฉินแน่

“เจ้าจะทำอะไรได้?” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับความขัดขืนของชิงเหยี่ยนจิ้ง

ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปก่อนที่จะค่อยๆ ปิดตา

ทันทีที่ดวงตาปิดสนิท เจดีย์ก็สั่นสะท้าน จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ตกใจเมื่อเห็นผนึกที่ปราบปรามชิงเหยี่ยนจิ้งเริ่มพังทลายลง

ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสใหญ่ยังสัมผัสได้ถึงความโกลาหลใหญ่เผ่าฝูถู ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากค่ายกลผู้พิทักษ์ที่ควบคุมโดยสภาผู้อาวุโสเริ่มถูกกระตุ้น

“เจ้า!”

ผู้อาวุโสใหญ่มองอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อ “ความสำเร็จของเจ้าในด้านค่ายกลไปไกลขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าสามารถควบคุมค่ายกลผู้พิทักษ์จากระยะไกลได้?!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งลุกขึ้น ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนจะเปล่งประกายราวกับดวงดาวรอบตัวนาง จากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เหตุผลที่ข้ายอมรับการลงโทษในตอนนั้นไม่ใช่เพราะกลัวพวกท่าน ข้าแค่ไม่ต้องการให้ลูกมาติดร่างแหด้วย แต่ถ้าท่านกำลังจะข่มขู่ข้าด้วยลูกชายของข้า พวกท่านจะต้องคิดให้ถ้วนถี่กับราคาที่ต้องจ่ายออกมา”

ยามนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน นางแสดงให้เห็นถึงด้านดุร้ายราวกับเสือแม่ลูกอ่อนที่ปกป้องลูกน้อย หากใครแตะต้องดวงใจของนาง พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายและบ้าคลั่งด้วย

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางก็คือลูกรัก…มู่เฉิน

ใบหน้าของผู้อาสุโสใหญ่เปลี่ยนไปเมื่อเผชิญกับชิงเหยี่ยนจิ้งที่อยู่ในสภาพอันตราย เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของนาง ถ้าเขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไปจริงๆ ละก็ชิงเหยี่ยนจิ้งคงจะก่อกบฏทันที แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปราบปรามนางได้ด้วยรากฐานของเผ่าฝูถู พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสูงแน่นอน

ซึ่งราคานั้นอาจเป็นความตายของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเลยทีเดียว

สำหรับเผ่าฝูถูนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกขั้วอำนาจในมหาพันภพ

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าจะไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่ลูกของเจ้าจะต้องถูกจับกลับมา”

เสียงของเขาเคร่งขรึมไร้ข้อกังขา เขายอมถอยหนึ่งก้าวไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่เขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนออกไป

ชิงเหยี่ยนจิ้งสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดนั่น เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าโบราณที่จะถอย ตัวนางก็ไม่อยากตัดความสัมพันธ์กับเผ่าอย่างเด็ดขาด ถึงยังไงนางก็มีสายเลือดของเผ่าโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน

สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่นางก็ยอมรับพอได้ นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ดังนั้นเขาปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน

นางเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่า สายตาราวกับทะลุผ่านห้วงมิติห่างไกลไปยังร่างเงาที่นางรักอย่างสุดหัวใจ นางเผยรอยยิ้มน่ายินดี ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจอย่างนุ่มนวล

“ลูกรัก แม่ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาพลังของตนเองแล้วนะ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท