หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1296

ตอนที่ 1296

บทที่ 1296 ระดับจงซือขั้นเทียน
ในช่วงเวลาต่อมาเมืองเซิ่งยวนก็ปะทุขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ขั้วอำนาจและกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มมาถึงที่นี่

แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เป็นสนามรบแตกหักระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติในสมัยโบราณ จอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ ดังนั้นมรดกที่อยู่ภายใน ทำให้แม้กระทั่งขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ยังต้องเคลื่อนไหวเลยทีเดียว

หากไม่ใช่ว่าเพราะกลัวพายุมิติกาลเวลาในแดนเซิ่งยวน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงอดเคลื่อนไหวไม่ได้ ท้ายที่สุดการล่อลวงของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดก็เป็นสิ่งที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน้ำลายหกได้

ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่การรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ก็ยังคงทรงพลัง ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะลองดูว่าจะมีโอกาสได้รับมรดกจากจอมยุทธ์โบราณเหล่านั้นหรือไม่

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองเซิ่งยวนกลายเป็นจุดรวมตัวของขั้วอำนาจต่างๆ ความคึกคักในครั้งนี้สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

ทว่าขณะที่มีกลุ่มทรงพลังมารวมตัวกัน มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ ตัวเขามุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนค่ายกลที่มารดาทิ้งไว้ให้

เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกถึงขอบเขตพัฒนาการแล้ว

ตอนนี้ในแดนเซิ่งยวนโบราณถูกล้อมรอบด้วยพายุมิติกาลเวลา ทุกกลุ่มกำลังรอคอยเวลาที่มันอ่อนกำลังลง ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในกลุ่มจะส่งพวกเขาเข้าไป พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันในเมืองเพื่อรอสำหรับโอกาสที่จะมาถึง

ดังนั้นมู่เฉินจึงตั้งใจที่จะศึกษาค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงให้สำเร็จในช่วงเวลานี้!

เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีการต่อสู้ดุเดือดรอเขาอยู่ในแดนเซิ่งยวน เพื่อความสำเร็จเขาหวังว่าจะยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

อาคารในเมืองเซิ่งยวน

ชายชุดฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ ขณะที่ธูปหัวใจหยกไหม้ไฟส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วห้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเพาะบ่มขุมพลัง

เขาเข้าสมาธิสองชั่วโมงก่อนที่จะลืมตาขึ้น “ทำไม? คำเชิญถูกปฏิเสธอีกแล้วเรอะ?”

กู้ซือหวงยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ประมุขน้อย มู่เฉินหยิ่งผยองนัก เราส่งคำเชิญไปถึงเขาสองครั้ง แต่ว่าก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด!”

“โง่จริงๆ มันคิดว่าสามารถทำตามอะไรก็ได้ เพราะว่ามีเผ่าไท่หลิงหนุนหลังเรอะ?!”

ชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นี้ก็คือเฉวียนหลัวประมุขน้อนของเผ่าฝูถู เขาส่ายหน้าพลางยิ้ม “ช่างมันเถอะ ตอนแรกข้าว่าจะชี้ทางให้มันสักหน่อย แต่ให้หน้ามันกลับไม่เอา”

แม้ว่าเขาจะยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายเย็นชา

“หึ ไอ้เวรนั่นไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากมันส่งวิชาสามพิสุทธิ์ให้กับนายน้อย นายน้อยก็ยังสามารถช่วยเหลือมันได้ ไม่ให้ต้องถูกไล่ล่าโดยเผ่าฝูถูและต้องทนทุกข์ทรมาน” ที่ด้านข้างกู้ซือหวง เหลียงเสียหยูก็พูดขึ้น

เฉวียนหลัวยิ้มด้วยความไม่แยแสในดวงตา “ไม่เป็นไร หากมันไม่ให้เองแต่โดยดี ก็คงไม่สามารถโทษใครได้ว่าทำให้ต้องทนทุกข์”

“ถึงแม้ชื่อเหยียนจะสามารถปกป้องมันในตอนนี้ แต่ไม่มีใครสามารถช่วยมันในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ หนูที่ติดกับดักจะวิ่งไปที่ไหนได้?”

เฉวียนหลัวกำกำปั้นแน่นขึ้น แววเยาะเย้ยผุดขึ้นที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตาเลย เทียบกับการจับมู่เฉินได้หรือไม่ เขากังวลเรื่องมู่เฉินจะตกไปอยู่ในมือของมั่วซินก่อนหรือไม่มากกว่า

หากมั่วซินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ไป อีกฝ่ายจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเขา

“แต่สิ่งสำคัญคือการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวน มู่เฉินเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น” เฉวียนหลัวหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ในช่วงนี้มีหลายกลุ่มรวมตัวกันในเมืองเซิ่งยวน ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับทุกกลุ่มที่ถูกส่งมาโดยขั้วอำนาจสูงสุด”

แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็เป็นคนที่ระมัดระวัง เขาต้องการรู้ว่ามีใครที่คุกคามเขาในกลุ่มเหล่านั้นหรือไม่

“รับทราบ!”

กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูตอบด้วยความเคารพ ก่อนที่จะวาบหายตัวไป

พร้อมกับการออกไปของพวกเขา ห้องพักก็กลับมาเงียบสงบ เฉวียนหลัวสะบัดนิ้วเบาๆ พลางเงยหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งของเมืองเซิ่งยวน สายตาเย็นเยือกลงเรื่อย ๆ

บรรยากาศทั่วทั้งห้องเย็นลงพร้อมกับสายตาเขา

“ไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง”

ดวงตาของเฉวียนหลัวหลุบต่ำไอสังหารเย็นเยือกกะพริบวูบไหวในนัยน์ตา

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะซัดแกให้พิการแล้วลากกลับไปที่เผ่าฝูถู ข้าจะดูสิว่าแม่ของแกจะสามารถปกป้องอะไรแกได้!”

ไม่จำเป็นต้องเมตตาสงสารกับตัวกาลกิณี หากชิงเหยี่ยนจิ้งไม่สามารถนิ่งเฉยและลงมือด้วยความโกรธแค้น นางก็จะทำลายขีดสุดท้ายของเผ่า ในเวลานั้นแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องใช้พลังอำนาจทั้งเผ่าเพื่อยับยั้งชิงเหยี่ยนจิ้ง

หากชิงเหยี่ยนจิ้งถูกลงโทษหนัก เขาก็จะคว้าชัยชนะรับการสนับสนุนของผู้อาวุโสหลายคน ในเวลานั้นตำแหน่งประมุขเผ่าจะใส่พานมาให้เขาอย่างแน่นอน!

ในเวลาเดียวกันที่สวนอีกฝั่งของเมืองเซิ่งยวน

“คำเชิญของเฉวียนหลัวถูกมู่เฉินปฏิเสธถึงสองครั้งเรอะ”

ชิงเซวียนขมวดคิ้ว “เฉวียนหลัวพยายามทำอะไร? ด้วยนิสัยของเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความปรารถนาดีกับมู่เฉิน”

“ใครจะรู้ล่ะเจ้าคะ?” ชิงหลิงยักไหล่เบ้ปาก “เจ้ามู่เฉินนั่นพูดจาซะใหญ่โต แต่ข้าไม่คิดว่าวิธีของเขาคือซ่อนตัวจากเฉวียนหลัว”

ชิงเซวียนมองไปที่หญิงสาวพลางส่ายหัว “เจ้าอย่าดูถูกมู่เฉินเลย”

ชิงหลิงไม่ยอมรับกับสิ่งนี้ได้ ดังนั้นนางจึงแขวะต่อ “ข้าก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเช่นกัน อย่างมากเขาอยู่ในระดับเดียวกับข้า ไม่เห็นมีอะไรโดดเด่นเลย”

ชิงเซวียนยิ้มบาง “เขาสามารถพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายตั้งแต่ยังอายุน้อย ได้รับตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียน นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเขายังมีความสัมพันธ์กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เจ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะธรรมดาหรือ?”

เมื่อชิงเซวียนเอ่ยขึ้น ดวงตาของชิงหลิงก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชิงซวงที่ไม่ได้พูดก็ยังฉายแววเคร่งเครียดในนัยน์ตา

“จริงเหรอเจ้าคะ?” ชิงซวงถาม

ชิงเซวียนพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “หลายวันมานี้ข้าใช้แหล่งข่าวมากมายกว่าจะได้ข้อมูลเหล่านี้มา พูดจริงๆ กระทั่งข้ายังตกใจเมื่อได้ยินเลย”

แววตาของนางปรากฏแววชื่นชมพร้อมกับพูดว่า “เจ้าหนุ่มนั่นสมเป็นลูกชายของเสี่ยวจิ้งจริงๆ ด้วยพรสวรรค์ เขาถือเป็นอัจฉริยะยอดคทา ถ้าเขาอยู่ในเผ่าฝูถูตั้งแต่ยังเด็ก เฉวียนหลัวเทียบเขาไม่ติดเลย”

“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย หากต้องปะทะกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน เขาเละตุ้มเป๊ะแน่” ชิงหลิงเบ้ปากเอ่ยเถียง

ชิงเซวียนพยักหน้า ก็จริงที่ถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับเฉวียนหลัวและมั่วซินในตอนนี้ เขาจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบใดๆ

“ตามที่ข้ารู้มา เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าสู่แดนเซิ่งยวนคืออีกครึ่งเดือนต่อจากนี้”

ชิงเซวียนมองไปที่ชิงซวง “เมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าพยายามปกป้องมู่เฉินหน่อย อย่าให้เฉวียนหลัวและมั่วซินทำอะไรเขาได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกของเสี่ยวจิ้ง ยิ่งกว่านั้นยังมีสายเลือดตระกูลชิงของเราไหลเวียนอยู่ในตัวเขาด้วย”

ชิงซวงพยักหน้า

“ท่านป้าเซวียนวางใจเถอะ ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่ถ้าเขามีปัญหาเจ้าค่ะ”

ครึ่งเดือนมาถึงภายใต้ความคาดหวังของทุกคน

เมื่อแสงอาทิตย์ส่องแสงผ่านชั้นเมฆเข้าสู่เมืองเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ระเบิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า เหินทะยานไปยังส่วนลึกของทวีปเซิ่งยวน

ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของขั้วอำนาจต่างๆ

เมื่อทั้งเมืองเดือดพล่าน มู่เฉินที่เข้าสมาธิมาครึ่งเดือนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

แสงระยิบระยับมากมายฉายในม่านตาดูราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว

มู่เฉินกางมือออกคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็รวมตัวกัน เขาสามารถสัมผัสกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม

มิติบริเวณนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

ไม่กี่นาที บริเวณฝ่ามือของมู่เฉินก็ปรากฏมิติสีแดงซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนล้างผลาญ

เมื่อมองไปที่มิติสีแดงเข้ม ดวงตาของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกโชน

“ฮา”

ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปากตามด้วยรอยยิ้มปลื้มใจฉายที่มุมปาก นี่

เพราะมิติสีแดงนี้คือค่ายกล

ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม!

เห็นได้ชัดว่าหลังจากฝึกฝนทำความเข้าใจในช่วงเวลานี้ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!

มู่เฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มมองเมืองเซิ่งยวนที่เดือดพล่าน

“เฉวียนหลัว มั่วซิน”

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ มิติสีแดงเข้มก็สลายหายไป ร่างของเขาเลือนหาย ขณะที่มีเสียงผันผวนออกมา

“วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นของข้าแน่นอน!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท