หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1275

ตอนที่ 1275

บทที่ 1275 นายน้อย
ในวังลั่วเสิน

ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ร่างกายไม่เคลื่อนไหว แม้แต่การหายใจก็แผ่วเบาจนไม่ได้ยิน หากไม่ใช่แสงหลิงที่วาบผ่านดวงตาเป็นครั้งคราวละก็ ทุกคนคงจะคิดว่าเขาเป็นรูปปั้นแล้ว

ชายคนนี้นั่งอยู่ที่นี่ตลอดทั้งเดือนโดยไม่เคลื่อนไหว!

คิ้วของลั่วหลีขมวดแน่น ตั้งแต่ชายคนนี้แจ้งความจำนง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู

แต่มีบางอย่างที่นางมั่นใจได้ ชายคนนี้น่าจะมาจากหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ซึ่งก็คือเผ่าฝูถู

เนื่องจากลั่วหลีตระหนักถึงภาพปักเจดีย์สีดำที่แขนเสื้อเขา ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถูเท่านั้นที่ถือว่าเป็นขั้วอำนาจพิเศษ

“ท่านแม่ของมู่เฉินก็มาจากเผ่าฝูถู”

ลั่วหลีเคยพบชิงเหยี่ยนจิ้งเมื่อในอดีต ดังนั้นนางจึงรู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็มั่นใจว่าเพราะเผ่าฝูถูทำให้มู่เฉินและมารดาของเขาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

นั่นหมายความว่ามู่เฉินไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าฝูถู

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็หันไปหาชายวัยกลางคน “ท่านอยู่ที่นี่มานานแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่เกิดผล ดังนั้นไปซะเถอะ“

“มู่เฉินจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะส่งข่าวไปแล้วสินะ”

เมื่อเขาพูดออกมาก็ดูเหมือนว่าเสียงมังกรและช้างจำนวนมหาศาลคำรามออกมาจากร่างกายเขา ปลดปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้แผ่นหินโดยรอบบนพื้นแตกกลายเป็นเถ้าถ่าน

เผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนคนนี้ ลั่วหลีก็ไม่แสดงความหวาดกลัวในสายตา เกลียวแสงหลิงยิ่งใหญ่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของนาง ร่างเวทสวรรค์ก่อตัวขึ้นอย่างเลือนรางที่เบื้องหลัง

แม้ว่านางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่นางก็สามารถปะทะได้ชั่วครู่ด้วยร่างเทพวารี นอกจากนี้หากอีกฝ่ายยังจะเคลื่อนไหวในตระกูลลั่วเสินก็เหมือนกับการท้าทายกฎของตำหนักซีเทียน เมื่อถึงเวลานั้นผู้พิทักษ์ตำหนักซีเทียนก็จะเคลื่อนพลมาเช่นกัน

แต่ชายวัยกลางคนไม่ขยับ เขาแค่จ้องมองลั่วหลีพลางถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเลือกหนี ช่างเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง”

“เขาคิดว่าจะซ่อนตัวได้ตลอดกาลเรอะ? ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถูก็เป็นเรื่องของเวลาที่จะต้อนเขาเข้ามุม เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีก?”

ได้ยินน้ำเสียงผิดหวังและเยาะเย้ยของอีกฝ่าย ลั่วหลีก็รู้สึกโกรธ ทว่าขณะที่นางจะอธิบาย เสียงคุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาจากประตูห้องโถง

“จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้ามู่เฉินหวาดกลัวหรอก เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”

ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมามองประตู ภายใต้แสงตะวัน ร่างเงาสูงโปร่งของชายหนุ่นก็ยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม ริ้วความเย็นชากระจายบนใบหน้าเขา

เมื่อมู่เฉินปรากฏตัว ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในการชำระล้างครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เช่นกัน

ยืนอยู่ด้านหลังลั่วหลี จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนอื่นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเมื่อมู่เฉินปรากฏตัว นั่นเป็นเพราะชายวัยกลางคนคนนี้มาหามู่เฉิน ตอนนี้สถานการณ์อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมทันทีที่มู่เฉินแสดงตัว

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกเขารู้สึกถูกกดดันอย่างมาก

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคมกริบก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เมื่อเขาเห็นใบหน้าสดใส ดวงตาของเขาก็สั่นระริก

“เจ้าคือมู่เฉินเหรอ?” ชายวัยกลางคนถาม

“อยู่ก็ชื่อมู่เฉิน ตายก็ชื่อมู่เฉิน ข้าไม่เคยเปลี่ยนชื่อแซ่” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ดี ถ้าเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าวันนี้ ข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเจ้าทำเพื่อปกป้องเจ้าไม่คุ้มค่าเลย” ชายวัยกลางคนกล่าว

มู่เฉินส่ายหน้าอีกครั้ง “ก่อนหน้าข้าพูดไปแล้วว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่มีความสามารถทำเช่นนั้น”

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าฝูถู เขาไม่มีความประทับใจที่ดี ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่าย

ชายวัยกลางคนผงกหัวแต่ไม่พูดอะไร ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกโล่งใจ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรและช้างดังออกมา เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว เงาร่างก็หายไปปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับชกหมัดออกไป

แม้ว่าหมัดนี้จะดูเรียบง่าย แต่แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ส่องแสงราวกับว่ามังกรและช้างคำราม ปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัว

หมัดนี้บรรจุด้วยพลังดุดัน ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาคงตายคาที่เลยก็ได้

ทว่าไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาไม่แปลกใจกับการจู่โจมกะทันหันของชายวัยกลางคน เขาสูดลมหายใจลึก เกลียวแสงหลิงพร่างพราวระเบิดออกจากดวงตาของเขาเช่นกัน

โฮก!

เขากำกำปั้นแน่น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนแขน พวกมันเปล่งเสียงคำรามพร้อมกับแรงกดดันที่ห่อหุ้มออกมา

ผ่านการชำระล้างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเรียบร้อย พวกมันรวมพลังเอาไว้ในหม้ดนี้

แม้ว่าพวกมันจะยังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พลังของเทพอสูรทั้งสองจริงบวกกับมู่เฉินก็สามารถต่อกรระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว

มากเสียจนสามารถทำร้ายหลิงจั้นจื่อได้แบบหนักหน่วง!

ตู้ม!

หมัดสองหมัดอัดแน่นด้วยพลังน่าสะพรึงปะทะกันราวกับอุกกาบาตสองลูก

ปัง!

เสียงน่าขนลุกดังออกมา แต่น่าประหลาดใจที่ไม่มีพลังทำลายล้างเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าที่น่ากลัวนี้ ทว่าผู้ที่มีสายตาแหลมคมจะตระหนักได้ว่าแผ่นหินในรัศมีสิบกว่าจั้งกลายเป็นขี้เถ้าไปจนหมด โดยมีเหวลึกไร้ก้นอยู่ใต้กองเถ้าถ่านเหล่านั้น

มิติบิดเบี้ยวรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างหมัดทั้งสอง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะสั่นสะเทือนในวินาทีถัดไป

ร่างของมู่เฉินถอยหลังไปหลายสิบก้าว ส่วนชายวัยกลางคนถอยไปสิบกว่าก้าว แต่โดยรวมแล้วพวกเขาทั้งสองเสมอกันในการเผชิญหน้าครั้งนี้!

ทุกย่างก้าวของพวกเขาทิ้งรอยเท้าดำเมื่อมไว้บนพื้น เนื่องจากฝ่าเท้าของพวกเขาฝังลงไปในพื้นดินลึก

นี่เป็นเพียงชั่วขณะที่ทั้งสองปะทะกันและถอยกลับ ลั่วหลีลุกขึ้น ม่านตาเย็นชาของนางมองไปที่ชายวัยกลางคน ตั้งใจจะเรียกร่างเทพวารีออกมา

ถ้านางกับมู่เฉินร่วมมือกัน แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เขาก็ต้องหยุดอยู่ที่นี่ในวันนี้

ที่เบื้องหลังลั่วหลี จอมยุทธ์คนอื่นๆ รวมถึงลั่วเทียนเสินลั่วเทียนหลงก็ต่างตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเอาชนะหลิงจั้นจื่อและพลังของเขาไม่ธรรมดา

แต่ชายคนนี้ไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่เป็นขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว พลังนี้ใกล้เคียงกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังไม่ใช่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดจะเทียบเคียงได้

แต่ใครจะจินตนาการได้ว่ามู่เฉินไปถึงจุดที่สูสีในการเผชิญหน้ากระบวนท่าเมื่อครู่!

เห็นได้ชัดว่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีพลังของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย!

ชายวัยกลางคนทรงตัวไว้ได้ เขาก็เกิดสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน เขาไม่คิดว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ล่าถอยแต่ยังซัดใส่เขาด้วยพลังที่มี!

นอกจากนี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบจากการปะทะนี้!

ต้องรู้ว่าทักษะการฝึกฝนของเขาเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นกำปั้นที่บรรจุพลังของมังกรพลายนี้จึงกดขี่อย่างมหาศาล

แต่จากการปะทะกันของพวกเขา เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังที่เขาภูมิใจจมดิ่งในแรงกดดันที่ไม่รู้จัก ราวกับว่าพลังของมู่เฉินสูงกว่าระดับของเขา

อีกมุมหนึ่งมู่เฉินก็ลูบกำปั้นด้วยสีหน้าตกใจ เขาอึ้งไปกับความแข็งแกร่งที่ชายวัยกลางคนนี้ครอบครอง

หากไม่ใช่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่บุกทะลวงมาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาคงต้องทนทุกข์อย่างมากจากการปะทะกันครั้งนี้

“พลังของชายคนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเขา” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบไหว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา หากพวกเขาต้องต่อสู้กันที่นี่ ก็คงไม่ใช่การต่อสู้ที่ง่ายดาย

ดังนั้นใบหน้าของมู่เฉินจึงเคร่งเครียดลง คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นในร่างกายขณะที่จับจ้องชายวัยกลางคนด้วยความตื่นตัว

ทว่าภายใต้การรออย่างเคร่งเครียด ชายวัยกลางคนกลับยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“สมกับเป็นลูกของนายหญิง ช่างโดดเด่นด้วยวัยเท่านี้”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาซึ่งปกคลุมด้วยความอบอุ่นและความสุข มู่เฉินก็อึ้งไป

แต่ก่อนที่จะมีปฏิกิริยา ชายวัยกลางคนก็คุกเข่าข้างหนึ่งลง สีหน้าที่ไม่มีอารมณ์แต่เดิมแสดงความเคารพจากใจภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน

“หลงเซี่ยงทักทายนายน้อย!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท