หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1290

ตอนที่ 1290

บทที่ 1290 วังมหาพันภพ ราชันสังหารปีศาจ
“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ?”

หัวใจของพวกมู่เฉินสั่นรัวเมื่อได้ยินประโยคนี้จากชื่อเหยียน แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ขุมกำลังนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเผ่าโบราณทั้งห้าและขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันโลกอีกเหรอ?

“ไม่ทราบว่าใครเป็นประมุขวังมหาพันภพ?”

มู่เฉินอดถามขึ้นมาไม่ได้ การที่จะสามารถสร้างขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวดังกล่าว เจ้าวังจะต้องเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพล่ะมั้ง?

“ปัจจุบันวังมหาพันภพไม่มีประมุข… แต่ในสมัยโบราณมีอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือเทพจักรพรรดินิรันดร์” ชื่อเหยียนส่ายหัวไปมา

“เทพจักรพรรดินิรันดร์?”

ม่านตาของมู่เฉินหดลงในทันที เนื่องจากตัวเขารู้จักเทพจักรพรรดินิรันดร์จากจักรพรรดิฟ้าที่เคยฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์

เพียงแต่มู่เฉินไม่คิดว่าจอมยุทธ์ผู้นี้จะเป็นผู้ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้น

“แต่ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเรื่องขั้วอำนาจนี้ในมหาพันภพเลย?” หลิงซีรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้เอ่ยถาม

ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน “เพราะนี่คือขั้วอำนาจที่จะมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ ในเวลาที่สงบสุขเช่นนี้วังมหาพันภพก็เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น”

กลุ่มมู่เฉินเข้าใจถ่องแท้ ที่แท้วังยิ่งใหญ่นี้ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อประจัญบานกับเผ่าปีศาจต่างมิติโดยเฉพาะ แต่ทำไมถึงเป็นขุมกำลังทรงพลังที่สุดในมหาพันภพกัน?

“ตามกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ในมหาพันภพจะถูกจดบันทึกไว้ในวังแห่งนี้ หลังจากการตรวจสอบ พวกเขาก็จะกลายเป็นอาคันตุกะของวังที่ยิ่งใหญ่นี้”

“และจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่ถ้าในกรณีที่มหาพันภพต้องเผชิญกับอันตราย อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติและผู้อาวุโสของวังก็ไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่อะไร”

“การรวมตัวเช่นนี้ถือว่าทรงพลังที่สุดในมหาพันภพหรือยัง?” ชื่อเหยียนมองทั้งสี่แบบล้อเล่น

มุมปากของมู่เฉินกระตุก ที่แท้ฉายาขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้มาเพราะเหตุนี้ แต่หลังจากที่คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง เขาก็รู้สึกได้ว่าวังมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด นั่นเป็นเพราะในระดับหนึ่งวังนี้ก็คล้ายกับพันธมิตรมหาพันภพนั่นเอง เมื่อมหาพันภพเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเขาก็จะรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู

ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน พลังที่เป็นหนึ่งเดียวกันจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ

เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่แข็งแกร่งอย่างจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ มหาพันภพต้องรวมตัวกันเพื่อต่อกรกับศัตรู ดังนั้นสามารถบอกได้ถึงการมองการณ์ไกลของเทพจักรพรรดินิรันดร์ผู้ก่อตั้งวังแห่งนี้

“แม้ว่าวังมหาพันภพจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ในตอนนี้ แต่ก็อย่าประมาท พลังที่ครอบครองยังคงเกินจินตนาการของพวกเจ้า เพียงแค่ปกติไม่ค่อยได้แสดงให้เห็นเท่านั้น”

“นอกจากนี้วังแห่งนี้ยังมีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณก็ต้องสุภาพต่อสมาชิก บางครั้งแค่ตำแหน่งอาคันตุกะของวังก็น่ากลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสเผ่าโบราณทั้งห้าซะอีก”

เมื่อพูดถึงอาคันตุกะ ชื่อเหยียนก็ดูภูมิใจ ดูท่าตัวเขาก็คงเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

เมื่อพูดถึงจุดนี้ชื่อเหยียนก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “ถ้าเจ้าได้เป็นอาคันตุกะของวังนี้ แม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็ส่ายหัวอย่างจนใจ การเป็นอาคันตุกะหมายถึงตัวเขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน และถ้าเขาบรรลุขุมพลังดังกล่าวจริงละก็ เขาจะกลัวเผ่าฝูถูไปทำไม?

ชื่อเหยียนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคลี่ยิ้ม “การเป็นอาคันตุกะของวังไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเสมอไป”

“หืม?”

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ หมายถึงมีวิธีอื่นเหรอ? ตำแหน่งในวังสูงตระหง่านในมหาพันภพนัก หากสามารถเป็นอาคันตุกะได้และไม่ถูกจำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นบางสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยไม่มีอันตรายใดๆ แฝง

ชื่อเหยียนชี้ไปที่ศิลาสังหารปีศาจ

มู่เฉินมองตามไป ก่อนหน้านี้เขาได้แต่ตกใจเมื่อเห็นชื่อวังมหาพันภพ ตอนนี้พอมองไปที่นั่นอีกครั้งถึงได้เห็นรายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนศิลา

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือชื่อที่อยู่ด้านบนที่วาววับด้วยแสงสีม่วงทองเปล่งรัศมีที่น่าขนลุกภายใต้แสงอาทิตย์

ราชันสังหารปีศาจ—ฉิงเทียน

ชื่อที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่นศิลาประหนึ่งจักรพรรดิ ผู้คนมากมายมองดูชื่อด้วยดวงตาเปล่งประกายด้วยความเคารพ

ใต้ชื่อฉิงเทียนมีชื่อนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบ

มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลิวตี้เฟิง

มือสังหารปีศาจขั้นสูง—หลู่ซัน

มือสังหารปีศาจขั้นกลาง—ลู่หลิงหยู่

มือสังหารปีศาจขั้นต้น—หลู่ซู

มีชื่อมากมายสลักอยู่บนศิลาสังหารปีศาจ นอกจากนี้เหมือนยังมีชื่อโผล่มาอยู่เรื่อยซึ่งระดับหน้าชื่อก็ได้เปลี่ยนแปลงไป

มู่เฉินมองศิลาสังหารปีศาจเป็นเวลานาน ก่อนจะเหลียวหาชื่อเหยียน ชัดว่าไม่แน่ใจเกี่ยวกับประโยชน์ของมัน

“ทุกคนที่เข้ามาในทวีปเซิ่งยวนจะได้ป้ายสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพ ทุกครั้งที่สามารถฆ่านักรบปีศาจได้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นคะแนนสังหาร ซึ่งสามารถแลกเป็นสมบัติในวังได้ มิหนำซ้ำตราบใดที่เจ้ามีคะแนนมากพอก็สามารถแลกเปลี่ยนได้กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดหรือร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรก!”

“สามารถแลกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตะลึง เขารู้ดีว่าแม้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะไม่ติดในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน แต่กระนั้นวิชาเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีในครอบครอง

แต่ตอนนี้วังมหาพันภพกลับสามารถให้พวกเขาแลกด้วยคะแนนสังหาร นี่จะไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร

ไม่ต้องพูดถึงยี่สิบอันดับแรกของร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งน่าตกใจกว่าเดิม เพราะร่างเทห์สวรรค์แบบนั้นหายากยิ่งกว่ายาก!

“ตามกฎของวัง ตราบใดที่คะแนนสูงถึงพันคะแนนก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งมือสังหารปีศาจขั้นต้นเป็นขั้นกลาง สามพันคะแนนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมือสังหารขั้นสูงและจะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ตาม”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนี้ มู่เฉินก็ได้เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชื่อเหยียนสื่อถึง ตราบใดที่เขามีคะแนนสังหาร เพียงพอ เขาก็จะสามารถเป็นอาคันตุกะของวังมหาพันภพได้

แต่ดูเหมือนว่าการจะได้รับสามพันคะแนน ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมู่เฉินสังเกตเห็นว่าจำนวนมือสังหารขั้นสูงมีไม่เกินยี่สิบคน

“ตามกฎการฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้รางวัลห้าสิบคะแนนสังหาร หนึ่งร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย และสองร้อยคะแนนสำหรับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม… พวกนักรบปีศาจระดับแม่ทัพจอมพลมีค่าสามพันคะแนน นักรบราชันปีศาจที่มีพลังเทียบเท่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมีห้าพันคะแนน สุดท้ายการสังหารนักรบราชันปีศาจระดับเทียนจะได้ถึงหมื่นคะแนน”

เมื่อได้ยินคำพูดของชื่อเหยียน กลุ่มมู่เฉินก็ตะลึง พวกเขาคาดไว้แล้วว่าคะแนนสังหารคงจะไม่ง่ายต่อการได้รับ แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องยากเพียงนี้

จากการคำนวณ พวกเขาจะต้องสังหารระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นยี่สิบคนหรือระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายสิบคนถึงจะได้ตำแหน่งมือสังหารขั้นกลาง?

สำหรับการไปถึงมือสังหารขั้นสูง พวกเขาจะต้องฆ่าสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติสิบห้าคนที่มีขุมพลังเทียบเท่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

นี่ปีศาจนะ ไม่ใช่โรงฆ่าไก่ ดังนั้นพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?

ดังนั้นบอกได้เลยว่ายากแค่ไหนที่จะได้ตำแหน่ง ไม่น่าแปลกใจที่มีรายชื่อมือสังหารปีศาจขั้นสูงเพียงยี่สิบคนเท่านั้น ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาใช้เวลานานแค่ไหนในการสะสมจนถึงตอนนี้

มู่เฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากถามว่า “ถ้างั้นต้องมีคะแนนสังหารเท่าไรถึงจะเข้าสู่ตำแหน่งราชันสังหารปีศาจน่ะ?”

“ราชันสังหารปีศาจเหรอ” ชื่อเหยียนถอนหายใจ “จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่ายเพียงมีหนึ่งหมื่นคะแนนสังหาร ก็แค่ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนสักตัว”

พวกมู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวเจ็บจี๊ดไปหมด ฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียน? พูดฟังดูง่ายเนอะ การมีอยู่ในระดับนั้นเป็นสุดยอดนักรบ การสูญเสียคนหนึ่งจะส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อทั้งมหาพันภพหรือเผ่าปีศาจเลยทีเดียว

“ผู้อาวุโส แล้วฉิงเทียนคนนั้นฆ่านักรบราชันปีศาจระดับเทียนได้เหรอ?” ลั่วหลีอดถามไม่ได้

“ฉิงเทียนเหรอ”

ใบหน้าของชื่อเหยียนเปล่งประกายด้วยความนับถือขณะที่กล่าว “หลายปีก่อนตอนที่ฉิงเทียนยังเยาว์วัยเหมือนพวกเจ้า เขานำทีมเข้าสู่ทวีปเซิ่งยวนเพื่อฝึกฝน แต่เนื่องจากพวกเขาพบสมาชิกเผ่าปีศาจ กลุ่มของเขาถูกฆ่าล้าง ทุกคนเสียชีวิตหมดยกเว้นฉิงเทียนที่รอดมาได้”

“หลังจากนั้นเขาก็อยู่ในทวีปเซิ่งยวนไปตลอดสองร้อยปี ช่วงเวลานั้นเขาเหมือนคนบ้าไปทุกที่ที่มีข่าวการปรากฏตัวของเผ่าปีศาจ”

“ระหว่างสองร้อยปีนั้น เขาก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุน หลังจากนั้นเขาก็โชคร้ายถูกส่งไปยังโลกปีศาจ ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีโอกาสกลับมา จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวพร้อมกับศพของราชันปีศาจ”

“หลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจคนแรกตั้งแต่ยุคโบราณ… และไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้”

เมื่อชื่อเหยียนจบคำพูด พวกมู่เฉินก็ตะลึงงันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะอดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ พวกเขาเห็นความตกใจในแววตาของกันและกัน

ความสำเร็จเช่นนี้

ราชันสังหารปีศาจผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ยอดเยี่ยมแท้จริง!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท