หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1315

ตอนที่ 1315

บทที่ 1315 ซือเทียนโยว
เสียงเย็นดังก้องออกมาจากเงาดำ

ดวงตาก็พรั่งพรูด้วยรัศมีความตายไม่จบสิ้น

ในบริเวณที่เขายืนอยู่พืชพันธุ์ทุกชนิดก็ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วภายใต้รัศมี พลังชีวิตทั้งหมดถูดยึดไปอย่างรุนแรง

มากจนกระทั่งคลื่นหลิงยังเปลี่ยนเป็นสีเทาซีดพร้อมกับรัศมีความตายแผ่กระจายออกไป

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลง รัศมีความตายนี้ครอบงำนัก มันปนเปื้อนแม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดิน

หากรัศมีความตายบุกรุกร่างกาย จะทำลายล้างขนาดไหนกัน?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ริ้วความเคร่งเครียดก็หมุนวนในดวงตาของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพวกปีศาจต่างมิติจะต้องระวังไม่ให้รัศมีความตายเข้ารุกรานร่างกายได้

ตู้ม!

แม้ความคิดจะเกิดในใจอย่างต่อเนื่อง แต่มู่เฉินก็ไม่ได้หยุดการลงมือ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตถั่งโถมออกมาราวกับคลื่นยักษ์ เพียงสะบัดนิ้วก็ฉีกขาดท้องฟ้า ห่อหุ้มไปที่ร่างองค์ชายเผ่าซือหมัว

“หึ!”

ซือเทียนโยวเค้นสียงเย็นชาไม่มีความคิดจะหลบหลีก เขาเหยียดมือซีดออกมาพร้อมกับลวดลายปีศาจวูบไหวอยู่ด้านบน รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดออกราวกับควันในทันที

“รัศมีซือหมัว!”

รัศมีพุ่งพรวดออกมาปะทะกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต เสียงเขย่าโสตประสาทดังขึ้น ละลายกระแสรัศมีจั้นยี่ออกไป

ปัง ปัง!

ควันปีศาจพวยพุ่งออกมา ขัดขวางรัศมีจั้นยี่ของมู่เฉินอย่างเต็มที่

การปะทะกันรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง ยามนี้เขาควบคุมนักรบมังกรดำสามพันคน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไปก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ทว่าเขากลับไม่สามารถได้เปรียบขณะที่เผชิญหน้ากับซือเทียนโยว

เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ซือเทียนโยวจะไม่ได้เป็นราชันปีศาจ แต่พลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

โฮก!

ด้วยการแสดงออกที่เคร่งเครียด มู่เฉินมือก็ประสานด้วยกัน รัศมีจั้นยี่จากนักรบมังกรดำสามพันคนพลุ่งพล่านออกมาพร้อมกับเสียงคำรามมังกรสั่นสะเทือนโลกาดังตามออกมาด้วย

ตู้ม!

วิญญาณสงครามมังกรดำปรากฏขึ้นพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพรูลมปราณก้อนมหึมาที่มีความแปรปรวนทำลายล้างพัดเข้าใส่ซือเทียนโยว

เมื่อซือเทียนโยวที่ห่อหุ่มด้วยรัศมีปีศาจเห็นลมปราณมังกรไหลบ่ามาในทิศทางของตน แววเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าที่ไร้สีเลือด เขาเปิดปากแสงสีเทาขาวก็ยิงออกมา

“กระดูกดับชีวิต!”

แนวแสงพุ่งออกไป ชั่วลมหายใจก็ก่อตัวเป็นกะโหลกศีรษะสีเทาขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนสามารถกลืนกินพลังทั้งหมดในโลกด้วยปากนี้

ฮา

กะโหลกศีรษะสีเทาเปิดปากดูดลมปราณมังกรที่เข้ามาในทิศทางของเขาในคำเดียว

หลังจากกลืนลมปราณมังกร ลวดลายก็สั่นไหวบนโครงกระดูกสีเทาก่อนที่มันจะค่อยๆ ร่อนลงข้างตัวซือเทียนโยว เปล่งแสงเย็นยะเยือกมองไปที่มู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นการโจมตีถูกแก้ลำอย่างง่ายดาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น ต้องรู้ว่าเมื่อเผชิญกับลมปราณมังกรแม้แต่หวู่ทงก็ต้องหนีไป แต่ซือเทียนโยวกลับแก้ไขแบบสบาย

ชัดว่าซือเทียนโยวทรงพลังกว่าหวู่ทง

ซือเทียนโยวกอดอกดวงตาที่เต็มไปด้วยรัศมีปีศาจหนาแน่นจ้องมองมาที่มู่เฉิน จากนั้นก็ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า “งัดวิชาที่มีออกมาซะ ข้าจะแสดงให้รู้ว่าอัจฉริยะของมหาพันภพอ่อนด้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับเผ่าปีศาจของข้า”

“จอมทัพมู่ พวกเราร่วมมือกันสังหารไอ้สัตว์นรกนั่นกัน!”

เจียงหลงทะยานเข้ามา สายตาจ้องซือเทียนโยวอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ อึดใจร่างเขาก็ขยายขนาด ไม่กี่วินาทีก็กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีเกล็ดมังกรอยู่บนร่าง เขาดูเหมือนมนุษย์มังกรอย่างไรอย่างนั้น

ตู้ม!

เขากระทืบฝ่าเท้า พื้นแตกกระจาย ร่างเขาก็พุ่งเข้าใส่ซือเทียนโยวราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่

เมื่อมู่เฉินเห็นการกระทำนี้ก็ไม่ได้หยุดเจียงหลง ซือเทียนโยวท่าทางไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาต้องจับอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น สำหรับการต่อสู้แบบยุติธรรม มู่เฉินไม่ได้โง่พอที่จะทำหรอก

ดังนั้นเขาจึงเข้าควบคุมวิญญาณสงครามมังกรดำโดยไม่ลังเล เมื่อวิญญาณคำรามก็สะบัดกรงเล็บไปในทิศทางของซือเทียนโยว

จากการประเมินของมู่เฉิน ซือเทียนโยวน่าจะเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นราชัน ก็ไม่มีอะไรให้มู่เฉินกลัว

เจียงหลงและมู่เฉินเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน กระบวนท่าโจมตีที่ดุเดือดของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่ ซือเทียนโยวยังต้องควบคุมรัศมีปีศาจและกะโหลกศีรษะสีเทาเพื่อต่อต้านการโจมตีที่เข้ามา

เวลานี้ความผันผวนป่าเถื่อนในมิติกวาดอาละวาดรุนแรง รอยฉีกขาดขนาดใหญ่มากมายปรากฏขึ้น พื้นที่ยุบตัวลงในรัศมีการต่อสู้

แม้ว่าซือเทียนโยวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด เขาก็ถึงกับตึงมือเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินและเจียงหลงพร้อมกัน มิหนำซ้ำยังแสดงสัญญาณตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำด้วย

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้หัวใจก็วูบไหว มู่เฉินชุดดำและชุดขาวเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยทันที กำลังพลที่เพิ่มขึ้น ทำให้แม้แต่ซือเทียนโยวก็ถูกซัดหลายตุ้บ

ใบหน้าของหวู่ทงตื่นตระหนกเมื่อเห็นการต่อสู้ที่น่าตกใจนี้ เขาขวัญหนีดีฝ่อเมื่อซือเทียนโยวปรากฏตัวขึ้น เนื่องจากเขาไม่เคยคิดว่าสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติจะตามพวกเขามา

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวที่ซือเทียนโยวแสดงออกมาก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ หากต่อสู้แบบตัวต่อตัวคงไม่ถึงสิบกระบวนท่า เขาก็ต้องตายในน้ำมือของซือเทียนโยวแล้ว

“ที่นี่อันตรายเกินไปที่จะอยู่แล้ว”

ใบหน้าของหวู่ทงเปลี่ยนไป เขาเกิดความตั้งใจที่จะถอยหนี ในเมื่อกองทัพมังกรดำครอบครองโดยมู่เฉินแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยมู่เฉินปะทะกับซือเทียนโยว เนื่องจากเขาหวังว่าพวกมู่เฉินจะตายอยู่ในมือปีศาจต่างมิติด้วยซ้ำ

ตู้ม!

ขณะที่หวู่ทงเกิดความคิดมากมาย ไกลออกไปซือเทียนโยวก็ตบรัศมีจั้นยี่จนแตก ก่อนที่หันไปปะทะกับกำปั้นของเจียงหลงที่ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร

ปัง!

พลังน่าสะพรึงกลัวทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเจียงหลงถอยกลับ ร่างซือเทียนโยวก็สั่นเทา ที่มุมหางตาเขาเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวล้อมกรอบเข้ามา แสงเย็นเยือกวูบไหวในดวงตาเขา

เขาอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์ในการปะทะกันครั้งนี้

“สู้กับพวกมันต่อไม่ได้แล้ว”

สายตาของซือเทียนโยวกะพริบวาบ ร่างกายกลายเป็นกลุ่มควันดำก่อนที่จะหายไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ห่างออกไปหมื่นจั้ง เขาเงยหน้าขึ้นพ่นเลือดสีดำออกมาจากปาก

เลือดนั้นคล้ายกับลูกธนู พุ่งทะลุขอบฟ้าเข้าหว่างคิ้วของร่างราชันปีศาจ

ตู้ม!

ทันใดนั้นร่างราชันปีศาจก็เบิกตาโพลง รัศมีปีศาจพุ่งสูงขึ้น ซากร่างพุ่งเข้ามาปรากฏตัวที่หลังหวู่ทงแล้วจับหัวอีกฝ่ายไว้

“อ้ากๆๆๆ!”

หวู่ทงตกใจมากกับการโจมตีกะทันหัน เขาร้องตะโกนต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง

แต่ซากร่างก็จับหัวเขาแน่น ด้วยแรงสั่นครั้งเดียวก็ทำให้ศีรษะของหวู่ทงแตกดังโพละ รัศมีปีศาจรุนแรงเทลงไปในร่างกายของหวู่ทง ทำให้ร่างกายเขาแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว

เมื่อมู่เฉินและเจียงหลงเห็นฉากนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะออกกระบวนท่าพร้อมกัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดไปในทิศทางซากร่าง

ฟิ้ว!

แขนของราชันปีศาจกระตุกก่อนที่จะโยนร่างหวู่ทงไปทางมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นร่างหวู่ทงถูกเหวี่ยงกลับมา ดวงตาก็หดลงขณะตะโกนลั่น “ถอยเร็ว!”

เขาเห็นชัดว่าพลังชีวิตของหวู่ทงหายไปหมดพร้อมกับรัศมีปีศาจบิดตัวไปมาใต้ผิวหนัง

ปัง!

เมื่อทุกคนถอยหลบ ร่างหวู่ทงก็ระเบิดออก รัศมีปีศาจกระจายออกมา

ไม่มีใครกล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีปีศาจนี้ แต่ละคนถอยฉากหลบอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆ ข้าจะจดบัญชีนี้ไว้ เมื่อไรที่ข้าควบคุมศพได้อย่างสมบูรณ์ ข้าจะกลับมาหาแกแน่!” ขณะที่กลุ่มของมู่เฉินถอยไป เสียงเย็นของซือเทียนโยวก็ดังสะท้อนทั่วมิติ

เว้นแต่เสียงอ่อนล้าลงมาก น่าจะเป็นราคาที่เขาจ่ายไปเพื่อควบคุมซากร่างของราชันปีศาจ

“นรกละ มันจะหนีไปแล้ว!” เจียงหลงตะโกนลั่นทันที

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าซือเทียนโยวรวมตัวกับศพราชันปีศาจ ศีรษะของเขาก้มต่ำลง ดวงตาที่เต็มไปด้วยรัศมีปีศาจเขม่นมองมาที่มู่เฉิน

รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏบนริมฝีปากของซือเทียนโยว ขณะทำท่าปาดลำคอส่งไปทางมู่เฉินจากระยะไกล

“ครั้งต่อไปที่เจอกัน ข้าฆ่าแกแน่นอน!”

เขาหัวเราะร่าขณะร่างเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มศพราชันปีศาจไว้ ก่อนที่จะฉีกมิติเคลื่อนตัวเข้าไปจากนั้นก็หายไป

เมื่อซือเทียนโยวจากไป มิติก็ค่อยๆ สงบลง ทิ้งแค่ความวินาศสันตะโรไว้ให้รู้ว่าเกิดการดวลเดือดขึ้นที่นี่

มองไปในทิศทางที่ซือเทียนโยวหายไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว

เผ่าปีศาจต่างมิติก็เข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณ… ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะยุ่งยากเข้าแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท