หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1264

ตอนที่ 1264

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1264 สนามรบของหญิงสาวสองคน
มิติบิดเบือนถึงขีดสุด

มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวน เมื่อภาพเบื้องหน้าสว่างขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

มู่เฉินกวาดสายตาออกไปก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในจัตุรัสที่อัดแน่นด้วยความเคารพและสายตาพุ่งตรงมาจ้องมองที่เขา

ตอนที่มู่เฉินเข้าสู่สนามรบไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย ในเวลานั้นมีเพียงเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจของผู้คน

แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียง แต่ในสายตาหลายคน ผลลัพธ์ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่กล้าไปสู้ในสนามรบขั้นปลายมีทางเดียว นั่นก็คือถูกเตะออกมาราวกับลูกหนัง

ดังนั้นหลายคนจึงมองมู่เฉินอย่างขบขันตอนที่เขาก้าวเข้าสู่สนามรบ

ทว่าใครจะคิดว่าดาวฤกษ์น้อยนี้จะทำให้ทุกคนตกตะลึงกับความไม่เชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า

มากจนแม้แต่คนที่มีพลังอย่างหลิงจั้นจื่อยังพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน กลายเป็นหินรองเท้าให้มู่เฉินก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย

ขณะนี้เมื่อทุกคนมองมาที่มู่เฉินอีกครั้ง แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นยอดก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในใจ เพราะพวกเขารู้ว่าอนาคตของคนอย่างมู่เฉินไม่มีขีดจำกัด มากจนอาจมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน

ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะไม่ไปแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่สูญเสียตราสัประยุทธ์ให้กับมู่เฉิน ก็ได้แต่ระงับความทุกข์และความเป็นปฏิปักษ์ไว้ในใจ

อย่าได้เป็นศัตรูกับจอมยุทธ์เช่นนี้เลย

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความเคารพ มู่เฉินก็สงบใจก่อนที่จะมองขึ้นไปบนบันไดก็เห็นร่างผู้ยิ่งใหญ่สองคนพุ่งสายตามายังเขา

สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังคงไม่แยแสเหมือนเดิม แม้มู่เฉินจะแสดงศักยภาพน่าทึ่งในการต่อสู้ ซ้ำยังได้รับตำแหน่งนักรบทวีปของสนามรบตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วย

ความสำเร็จดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่สำหรับจอมยุทธ์อย่างจักรพรรดิสัประยุทธ์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากได้ เพราะมีจอมยุทธ์อัจฉริยะมากมายในมหาพันภพ แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้

ตราบใดที่มู่เฉินยังไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่มีอะไรในสายตากับคนแบบจักรพรรดิสัประยุทธ์

ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแสของจักรพรรดิสัประยุทธ์ มู่เฉินก็ไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดและสายตากว้างไกลเช่นเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

นอกจากนี้เขายังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะให้จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนมองเขาอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ เพราะมู่เฉินเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะไปไกลเกินกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ รอแค่เพียงเวลาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น

ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพยักหน้าให้มู่เฉิน รอยยิ้มช่างพอใจอย่างยิ่ง เพราะตัวเขาเป็นคนแนะนำมู่เฉินให้เข้าร่วมการแข่งขัน แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้เต็มร้อย แต่ผลลัพธ์ก็พิสูจน์ได้ว่าสายตาของเขาไม่ได้แย่

มู่เฉินเคารพเซียวเหยียนมาก ดังนั้นเขาจึงประสานมือโค้งคำนับ “ผู้น้อยคนนี้โชคดีพอที่จะยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย ไม่ได้ทำให้ท่านผู้อาวุโสเสียหน้า”

เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าต้องขอบคุณความใจกว้างของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เพราะตำแหน่งนักรบทวีปของเจ้ามาจากทวีปซีเทียน”

มู่เฉินยิ้มพยักหน้าหันไปหาจักรพรรดิสัประยุทธ์พลางประสานมือ “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์”

ริมฝีปากของจักรพรรดิสัประยุทธ์กระตุก เมื่อคิดว่าหนึ่งในสามของตำแหน่งนักรบทวีปจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกปวดใจ

นั่นคือนักรบทวีปที่มีโอกาสบรรลุระดับเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ!

แม้ว่าจะไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่าคนอื่น

พิธีชำระล้างเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หลังจากรอมาหลายร้อยปี เดิมทีเขาต้องการที่จะมอบให้กับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา ซึ่งจะทำให้พลังของตำหนักซีเทียนเพิ่มขึ้น หากมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปรากฏตัวขึ้นในอนาคต

ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จะสบายใจได้ยังไงที่มู่เฉินคว้าเอาไป?

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลืนความไม่พอใจลงไป เมื่อปะหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคี หากเขารู้เรื่องนี้ก็คงไม่คิดจะรับยาเทวะมังกรหงส์ตั้งแต่ต้นแล้ว

แม้ว่าเม็ดยาจะมีค่า แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งนักรบทวีปก็ยังด้อยกว่า

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่พยักหน้าโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใด “ในเมื่อเจ้าชนะด้วยความสามารถที่มี ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด รอจนกว่าการแข่งขันทั้งหมดจะสิ้นสุดลง ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับการรับชำระล้าง”

มู่เฉินรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์รู้สึกไม่พอใจในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจในน้ำเสียง เขาถอยออกจัตุรัสด้วยรอยยิ้ม กลับไปหาลั่วเทียนเสิน

ลั่วเทียนเสินจ้องมองเขาด้วยดวงตาระยิบระยับเป็นเวลานานก่อนที่จะตบไหล่ของมู่เฉินแย้มยิ้ม “ทำได้ดีมาก หลานสาวข้าสายตาดีจริงๆ”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะจ้องมองลึกซึ้งไปที่ลั่วเทียนเสินบอกเป็นนัยว่าตอนนั้นที่สำนักศึกษาเป่ยชางท่านไม่ได้พูดอย่างนี้น้า

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน ลั่วเทียนเสินก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดจนกระแอมไอออกมา “เจ้าจัดการกับเสี่ยหลิงจื่อช่างเป็นบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลลั่วเสินนัก… ลั่วหลีต้องรู้สึกขอบใจเจ้ามากเช่นกัน”

เมื่อพูดจบสายตาของเขาก็ดิ่งลง ในอดีตบิดาของลั่วหลีก็ตายด้วยน้ำมือเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส

มู่เฉินตอบเสียงเบา “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก ในอนาคตตระกูลลั่วเสินจะกลับมายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้งแน่”

ลั่วเทียนเสินระงับอารมณ์พลางพยักหน้า ตระกูลลั่วเสินตอนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของลั่วหลีบวกกับนางได้รับมรดกของลั่วเสิน ในอนาคตนางอาจจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สอง เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลลั่วเสินก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง

“อีกสองสนามรบยังไม่มีผลหรือขอรับ?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ

“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจบไปนานแล้ว ผู้ชนะก็ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้า เขาคือผู้เฒ่าตงแห่งตำหนักซีเทียน” ลั่วเสินเทียนบอก

“เขารึ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเดาะลิ้น หากไม่ใช่เขากับลั่วหลีเข้าร่วมการแข่งขัน ตำแหน่งทั้งสามคงตกอยู่ในมือตำหนักซีเทียนทั้งหมดเลยมั้ง?

“แล้วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นล่ะ?” มู่เฉินถาม

“ยังไม่มีผลลัพธ์ตอนนี้ เพราะมีจอมยุทธ์มากมายเข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจน้อยไปกว่าสนามรบของเจ้าหรอก” พอพูดถึงสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นดวงตาของลั่วเทียนเสินก็โค้งเป็นรอยยิ้ม

“ทำไมรึ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย

“ต่างจากการต่อสู้ชุลมุนในสนามรบของเจ้า ตอนนี้ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแบ่งออกเป็นสองค่าย มีจอมยุทธ์นับร้อยคนในแต่ละค่าย… ” ลั่วเทียนเสินกล่าวด้วยดวงตาแคบลงเป็นรอยยิ้ม

“สองค่าย?” มู่เฉินอึ้งไป มีเพียงหนึ่งตำแหน่งเดียวในสนามรบ ดังนั้นทำไมถึงมีสองค่าย? ตำแหน่งจะจัดสรรยังไง?

“ผู้นำค่ายหนึ่งคือหลิงเฟยจื่อ พอนางเข้าสู่สนามรบก็เริ่มสรรหาคนโดยใช้ชื่อของตำหนักซีเทียน เริ่มฉกฉวยแย่งชิงป้ายสัประยุทธ์ของคนจำนวนมาก”

“ภายหลังมีหลายคนเดือดดาลกับการกระทำหลิงเฟยจื่อ พวกเขาเริ่มร่วมมือกัน แต่นั้นก็ยังพ่ายแพ้ต่อหลิงเฟยจื่อหลายต่อหลายครั้ง”

“แต่ในเวลานั้นลั่วหลีก็เริ่มชักชวนผู้คนที่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับหลิงเฟยจื่อ จัดตั้งค่ายที่ไม่อ่อนแอกว่าขึ้นมา”

ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “หลิงเฟยจื่อทำเช่นนี้ก็คงเพื่อจัดการกับลั่วหลี ซึ่งนางจะต้องรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นนางจึงนำการโต้ตอบที่คล้ายกันมาใช้”

หลิงเฟยจื่ออคติต่อลั่วหลีตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นก็เป็นปกติที่นางไม่ต้องการเห็นลั่วหลีเจิดจรัสในสนามรบ ดังนั้นจึงเลือกใช้มาตรการแบบนี้

นอกจากนี้นางน่าจะยังไม่มีความมั่นใจในการจัดการกับลั่วหลี ดังนั้นนางจึงเลือกวิธีการดังกล่าวเพื่อผูกมัดผู้คนเพื่อจัดการแทน

ทว่าลั่วหลีไม่ใช่คนอ่อนแอ หลังจากรับรู้ถึงแผนการของหลิงเฟยจื่อ นางก็เริ่มตอบโต้

แม้ว่าหลิงเฟยจื่อจะใช้ชื่อตำหนักซีเทียนเพื่อดึงหลายคนเข้ามา แต่ก็ประเมินลั่วหลีต่ำเกินไป ลั่วหลีเลือกที่จะหมอบต่ำปล่อยให้หลิงเฟยจื่อวิ่งวนไปรอบๆ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้อื่น ก่อนที่นางจะเริ่มดึงคนเข้ามา ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ทุกคนคุยกันว่าสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นกลายเป็นเวทีสำหรับหญิงสาวสองไปแล้ว” ลั่วเสินเทียนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มดี การต่อสู้ชุลมุนกลับกลายเป็นการสู้กันระหว่างค่ายของหลิงเฟยจื่อและลั่วหลี

“แต่ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ใกล้จะถึงแล้ว เพราะตอนนี้นอกเหนือจากสองค่ายนี้ก็ไม่มีใครอยู่ในสนามรบอีกแล้ว”

มู่เฉินพยักหน้าขณะที่กำลังจะพูดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอขนาดใหญ่เหนือจัตุรัส

ในหน้าจอฉายภาพสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น

ตอนนี้ในสนามรบ ทั้งสองฝ่ายกำลังทะยานขึ้นไปบนภูเขาซึ่งแยกฝั่งกันอย่างชัดเจน

มู่เฉินกวาดสายตาก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นร่างคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหน้า นี่เป็นสมรภูมิรบของสตรีสองคนแล้วจริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท