หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1267

ตอนที่ 1267

บทที่ 1267 ลั่วหลีชนะ
ซ่า ซ่า!

แสงกระบี่เติมเต็มชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็น

สีหน้าเย็นเยือกของหลิงเฟยจื่อถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด ริ้วความกลัวพลุ่งพล่านในดวงตา นางไม่เคยคิดว่ากระบี่ของลั่วหลีจะน่ากลัวขนาดนี้

เมื่อกระบี่กวัดแกว่ง แสงกระบี่ก็อัดแน่นไปทั่วทุกมุมของสวรรค์และโลก เผชิญหน้ากับกระบี่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง

“แย่ล่ะ!”

หลิงเฟยจื่อกัดฟันแววตาเย็นยะเยือก ในเมื่อมาไกลขนาดนี้ก็ไม่มีทางหนีให้นางแล้ว นางอยากดูด้วยว่าจะยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าของลั่วหลีหรือไม่ หากนางต้านกระบี่นี้ได้

“เจ้าคิดจริงๆ หรือร่างมหาจักรพรรดินีของข้าจะปราบได้ง่าย?!”

หลิงเฟยจื่อกัดลิ้นตัวเอง ในปากเลือดกลั่นไหลพล่านซึ่งอัดแน่นไปด้วยคลื่นหลิงน่าเหลือเชื่อ

หลิงเฟยจื่อใบหน้าซีดขาว ชัดว่ากลุ่มเลือดนี้ทำให้นางเสียคลื่นหลิงไปมหาศาล

กลุ่มเลือดพุ่งออกไปโปรยลงบนดวงจันทร์ของร่างมหาจักรพรรดินี ทันใดนั้นเลือดสดก็ย้อมสี ดวงจันทร์ที่เปล่งประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีน่ากลัวค่อยๆ แช่แข็งพื้นที่โดยรอบ

ฮึ่ม!

ดวงจันทร์สีแดงเข้มสั่นไหวพุ่งออกมาจากมือร่างมหาจักรพรรดินี ปลดปล่อยแสงสีแดงเข้มเชี่ยวกราก สุดท้ายกลายเป็นรัศมีแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุมิติ ทะยานเข้าใส่แสงกระบี่อย่างรวดเร็ว

ริ้วแสงสีแดงเข้มเปล่งประกายไอเย็นเยือก แม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็กลายเป็นน้ำแข็งทันทีที่สัมผัสมัน จากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ตู้ม!

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แสงกระบี่และดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ปะทะกันในอึดใจต่อมา

ทันทีที่เกิดการกระทบ แสงแวววาวก็อัดแน่นทุกซอกมุมของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เทือกเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้แสงนี้

ทุกคนที่อยู่รอบรัศมีหลายพันลี้หนีกันจ้าละหวั่นพร้อมกับความสยองขวัญบนใบหน้า เพราะพวกเขารู้ว่าหากคลื่นกระแทกซัดเข้าละก็ ต่อให้ไม่ตายพวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บหนักแน่

แคว๊ก แคว๊ก!

ท่ามกลางสายตาตกตะลึง ดวงจันทร์สีแดงเลือดก็ฉีกเงากระบี่ออกเป็นชิ้นๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่ลดลง ดวงจันทร์สีแดงเข้มก็จางลงเช่นกัน

เคร้ง!

ทันใดนั้นเมื่อดวงจันทร์สีแดงเข้มกำลังตัดผ่าน กระบี่ยาวก็พุ่งเข้ามาสัมผัสกับดวงจันทร์

เสียงคมชัดดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า

แต่ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที ความกลัวพล่านในสายตา

แกร็ก!

เนื่องจากนางเห็นรอยแตกเริ่มกระจายไปบนดวงจันทร์สีแดงเข้ม เพียงสิบกว่าอึดใจรอยแตกก็พล่านไปทั่วแล้ว

ปัง!

ในที่สุดดวงจันทร์ก็มาถึงขีดสุดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ลั่วหลีแตะนิ้วอย่างเรียบเฉยในอากาศ ความผันผวนกระจายออกไป

วาบ!

กระบี่ยาวที่แทงทะลุดวงจันทร์หายไปอีกครั้ง

หลิงเฟยจื่อเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบล่าถอยออกมาทันทีโดยควบคุมร่างมหาจักรพรรดินี ม่านคลื่นหลิงจำนวนมากถูกรวมขึ้นเป็นแนวการป้องกัน

ชี่!

ทว่าเสียงเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น ขณะที่นางถอยกลับทำเอาร่างกายนางแข็งทื่อไปเลย นางค่อยๆ ก้มศีรษะลงด้วยความยากลำบาก มองเห็นกระบี่ยาวแทงทะลุผ่านหน้าอกของร่างมหาจักรพรรดินี

แสงกระบี่คมกริบทำให้เกิดการระเบิดขึ้นภายในร่างทันที

ปัง!

ร่างมหาจักรพรรดินีระเบิดภายใต้แสงกระบี่ กระจายคลื่นหลิงลงมาราวกับพายุฝน

อ็อก!

หลิงเฟยจื่อได้รับบาดเจ็บหนัก กระอักเลือดเต็มปากก่อนที่ร่างจะกระแทกกับภูเขา จนภูเขาทั้งลูกพังทลายเป็นหน้ากลอง

แสงกระบี่เริ่มจางหาย

บนร่างเทพวารีลั่วหลีก็ค่อยๆ ดึงมือกลับอย่างเงียบๆ สายตาจ้องมองบนภูเขาที่ถล่มลงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าแพ้แล้ว”

โห

ทุกคนในสนามรบตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่ากระทั่งทุ่มไปหมดหน้าตักหลิงเฟยจื่อก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของลั่วหลีได้

เห็นได้ชัดว่าลั่วหลีเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

ปัง

หินน้อยใหญ่กลิ้งหล่นลงมาจากภูเขา ก่อนที่ร่างของหลิงเฟยจื่อจะปรากฏขึ้นพร้อมรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาของนางวาววับด้วยความไม่เต็มใจพลางกัดฟันกรอด “ข้ายังไม่แพ้!”

ทว่าลั่วหลีไม่ได้สนใจอีกฝ่าย นางโบกมือคลื่นหลิงก็พล่านออกไป ป้ายสัประยุทธ์บินออกจากแขนเสื้อของหลิงเฟยจื่อ

เมื่อหลิงเฟยจื่อเห็นสิ่งนี้นางก็รู้สึกโกรธจนกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง นางได้รับบาดเจ็บหนักไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับลั่วหลีได้อีกต่อไป

เมื่อป้ายสัประยุทธ์ถูกยึดไป สภาพแวดล้อมรอบตัวหลิงเฟยจื่อก็เริ่มผันผวน นางกำลังจะถูกเตะออกจากสนามรบ สายตาแสดงความเกลียดชังจ้องเขม็งที่ลั่วหลีกัดฟันพูด “ลั่วหลีรอก่อนเถอะ! สักวันข้าจะเอาชนะแกได้แน่!”

ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย

ในที่สุดร่างของหลิงเฟยจื่อก็หายไปในกระแสมิติ ชัดว่านางสูญเสียคุณสมบัติไปแล้ว

หลังจากเอาชนะหลิงเฟยจื่อได้ ลั่วหลีก็กวาดสายตาไปยังค่ายหลิงเฟยจื่อ แตะฝ่าเท้าลง ร่างเทพวารีทะยานออกไปพร้อมกัน กระบี่แหลมคมพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าล้อมรอบจอมยุทธ์จากสำนักสู่ไว้

เผชิญหน้ากับการโจมตีของลั่วหลี จอมยุทธ์สามคนจากสำนักสู่ก็ยิ้มขมขื่น หลังจากต่อต้านไปพักหนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้จะร่วมมือกันก็ไม่สามารถต่อสู้กับร่างเทพวารีนี้ได้

“พวกข้ายอมแพ้!”

หลังจากตระหนักถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ทั้งสามคนก็ยกมือยอมแพ้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าลั่วหลีไม่ใช่คนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะสามารถเผชิญหน้าได้ ตอนนี้นางคือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปซีเทียน!

มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนางกับพวกเขา

พวกเขายิ้มอย่างขมขื่นกับความจริงนี้ พวกเขาถือตัวว่าเป็นอัจฉริยะ แต่หลังจากได้เห็นลั่วหลี พวกเขาก็เข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่เสมอ

เมื่อทั้งสามคนยอมจำนน ลั่วหลีก็หยุดยืนอยู่บนร่างเทพวารีแล้วมองไปที่พวกเขา ทั้งสามคนโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดมาให้ด้วยท่าทางเศร้าซึม

เมื่อหลู่เฟิ่งเซียน เถิงขุยและหยูหู่เห็นว่าลั่วหลีสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของพวกเขาถูกฉาบด้วยแววซับซ้อน

หญิงสาวสะคราญโฉมคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง พวกเขาที่ปกติมักถูกเรียกเป็นอัจฉริยะ ในวันนี้ได้รู้ซึ้งแล้วว่าเป็นเรื่องน่าตลกเพียงใด

เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่งดงามปานล่มเมือง แม้กระทั่งคนที่มีความภาคภูมิใจอย่างหลู่เฟิ่งเซียนก็ยังรู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่า สตรีเช่นนี้ใครจะคู่ควรกับนางได้?

หยูหู่ก็ยิ้มขมขื่นระงับความชื่นชมในหัวใจไว้

“ไม่รู้ว่ามู่เฉินโชคดีอะไรขนาดไหนถึงได้รับความรักจากนาง?” พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ถอนหายใจในใจ ตอนนี้พวกเขารู้สึกอิจฉามู่เฉินเกินจะบรรยาย

“ใครยังต้องการต่อสู้อีก” ขณะที่ทั้งสามคนถอนหายใจ ลั่วหลีก็หันไปมองจอมยุทธ์ค่ายหลิงเฟยจื่อ เสียงที่ดังนุ่มนวลกลับทำให้ใบหน้าของผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนเป็นสีเทา

มาถึงตอนนี้ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่ฝั่งผิด? ความพ่ายแพ้ของหลิงเฟยจื่อ ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคากับการยืนผิดข้าง

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ หลายคนก็หัวใจเย็นสะท้าน แต่พวกเขาก็ต้องส่งป้ายสัประยุทธ์ออกจากสนามรบไป

ไม่กี่นาทีค่ายหลิงเฟยจื่อก็เหลือคนสามสิบคนเท่านั้น พวกเขาเป็นคนที่ไม่ต้องการยอมแพ้และพยายามหนี

ลั่วหลีโบกมือ จอมยุทธ์กว่าหนึ่งร้อยคนทะยานออกมา ในเวลาชั่วก้านธูปคนเหล่านั้นก็ถูกกวาดล้างหมด

ตอนนี้มีเพียงสมาชิกค่ายลั่วหลีที่ยังอยู่ในสนามรบ พวกเขาเอาป้ายสัประยุทธ์ที่ได้มาซึ่งมีจำนวนหลายร้อยออกมาลอยอยู่บนท้องฟ้า

ลั่วหลีก็นำป้ายออกมาเช่นกัน นางมองไปรอบๆ และยิ้ม “ในเมื่อได้รับรางวัล เราก็จะแจกจ่ายตามผลงาน”

ทุกคนพยักหน้า ผลงานของพวกเขาถูกบันทึกไว้ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขารับจำนวนป้ายที่พวกเขามีสิทธิ์

หลายสิบลมหายใจต่อมาก็มีเพียงป้ายสัประยุทธ์แปดสิบกว่าป้ายลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งเป็นของลั่วหลี

ทว่านางไม่ได้แตะป้ายเหล่านั้น นางโบกมือกระจายป้ายส่งออกไป

ทุกคนไม่แปลกใจกับการกระทำของนาง เพราะพวกเขารู้ว่านี่หมายถึงอะไร ลั่วหลียกรางวัลในป้ายสัประยุทธ์ให้ เนื่องจากนางต้องการตำแหน่งนักรบทวีปเท่านั้น

ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้เพราะนี่เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ก็มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งไปจากพลังของนางเอง

หากไม่ใช่ลั่วหลี พวกเขาคงถูกหลิงเฟยจื่อเตะออกจากสนามรบไปนานแล้ว จะได้รับป้ายสัประยุทธ์มามากมายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้อย่างไร?

ดังนั้นทุกคนจึงเงยหน้ามองลั่วหลีพูดด้วยเสียงแสดงความเคารพ “เราขอบคุณต่อจักรพรรดินีลั่ว!”

หลังจากแลกเปลี่ยนสมบัติแล้ว ทุกคนก็เริ่มออกจากสนามรบ จนสุดท้ายทั้งสนามรบเหลือเพียงลั่วหลีคนเดียว

เห็นได้ชัดว่าผู้ชนะของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถูกตัดสินแล้ว

ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าแล้วแย้มยิ้ม นี่เป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สามารถล่มเมืองได้ แม้ว่านางจะไม่รู้ข่าวเกี่ยวสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่นางรู้สึกได้ว่า…

มู่เฉินน่าจะชนะแล้ว

เพราะนางมั่นใจในตัวเขามาตั้งแต่แรก

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท