หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1304

ตอนที่ 1304

บทที่ 1304 คว้าเม็ดยา
“เม็ดยาเซิ่งหลิง!”

มู่เฉินจ้องมองไปที่อสูรโอสถมังกรด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าภูตผีเสื้อโอสถจะลงทุนเพียงนี้ ใช้เม็ดยาเซิ่งหลิงมีค่าเป็นดวงตาของอสูรโอสถ

จากการประเมินของมู่เฉิน เม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยแปดสิบล้านในการประมูล ในเวลานั้นคงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าจะมีคนแบบหลงเซี่ยงและเวินจื่อหยู่เท่าไรที่จะแย่งชิงกัน

ตอนนี้เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวอสูรโอสถมังกรที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มละก็ พวกเขาคงพุ่งตัวออกไปแล้ว

“ปล่อยอสูรโอสถมังกรไว้ให้หลิงซี พวกเราไปจัดการที่เหลืออีกเก้าตัวกัน” เมื่อมองแต่ละคนที่อดทนอดกลั้น มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม

นี่เป็นงานง่ายสำหรับหลิงซีที่จะจัดการกับหุ่นเงาอสูรที่ไม่ค่อยมีปัญญามากนัก

“ใช้คนเก่งจริงๆ”

หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ขยับตัวออกไปเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็บินว่อนออกไปราวกับดวงดาว ก่อนที่จะรวมเข้ากับพื้นที่โดยรอบ

หลิงซีเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนตัวจริง ค่ายกลที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมกับความงดงามที่แปลกประหลาด ยิ่งกว่านั้นเพียงไม่กี่อึดใจมิติที่เบื้องหน้านางก็บิดเบี้ยวกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ชั้นบรรยากาศภายในค่ายกลเหนียวแน่นเป็นพิเศษ คลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นให้ความรู้สึกหนักราวกับภูเขา

หลังจากสร้างค่ายกลอย่างสมบูรณ์ หลิงซีก็โบกมือ ลำแสงหลิงก็ยิงเข้าใส่อสูรโอสถมังกร

โฮก!

อสูรโอสถมังกรคำรามเมื่อถูกโจมตี พายุรุนแรงกวาดตัวออกพุ่งเข้าใส่หลิงซี

ตู้ม!

อสูรโอสถมังกรไม่มีสติปัญญา ทำให้ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกล มีแต่พุ่งใส่ไม่ยั้ง

เมื่ออสูรโอสถมังกรเข้าไปในค่ายกล มันก็ต้องชะลอตัวลงทันที เนื่องจากแสงหลิงผันผวนในค่ายกลถักทอกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ ยิ่งอสูรโอสถมังกรดิ้นรนบ้าคลั่ง พันธนาการก็แน่นขึ้น…แน่นขึ้น ผูกร่างอสูรโอสถมังกรไว้ในชั้นแถวแสง

ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจความเร็วของอสูรโอสถมังกรก็ช้าลงมากราวกับตกอยู่ในบึง

ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาก็คงจะเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการทำให้หลุดพ้น แต่อสูรโอสถมังกรได้แต่ระเบิดพลังน่ากลัวยิ่งขึ้นเพื่อดิ้นรนทำให้ยิ่งจมลึกลงไปในบึงใหญ่…

“นี่คือค่ายกลละหารวิญญาณซึ่งใช้สำหรับจัดการกับผู้ฝึกด้านพลังกาย เมื่อตกอยู่ภายใน ยิ่งดิ้นรนก็จะเกิดการพันธนาการแข็งแกร่งมากขึ้น ในเวลาเดียวกันบึงจะดูดซับคลื่นหลิงจนหมดและถูกจับได้ในที่สุด” เมื่อมองไปที่อสูรโอสถมังกร หลิงซีก็ยิ้มขณะที่อธิบายกับมู่เฉิน

“สมกับเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแท้จริง!”

มู่เฉิน ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนอุทาน หากเป็นการเผชิญหน้าตรงๆ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องประสบกับการปะทะที่ดุเดือด ซึ่งอาจไม่สามารถได้รับชัยชนะสุดท้ายด้วย

แต่ตอนนี้หลิงซีทำให้อสูรโอสถมังกรไม่เป็นอันตรายอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเป็นการรังแกคนไม่มีสติปัญญา แต่ก็สามารถมองเห็นพลังของการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้

“เราก็มาเริ่มจัดการกันเถอะ”

มู่เฉินและคนอื่นๆ มองไปที่อสูรโอสถอีกเก้าตัว สัตว์อสูรเหล่านั้นมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคาม หลังจากที่หลิงซีลงมือจัดการ พวกเขาก็เริ่มลงมือเช่นกัน

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นหลิงรุนแรงกรีดร้องในตำหนักหิน การโจมตีที่ทรงพลังกวาดออก ทว่าความปั่นป่วนก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อสูรโอสถทั้งเก้าแตกออก

มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาสิบแปดเม็ดที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงก็หล่นลงไปในมือเขา

แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับเม็ดยาเซิ่งหลิง แต่ก็ไม่ได้เป็นของธรรมดา หากไปอยู่ในโรงประมูลของมหาพันภพ ทุกเม็ดก็มีมูลค่าของเหลวจื้อจุนหลักล้านเลยทีเดียว

มู่เฉินและเวินชิงเฉวียนไม่ได้ใส่ใจเม็ดยาพวกนี้มากนัก แต่ก็แบ่งกันคนละครึ่งตามที่สัญญากันไว้

กวาดอสูรโอสถในตำหนักหินซะเรียบ หลิงซีที่อยู่ด้านข้างก็เคลื่อนไหว อสูรโอสถมังกรที่ถูกมัดอยู่ในค่ายกลละหารวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นสีจาง เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป

เรียวนิ้วแตะออก เกลียวแสงหลิงก็วูบไหวที่ปลายนิ้ว อึดใจต่อมาคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็รวมตัวในค่ายกลละหารวิญญาณ จากนั้นค่ายกลก็เริ่มเปลี่ยนไป

โลกสายฟ้าเข้ามาแทนที่บึงใหญ่ สายฟ้าหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ปะทะกับอสูรโอสถมังกร ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจอสูรโอสถมังกรก็ส่งเสียงคำรามเศร้าสลดก่อนที่จะแตกสลาย

มือบางกำเข้าหากัน เม็ดแสงสองเม็ดก็ลอยออกมาจากเศษซากพลิ้วลงในมือนาง ซึ่งก็คือเม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ด

“ยอดเยี่ยม!”

มู่เฉินส่งเสียงยินดี ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าหลิงซีได้ใช้ค่ายกลโจมตีเคลื่อนไหวเข้าไปแทนที่ค่ายกลละหารวิญญาณ ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก นางแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของผู้สร้างค่ายกลชั้นสูงแท้จริง

หลิงซียิ้มบางตอบสนองต่อการชื่นชมของมู่เฉิน ก่อนจะส่งเม็ดยาเซิ่งหลิงให้หลงเซี่ยงกับเวินจื่อหยู่ที่ต้องการมากที่สุด

“ขอบใจมากแม่นางหลิงซี!” เวินจื่อหยู่รับเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้ด้วยความยินดี ขณะที่ประสานกำปั้นอย่างสำนึกบุญคุณ

“ไม่เป็นไร!” หลิงซียิ้ม

“หลังจากออกจากที่นี่ พวกเจ้าค่อยมองหาที่ชำระเม็ดยาเพื่อบรรลุขุมพลัง” เวินชิงเฉวียนเตือนความจำ ด้วยอันตรายที่มีหากพวกเขาต้องการบรรลุขุมพลังอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีเวลารอให้ทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการจนเสร็จสิ้นได้

เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าระงับความตื่นเต้นในใจ ก่อนที่จะเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้อย่างระมัดระวัง

“เราเดินทางต่อกันเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกหวู่ทงอยู่ที่ไหนแล้ว” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินและคนอื่นๆ พลางพูดขึ้น

“ได้เลย”

ทุกคนพยักหน้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือเข้าถึงส่วนลึกสุดของถ้ำเพื่อสมบัติที่แท้จริง

เมื่อตัดสินใจ ทุกคนก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกจากตำหนักหิน

ออกจากตำหนักหิน มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พุ่งไปตามทางเดินทอดยาว จุดสิ้นสุดของทางเดินก็ยังเป็นตำหนักหินอีกแห่ง แต่มีจำนวนอสูรโอสถึงสิบสองตัว

เมื่อมองสถานการณ์ ดูท่าเส้นทางที่ไปสู่ส่วนลึกสุดของถ้ำคงจะถูกขว้างด้วยตำหนักหิน และต้องผ่านไปทางนี้เท่านั้นถึงจะไปถึงเป้าหมายได้

เผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางนี้ มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ แต่อึดใจพวกเขาก็พุ่งเข้าหาอสูรโอสถโดยไม่หวั่นเกรง

ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ได้รับเม็ดยาจำนวนมากเมื่อเอาชนะ หากนำมารวมตัวกัน ของเหล่านี้จะเป็นทรัพยากรมีค่าทั้งสำหรับตระกูลเวินและตำหนักมู่

ด้วยความคิดนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าสิ่งกีดขวางเหล่านี้น่าชื่นชอบขึ้นมาทันที

ตลอดครึ่งวัน

กลุ่มมู่เฉินผ่านตำหนักหินสิบตำหนัก จำนวนอสูรโอสถก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินผ่านตำหนักหินแห่งที่สิบ จำนวนของอสูรโอสถก็มีกว่าร้อยตัว และมีสี่ตัวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

แต่โชคดีการมีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอย่างหลิงซี อสูรโอสถที่ไม่มีสติปัญญาก็เป็นเพียงโกดังเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขาจัดการล้างตำหนักหินแห่งที่สิบซะสะอาดหมดจด ใบหน้าของหลิงซีก็ซีดลงเล็กน้อย ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก

หลังจากรวบรวมเม็ดยาทั้งหมดและแจกจ่ายให้ทุกคน แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกพอใจกับการเก็บเกี่ยวเม็ดยามีนับร้อยเม็ด

ราคาเม็ดยาเทพเหล่านั้นมีมูลค่ารวมเกินหลายร้อยล้านเลยทีเดียว ถ้าเขาสามารถเอาไปสนับสนุนตำหนักมู่ได้ ตำหนักมู่ก็จะเติบโตขึ้นอีกอย่างแน่นอน

“ไปต่อกันเถอะ!”

เมื่อทุกคนหายเหนื่อยแล้ว มู่เฉินก็เลียริมฝีปาก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากทราบถึงมูลค่าของเม็ดยาเหล่านั้น ตอนนี้เขาหวังว่าจะมีตำหนักหินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ชัดว่าเม็ดยาที่ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถในร่างของอสูรโอสถถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกด้วย…

คนอื่นๆ ก็มีดวงตาพร่ามัวจากพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งเปล่งออกมาจากเม็ดยาเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่จิตใจของพวกเขายังคงฮึกเหิม ทั้งกลุ่มก้าวออกจากตำหนักหินพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับอสูรโอสถอีกครั้ง

ทว่าเมื่อพวกเขาก้าวออกจากตำหนักหินแห่งนี้ ทางเดินที่พวกเขาคาดถึงก็ไม่ปรากฏอีกต่อไป เบื้องหน้าถูกแทนที่ด้วยถ้ำหินปูนตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่

ถ้ำหินปูนนี้กว้างใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนทางช้างเผือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดส่องแสงระยิบระยับ

แต่เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นเม็ดยา

เมื่อพวกมู่เฉินเห็นถ้ำหินปูนนี้ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่ามาถึงส่วนที่ลึกสุดของขุมทรัพย์โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว

ตึง!

แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกตกตะลึงไป ประตูหินก็เปิดออกในมุมหนึ่ง มีกลุ่มคนอื่นเดินออกมา

ทั้งสองกลุ่มจ้องมองกันก็อึ้งไป ก่อนที่รังสีสังหารหนาแน่นจะฉายในดวงตาของทั้งสองฝ่าย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท