หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1305

ตอนที่ 1305

บทที่ 1305 เผยไพ่ตาย
ในถ้ำขนาดใหญ่

ทันทีที่ทั้งสองกลุ่มประจันหน้ากัน ดวงตาแต่ละคู่ก็กลายเป็นสีแดงก่ำ อึดใจรังสีสังหารก็เริ่มระเบิดออกมาทำให้อุณหภูมิในถ้ำลดลง

รังสีสังหารกวาดตัวขึ้นราวกับพายุในถ้ำ

“ฮ่าๆ เส้นทางของศัตรูช่างแคบจริง ไอ้เวร แกยังกล้าที่จะยืนขวางหน้าข้าอีกเรอะ?” ต่งซันก้าวออกมา ขณะที่จ้องไปที่มู่เฉิน เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ เสียงหัวเราะน่ากลัวก็แผดออก

“บางคนวิ่งหางจุกตูดเป็นหมาจรจัด ยังกล้าทำหยิ่งผยองตอนนี้ด้วยเหรอ?” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเยาะเย้ยตอบ

“แก!”

ต่งซันเบิกตากว้างขณะจ้องเวินชิงเฉวียน รังสีสังหารในดวงตาดูเหมือนจะกลั่นออกมาได้

ทว่าเผชิญหน้ากับรังสีสังหารนี้ คนอย่างเวินชิงเฉวียนก็ไม่สน นางเลื่อนสายตาเย็นชาจับจ้องคนที่ด้านข้างต่งซันที่มีผมสีแดงเพลิง

“หวู่ทง การกระทำของตระกูลหวู่สกปรกเหมือนเคย ตอนนั้นพวกแกก็ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับมรดกจากตระกูลเวิน ตอนนี้แกยังขายพวกข้าให้กับคนอื่นอีก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก

หวู่ทงที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงยิ้มกว้าง “สงครามไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ตระกูลเวินไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้เอง ก็อย่าโทษคนอื่นที่ขโมยมาได้สิ”

“นอกจากนี้ในเมื่อเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว การใช้กลก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเองก็หาผู้ช่วยเหลือมาไม่ใช่เหรอ? แม้สุดท้ายเจ้าจะรู้ว่าสิ่งนี้ช่างไร้ประโยชน์…”

“สามหาว!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูถูกมู่เฉิน ดวงตาของหลงเซี่ยงก็เปล่งประกายด้วยความโกรธ ขณะที่เขาต้องการจะสวนกลับก็ต้องหยุดปากลงโดยมู่เฉิน สายตาของมู่เฉินมองไปที่หวู่ทง รู้สึกถึงมหาสมุทรคลื่นหลิงของอีกฝ่ายปลดปล่อยความกดดันทรงพลังซึ่งทำใหมิติสั่นสะเทือนเลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่าหวู่ทงนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของแท้

พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแนวร่วมซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มมือสังหารปีศาจและกลุ่มตระกูลหวู่ มองจากภายนอกอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสองคน

ส่วนด้านพวกเขามีหลิงซีที่เป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนบวกกับหลงเซี่ยงและเวินซื่อหวู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน

ดังนั้นเมื่อดูจากภายนอก ชัดว่าการรวมตัวของอีกฝ่ายทรงพลังมากกว่าพวกเขา

เวินชิงเฉวียนก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน แต่นางไม่กลัว เห็นชัดว่านางเตรียมไพ่ตายเอาไว้แล้ว…

เวินชิงเฉวียนสาดท่าทางเย็นชาไม่คิดจะพูดกับหวู่ทงให้เปลืองน้ำลาย นางมองไปที่ส่วนลึกของถ้ำก็เห็นหม้อกลั่นทองแดงที่ดูงดงามราวกับผีเสื้อบนแท่นประหนึ่งมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน

“มู่เฉินหม้อกลั่นนั้นถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ ภายในมีมรดกอยู่ หากเราได้รับก็จะสามารถสืบทอดทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของนางได้”

“โอ้?”

มู่เฉินมองไปที่หม้อกลั่นทองแดงด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้ถูกล่อลวงมากนักเนื่องจากตัวเขาไม่ได้สนใจการกลั่นยาพวกนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่มีพลังพอจะไปมุ่งเน้นกับเส้นทางอื่นอีกแล้ว

“ข้าต้องการได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ” เวินชิงเฉวียนตอบอย่างจริงจัง

หัวใจของมู่เฉินกระตุกพลางหันขวับไปมองหญิงสาว “เจ้าได้ฝึกวิธีการเล่นแร่แปรธาตุงั้นเหรอ?”

“ฮ่าๆ ชิงเฉวียนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเวินตอนนี้ หากนางสามารถได้รับมรดกของภูตผีเสื้อโอสถ ความสำเร็จในอนาคตของนางอาจเปรียบเทียบได้กับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเลย” เวินจื่อหยู่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

มู่เฉินประหลาดใจไป เวินชิงเฉวียนไม่มีท่าทางจะเข้าสู่เส้นทางนี้ในอดีตเลย แต่ไม่คิดว่านางจะประสบความสำเร็จลึกซึ้งบนเส้นทางหนึ่ง เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง

แต่เขาก็ประหลาดใจไปเพียงช่วงสั้นๆ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเลือกฝึกฝนในศาสตร์จั้นเจิ้นซือเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เวินชิงเฉวียนจะกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ

“ถ้าเจ้าต้องการก็ได้ตามนั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนพลางพยักหน้าให้ ไม่มีใครในที่นี้ที่รู้จักการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์แม้ว่าพวกเขาจะได้รับไปก็ตาม

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตกลงจะมอบมรดกล้ำค่าให้โดยไม่ลังเล สายตาของเวินชิงเฉวียนก็กระเพื่อมไหว แม้แต่เวินจื่อหยู่และจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มองมาด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่มาร่วมอาจตีกันเพราะเรื่องแบ่งมรดกไม่เท่ากันแล้ว

“ขอบใจนะ”

เวินชิงเฉวียนกล่าวขอบคุณก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าขาดทุนเด็ดขาด เราจะแบ่งเม็ดยากันแปดต่อสอง เจ้าจะได้แปดส่วน พวกข้าจะเอาแค่สองส่วนเท่านั้น”

ก่อนหน้าพวกเขาตกลงแบ่งกันครั้งต่อครึ่ง แต่เวินชิงเฉวียนเพิ่มให้อีกสามส่วนเพื่อชดเชยให้กลุ่มมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้ปฏิเสธ ตัวเขารู้นิสัยภาคภูมิใจของเวินชิงเฉวียนดี หากปฏิเสธก็คงทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ

“โอ้โห ถึงกับแบ่งการเก็บเกี่ยวต่อหน้าข้า เวินชิงเฉวียน เจ้าไม่ร้อนใจไปหน่อยหรือ?” เสียงล้อเลียนของหวู่ทงดังขึ้นขณะที่มองเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ฝั่งเจ้ามีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนหนึ่งคนและจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคน แค่อยู่รอดในวันนี้ได้ก็โชคดีแล้ว ยังคิดจะแตะสมบัติอีกเรอะ?” ต่งซันพูดขึ้นอย่างร้ายกาจ

“รีบไม่รีบ เดี๋ยวได้รู้กันเมื่อสู้!”

เวินชิงเฉวียนพูดอย่างเย็นชา มือประสานเข้าด้วยกัน พริบตาแสงสีแดงเข้มก็พวยพุ่งขึ้นจากร่างกายของนาง

“ทักษะสายเลือด ขยายสายเลือด!”

เวินชิงเฉวียนกัดปลายลิ้น พ่นเลือดกลั่นออกมาเต็มปาก อึดใจลำแสงสีแดงเข้มหลายสายก็แทงเข้าไปในลำคอของจอมยุทธ์ตระกูลเวิน

ตู้ม!

ทันใดนั้นดวงตาของเวินจื่อหยู่ก็พร่างพราวด้วยแสง ขณะที่คลื่นหลิงผันผวนในร่างกายเพิ่มขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ทะลุผ่านเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว

นอกจากนี้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเวินก็มีพลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างเวินจื่อหยู่ แต่พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบห้าส่วนเลยทีเดียว

วิธีการของเวินชิงเฉวียนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจอมยุทธ์ตระกูลเวินอีกขั้น!

เผชิญหน้ากับฉากนี้ ใบหน้าของหวู่ทงและต่งซันก็เปลี่ยนไป แม้แต่พวกมู่เฉินก็จ้องมองไปที่เวินชิงเฉวียนด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่านางจะมีไพ่ตายแบบนี้ซ่อนอยู่…

“ทักษะสายเลือด?”

ลั่วหลีอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ ความสามารถพิเศษนี้เกิดจากสายเลือดของคนคนหนึ่ง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ของการสนับสนุน

แต่โอกาสของทักษะสายเลือดที่จะปรากฏนั้นหายากมาก ยิ่งกว่านั้นก็ใช้งานได้เฉพาะกับกลุ่มที่มีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นนี่จึงหายากมากในมหาพันภพ

“ไม่น่าแปลกใจที่เวินชิงเฉวียนมีฐานะสูงส่งในตระกูลเวิน แม้ว่านางจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น กระทั่งเวินจื่อหยู่ก็ยังต้องฟังคำสั่งของนาง” มู่เฉินเข้าใจความจริงข้อนี้ทันที

ช่วงเวลานี้เขาก็ตระหนักได้ว่าทำไมเวินชิงเฉวียนจึงไม่กลัวพวกหวู่ทง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านทักษะในตัวนาง ทำให้กลุ่มของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ

อย่างน้อยด้วยวิธีนี้เวินจื่อหยู่ก็มีพลังในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว

หลังจากเผยทักษะสายเลือดออกมา ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนก็ดูซีดเซียวลง ชัดว่าการใช้ทักษะดังกล่าวทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของนางด้วย

“มิน่าพวกผู้อาวุโสในตระกูลถึงพูดว่าตราบใดที่ตระกูลเวินมีเวินชิงเฉวียน พวกเขาจะสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เพราะเจ้ามีทักษะสายเลือดติดตัวนี่เอง…” ยามนี้สายตาของหวู่ทงเย็นเยือกลงด้วยความตั้งใจฆ่าวูบไหวในดวงตา แม้ว่าทักษะสายเลือดจะไม่ให้ประโยชน์อะไรกับนางมากนัก แต่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มตัวเองได้

และในการต่อสู้ใหญ่ การเพิ่มขึ้นเช่นนี้จะทำให้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น

“แต่น่าเสียดาย… วันนี้หงส์ฟ้าตระกูลเวินจะต้องถูกเด็ดปีกฝังอยู่ในสุสานนี้!”

พูดจบ คนสวมชุดสีเทาสองคนที่อยู่ข้างๆ หวู่ทงก็ก้าวออกมา เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทำให้เห็นร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณ ซึ่งดูราวกับโซ่ร้อยเข้าไปในเนื้อและกระดูกของทั้งสอง

ดวงตาของทั้งสองเปลี่ยนเป็นแดงฉานโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ พวกเขาราวกับสัตว์อสูรกำลังคำรามเสียงก้องลำคอ อักขระบนพื้นผิวร่างกายก็เปล่งประกายเงาสีแดงเข้ม

แกร็ก

ร่างกายของพวกเขาเริ่มขยายขนาดด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ จากนั้นไม่กี่ลมหายใจก็ราวกับยักษ์สองตัวยืนจังก้าในถ้ำ ความผันผวนของพลังงานรุนแรงกำจายจากร่างกาย

เมื่อพิจารณาจากคลื่นพลัง พวกเขาก็มาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว!

“เพื่อขุมทรัพย์นี้ ข้าได้นำองครักษ์เงาชั้นแนวหน้ามาด้วย แม้ว่าพวกเขาจะหมดสมรรถภาพหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คุ้มค่ากับมรดกที่จะได้รับ”

มองไปที่เวินชิงเฉวียน หวู่ทงก็คลี่ยิ้มร้ายกาจ “นอกจากนี้ยังมีหงส์ฟ้าของตระกูลเวินที่จะถูกฝังไว้กับพวกเขาด้วย”

ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนและเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไป คู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งไป มองมุมนี้อีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสี่คนเลยทีเดียว!

ดูท่าตระกูลหวู่จะยอมจ่ายราคาแพงระยับสำหรับมรดกนี้จริงๆ

“สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราถอยก่อน” เวินชิงเฉวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หันไปพูดกับพวกมู่เฉิน แม้ว่ามรดกจะมีค่า แต่ชีวิตก็สำคัญกว่า

มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สายตามององครักษ์เงาที่เปล่งคลื่นรุนแรง ก่อนจะกำมืออย่างช้าๆเปล่งเสียงออกมา

ทว่าคำพูดของเขาทำให้พวกเวินชิงเฉวียนตกใจไปเลยทีเดียว

“ปล่อยองครักษ์เงาสองคนนั่นให้ข้า ชิงเฉวียน เจ้ามองหาโอกาสคว้ามรดกมาซะ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท