หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1253

ตอนที่ 1253

บทที่ 1253 หลิ่วซิงเฉิน
หลังจากเห็นหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไปแล้ว

มู่เฉินก็ลังเลเล็กน้อย เขารู้ว่าจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงระหว่างสองคนนั่น แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่ตามไปเพื่อหาผลประโยชน์ ทั้งสองคนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาอาจไปดึงดูดความเป็นศัตรูแทน หากคิดติดตามไป

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่คิดมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของทั้งสองและจากไปในทิศทางอื่น เขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในนั้นจะถูกส่งออกไปจากสนามรบ แต่ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใครก็จะเพิ่มความเร็วในการกำจัดของการแข่งขันนี้ ฉากจบสุดเข้มข้นของศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้น

เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ในใจ มู่เฉินที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็หยุดชะงักมองไปในระยะไกล เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนคลื่นหลิงป่าเถื่อนพวยพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า

ความผันผวนทรงพลังมากจนมู่เฉินก็รู้สึกถึงได้แม้อยู่ตรงนี้ เมื่อมองจากที่ไกลกระทั่งมิติก็ยังแสดงให้สัญญาณการบิดเบือน

มู่เฉินรู้ว่าทุกคนในสนามรบนี้คงสัมผัสถึงความผันผวนที่น่ากลัวเช่นกัน

“หลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทั้งสองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้า

หากเขาปะทะกับสองคนนี่ ก็ยากที่จะได้รับผลประโยชน์ใดๆ ถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจก็ตาม

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะรับรู้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว เขาตั้งใจจะรอให้การต่อสู้จบลง เพราะเขาอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ภายใต้การรอของเขาความผันผวนพลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น บริเวณนั้นดูเหมือนจะวินาศสันตะโร มืดมิดไม่มีแสงสว่างใด

สถานการณ์นี้ดำเนินไปสองชั่วโมงเต็มก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่รุนแรงลดลงอย่างรวดเร็ว

“สู้กันเสร็จแล้วรึ?”

สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่ป้ายสัประยุทธ์ของตนเองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมหน้าจออันดับเผยต่อหน้า หากเกิดผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในพวกเขาจะมีป้ายสัประยุทธ์เพิ่มขึ้น

“หืม?”

แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับจำนวนป้ายสัประยุทธ์บนตาราง

“หรือว่าพวกเขาเสมอกัน?” มู่เฉินพูดพึมพำในความสับสน ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ พวกเขาเลยไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์

“ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง”

มู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกประหลาดใจกับความจริงที่ว่าหลิ่วซิงเฉินสามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ ถึงยังไงหลิงจั้นจื่อก็เป็นจอมยุทธ์ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากจักรพรรดิสัประยุทธ์

ด้วยคำแนะนำของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนบวกกับทรัพยากรมากมายของตำหนักซีเทียน การฝึกฝนของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังต้องถอนหายใจ เนื่องจากตัวเขาพึ่งพาแต่ตัวเองเสมอมา

มู่เฉินไม่คิดอ้อยอิ่งอีกต่อไปมุ่งหน้าต่อไปในระยะไกล ด้วยจำนวนคนที่น้อยลงเขาต้องลองเสี่ยงโชค ดูว่าจะสามารถหาคนที่ซ่อนตัวเพื่อแย่งป้ายสัประยุทธ์มาได้หรือไม่

ทว่าเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรมากมายหลังจากเหาะไปทั่ว คนพวกนั้นเกิดฉลาดหนีไปทันทีเมื่อปะทะกับคนที่มีป้ายจำนวนมาก

นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ว่ามีผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มแลกเปลี่ยนวัตถุจากคลังสัประยุทธ์และออกจากสนามรบไป

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเลือกแลกเปลี่ยนสมบัติและจากไปอย่างเด็ดขาด เพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีโอกาสในการแข่งขันครั้งนี้

แต่นี่ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับมู่เฉินที่จะออกล่าป้ายสัประยุทธ์ ท้ายที่สุดเขาต้องเลิกความคิดนี้ไป เพราะเขารู้ว่าเมื่อมาถึงจุดนี้การต่อสู้จะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป

หากเขาต้องการชนะ เขาจะต้องพุ่งความสนใจไปยังคนที่ติดอันดับ

มู่เฉินหยุดลงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นสายตาก็โชนแสง เนื่องจากเขาตัดสินใจปรับสภาพก่อนที่จะทำการต่อสู้กับผู้แข่งขันอันดับต้นๆ

“มาพักกันสักหน่อย”

มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนภูเขา แต่เมื่อเขาเข้าไปในเทือกเขา สายตาก็ต้องหดลง เขามองเข้าไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่คลุมเครือ

ซึ่งเป็นคลื่นหลิงที่ค่อนข้างคุ้นเคย

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสง หลังจากนั้นสิบกว่าลมหายใจเขาก็มาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกพลางกวาดมองไปรอบๆ เขาเห็นชายสวมเสื้อคลุมดำที่มีผมขาวนั่งอยู่เงียบๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่ก็คือเจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน!

ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดปกคลุมไปด้วยเลือดที่มาจากอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่บนร่างกายของเขา ซึ่งทำให้เขาหมดสภาพอ่อนโยนในอดีต

เมื่อมู่เฉินเห็นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย หัวใจก็สั่นสะท้าน บาดแผลของหลิ่วซิงเฉินถูกทิ้งไว้โดยหลิงจั้นจื่อจากการต่อสู้ก่อนหน้า

หลิ่วซิงเฉินรับรู้ถึงการมาถึงของมู่เฉิน เขาเปิดเปลือกตายิ้มขมขื่นฉายบนใบหน้า

เมื่อมองไปที่หลิ่วซิงเฉินที่บาดเจ็บสาหัส รอยยิ้มของมู่เฉินก็พิลึกไปก่อนที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะดวงดีแล้ว มีเนื้อย่างตกลงมาจากท้องฟ้า”

หลิ่วซิงเฉินยิ้มตามคำพูดของมู่เฉินพลางถอนหายใจ “สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ดูท่าข้าจะประเมินตัวเองสูงไปและประเมินเขาต่ำเกินไป”

“ดูเหมือนว่าการปะทะเมื่อครู่เจ้าจะแพ้ แต่สุดท้ายก็หนีมาได้” มู่เฉินเข้าใจแล้วหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไม่ได้เสมอกัน แต่เป็นหลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและหนีมา ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์ของอีกฝ่าย

หลิ่วซิงเฉินถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่นและพยักหน้า “หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าข้าล้มเหลวในข้อตกลงของพี่ซูและพี่ฉู่”

“พันธมิตร?”

หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ที่หลิ่วซิงเฉินกำลังพูดน่าจะหมายถึงซูมู่และฉู่เหมิน ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างพันธมิตรกันขึ้นมาด้วย

“ไม่นับว่าเป็นพันธมิตรหรอก แต่เป็นเหมือนข้อตกลง พวกข้าสามคนไม่ชอบเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียน ดังนั้นจึงต้องการที่จะเห็นว่าใครเก่งกว่ากันในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือหลิงจั้นจื่อ คงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว” หลิ่วซิงเฉินกล่าว

มู่เฉินเข้าใจทันที ที่แท้หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินกลัวเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างพันธมิตรลับขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามรวมตัวกันละก็ คนอื่นๆ ก็จะหมดสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย

“แล้วทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้า? เจ้าอยากให้ข้าถอยไปเรอะ?” มู่เฉินยิ้มมองหลิ่วซิงเฉิน ด้วยอาการบาดเจ็บความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนที่จะคว้าป้ายสัประยุทธ์มาได้

ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วซิงเฉินก็หัวเราะ “ตรงกันข้ามข้าตั้งใจจะให้ป้ายสัประยุทธ์ด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าเอาไปละสิ”

“ทำไม?”

หลิ่วซิงเฉินยิ้ม “ข้าอ่อนล้าลงมาก กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่อยู่ตอนนี้ก็เพื่อไม่ให้หลิงจั้นจื่อได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าไป หากเจ้ามีความกล้าข้าก็ยินดีที่จะให้ป้ายทั้งหมดนี้แก่เจ้า”

“แต่หลิงจั้นจื่อเห็นข้าเหมือนเหยื่อ แล้วใครจะกล้าขโมยเหยื่อของเขาล่ะ? หากป้ายสัประยุทธ์ของข้าตกอยู่ในมือเจ้า อันดับของเจ้าจะก้าวกระโดดแซงเขาพุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นเขามาตามล่าเจ้าแน่นอน”

“ต้องเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแบบนั้น เจ้าคิดจะรับป้ายสัประยุทธ์ของข้าหรือไม่ล่ะ?”

หลิ่วซิงเฉินยิ้มให้มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉิน

แต่เขาก็ต้องประหลาดใจกับการแสดงออกของมู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นใด ซ้ำยังยิ้มหลังจากที่เขาพูดจบ “ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าตั้งใจจะคว้าตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะไม่มีป้ายสัประยุทธ์ของเจ้า ข้าก็จะจัดการหลิงจั้นจื่ออยู่ดี”

หลิ่วซิงเฉินอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทีละน้อย เขาไม่เห็นความกลัวใดๆ ในสายตานั่น นอกจากนี้ความมั่นใจของมู่เฉินก็ไม่ใช่แสร้งทำ

นั่นหมายความว่ามู่เฉินตั้งใจจะสู้กับหลิงจั้นจื่อจริงๆ

หลิ่วซิงเฉินเคยได้ยินเรื่องของมู่เฉินมาบ้าง การประสบความสำเร็จเช่นนั้นแสดงว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดดีและโง่เขลา ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขายังกล้าพูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ

“ตอนแรกข้าคิดว่ามีเพียงตนเองที่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไป” พักใหญ่หลิ่วซิงเฉินก็ถอนสายตา

มู่เฉินยิ้ม “งั้นเจ้าตัดสินใจว่ายังไง?”

หลิ่วซิงเฉินหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์บินไปหามู่เฉิน “เอาเถอะ ถึงหลิงจั้นจื่อจะเอาชนะข้าได้ แต่ในเมื่อสร้างปัญหาให้มันได้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่”

“มู่เฉินถ้าเจ้ามีความกล้าก็จงรับป้ายเหล่านี้ซะ ข้าจะรอดูการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหลิงจั้นจื่อที่ข้างนอก หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

มองไปที่ป้ายสัประยุทธ์มู่เฉินก็กวาดมือเก็บทั้งหมดไว้ ก่อนจะประสานมือ “งั้นก็ขอให้พี่หลิ่วรอดูเลย”

หลิ่วซิงเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างจะค่อยๆ จางหายไปจากมิติสนามรบ

เมื่อหลิ่วซิงเฉินออกไปแล้ว ป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉินก็กะพริบ เขาทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของการจัดอันดับทันที

อันดับหนึ่ง มู่เฉินรวมสี่สิบสามป้าย!

ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสิ่งนี้ก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท