บทที่ 1304 คว้าเม็ดยา
“เม็ดยาเซิ่งหลิง!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่อสูรโอสถมังกรด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าภูตผีเสื้อโอสถจะลงทุนเพียงนี้ ใช้เม็ดยาเซิ่งหลิงมีค่าเป็นดวงตาของอสูรโอสถ
จากการประเมินของมู่เฉิน เม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยแปดสิบล้านในการประมูล ในเวลานั้นคงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าจะมีคนแบบหลงเซี่ยงและเวินจื่อหยู่เท่าไรที่จะแย่งชิงกัน
ตอนนี้เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวอสูรโอสถมังกรที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มละก็ พวกเขาคงพุ่งตัวออกไปแล้ว
“ปล่อยอสูรโอสถมังกรไว้ให้หลิงซี พวกเราไปจัดการที่เหลืออีกเก้าตัวกัน” เมื่อมองแต่ละคนที่อดทนอดกลั้น มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม
นี่เป็นงานง่ายสำหรับหลิงซีที่จะจัดการกับหุ่นเงาอสูรที่ไม่ค่อยมีปัญญามากนัก
“ใช้คนเก่งจริงๆ”
หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ขยับตัวออกไปเบาๆ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็บินว่อนออกไปราวกับดวงดาว ก่อนที่จะรวมเข้ากับพื้นที่โดยรอบ
หลิงซีเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนตัวจริง ค่ายกลที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมกับความงดงามที่แปลกประหลาด ยิ่งกว่านั้นเพียงไม่กี่อึดใจมิติที่เบื้องหน้านางก็บิดเบี้ยวกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ชั้นบรรยากาศภายในค่ายกลเหนียวแน่นเป็นพิเศษ คลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นให้ความรู้สึกหนักราวกับภูเขา
หลังจากสร้างค่ายกลอย่างสมบูรณ์ หลิงซีก็โบกมือ ลำแสงหลิงก็ยิงเข้าใส่อสูรโอสถมังกร
โฮก!
อสูรโอสถมังกรคำรามเมื่อถูกโจมตี พายุรุนแรงกวาดตัวออกพุ่งเข้าใส่หลิงซี
ตู้ม!
อสูรโอสถมังกรไม่มีสติปัญญา ทำให้ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกล มีแต่พุ่งใส่ไม่ยั้ง
เมื่ออสูรโอสถมังกรเข้าไปในค่ายกล มันก็ต้องชะลอตัวลงทันที เนื่องจากแสงหลิงผันผวนในค่ายกลถักทอกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ ยิ่งอสูรโอสถมังกรดิ้นรนบ้าคลั่ง พันธนาการก็แน่นขึ้น…แน่นขึ้น ผูกร่างอสูรโอสถมังกรไว้ในชั้นแถวแสง
ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจความเร็วของอสูรโอสถมังกรก็ช้าลงมากราวกับตกอยู่ในบึง
ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาก็คงจะเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการทำให้หลุดพ้น แต่อสูรโอสถมังกรได้แต่ระเบิดพลังน่ากลัวยิ่งขึ้นเพื่อดิ้นรนทำให้ยิ่งจมลึกลงไปในบึงใหญ่…
“นี่คือค่ายกลละหารวิญญาณซึ่งใช้สำหรับจัดการกับผู้ฝึกด้านพลังกาย เมื่อตกอยู่ภายใน ยิ่งดิ้นรนก็จะเกิดการพันธนาการแข็งแกร่งมากขึ้น ในเวลาเดียวกันบึงจะดูดซับคลื่นหลิงจนหมดและถูกจับได้ในที่สุด” เมื่อมองไปที่อสูรโอสถมังกร หลิงซีก็ยิ้มขณะที่อธิบายกับมู่เฉิน
“สมกับเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแท้จริง!”
มู่เฉิน ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนอุทาน หากเป็นการเผชิญหน้าตรงๆ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องประสบกับการปะทะที่ดุเดือด ซึ่งอาจไม่สามารถได้รับชัยชนะสุดท้ายด้วย
แต่ตอนนี้หลิงซีทำให้อสูรโอสถมังกรไม่เป็นอันตรายอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะเป็นการรังแกคนไม่มีสติปัญญา แต่ก็สามารถมองเห็นพลังของการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้
“เราก็มาเริ่มจัดการกันเถอะ”
มู่เฉินและคนอื่นๆ มองไปที่อสูรโอสถอีกเก้าตัว สัตว์อสูรเหล่านั้นมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคาม หลังจากที่หลิงซีลงมือจัดการ พวกเขาก็เริ่มลงมือเช่นกัน
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นหลิงรุนแรงกรีดร้องในตำหนักหิน การโจมตีที่ทรงพลังกวาดออก ทว่าความปั่นป่วนก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อสูรโอสถทั้งเก้าแตกออก
มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาสิบแปดเม็ดที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงก็หล่นลงไปในมือเขา
แม้ว่าเม็ดเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับเม็ดยาเซิ่งหลิง แต่ก็ไม่ได้เป็นของธรรมดา หากไปอยู่ในโรงประมูลของมหาพันภพ ทุกเม็ดก็มีมูลค่าของเหลวจื้อจุนหลักล้านเลยทีเดียว
มู่เฉินและเวินชิงเฉวียนไม่ได้ใส่ใจเม็ดยาพวกนี้มากนัก แต่ก็แบ่งกันคนละครึ่งตามที่สัญญากันไว้
กวาดอสูรโอสถในตำหนักหินซะเรียบ หลิงซีที่อยู่ด้านข้างก็เคลื่อนไหว อสูรโอสถมังกรที่ถูกมัดอยู่ในค่ายกลละหารวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นสีจาง เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป
เรียวนิ้วแตะออก เกลียวแสงหลิงก็วูบไหวที่ปลายนิ้ว อึดใจต่อมาคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็รวมตัวในค่ายกลละหารวิญญาณ จากนั้นค่ายกลก็เริ่มเปลี่ยนไป
โลกสายฟ้าเข้ามาแทนที่บึงใหญ่ สายฟ้าหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ปะทะกับอสูรโอสถมังกร ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจอสูรโอสถมังกรก็ส่งเสียงคำรามเศร้าสลดก่อนที่จะแตกสลาย
มือบางกำเข้าหากัน เม็ดแสงสองเม็ดก็ลอยออกมาจากเศษซากพลิ้วลงในมือนาง ซึ่งก็คือเม็ดยาเซิ่งหลิงสองเม็ด
“ยอดเยี่ยม!”
มู่เฉินส่งเสียงยินดี ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน เขาสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าหลิงซีได้ใช้ค่ายกลโจมตีเคลื่อนไหวเข้าไปแทนที่ค่ายกลละหารวิญญาณ ซึ่งทำได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก นางแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมของผู้สร้างค่ายกลชั้นสูงแท้จริง
หลิงซียิ้มบางตอบสนองต่อการชื่นชมของมู่เฉิน ก่อนจะส่งเม็ดยาเซิ่งหลิงให้หลงเซี่ยงกับเวินจื่อหยู่ที่ต้องการมากที่สุด
“ขอบใจมากแม่นางหลิงซี!” เวินจื่อหยู่รับเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้ด้วยความยินดี ขณะที่ประสานกำปั้นอย่างสำนึกบุญคุณ
“ไม่เป็นไร!” หลิงซียิ้ม
“หลังจากออกจากที่นี่ พวกเจ้าค่อยมองหาที่ชำระเม็ดยาเพื่อบรรลุขุมพลัง” เวินชิงเฉวียนเตือนความจำ ด้วยอันตรายที่มีหากพวกเขาต้องการบรรลุขุมพลังอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีเวลารอให้ทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการจนเสร็จสิ้นได้
เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าระงับความตื่นเต้นในใจ ก่อนที่จะเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงไว้อย่างระมัดระวัง
“เราเดินทางต่อกันเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกหวู่ทงอยู่ที่ไหนแล้ว” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินและคนอื่นๆ พลางพูดขึ้น
“ได้เลย”
ทุกคนพยักหน้า เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือเข้าถึงส่วนลึกสุดของถ้ำเพื่อสมบัติที่แท้จริง
เมื่อตัดสินใจ ทุกคนก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกจากตำหนักหิน
ออกจากตำหนักหิน มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พุ่งไปตามทางเดินทอดยาว จุดสิ้นสุดของทางเดินก็ยังเป็นตำหนักหินอีกแห่ง แต่มีจำนวนอสูรโอสถึงสิบสองตัว
เมื่อมองสถานการณ์ ดูท่าเส้นทางที่ไปสู่ส่วนลึกสุดของถ้ำคงจะถูกขว้างด้วยตำหนักหิน และต้องผ่านไปทางนี้เท่านั้นถึงจะไปถึงเป้าหมายได้
เผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางนี้ มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าช่วยไม่ได้ แต่อึดใจพวกเขาก็พุ่งเข้าหาอสูรโอสถโดยไม่หวั่นเกรง
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ได้รับเม็ดยาจำนวนมากเมื่อเอาชนะ หากนำมารวมตัวกัน ของเหล่านี้จะเป็นทรัพยากรมีค่าทั้งสำหรับตระกูลเวินและตำหนักมู่
ด้วยความคิดนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าสิ่งกีดขวางเหล่านี้น่าชื่นชอบขึ้นมาทันที
ตลอดครึ่งวัน
กลุ่มมู่เฉินผ่านตำหนักหินสิบตำหนัก จำนวนอสูรโอสถก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินผ่านตำหนักหินแห่งที่สิบ จำนวนของอสูรโอสถก็มีกว่าร้อยตัว และมีสี่ตัวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
แต่โชคดีการมีหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอย่างหลิงซี อสูรโอสถที่ไม่มีสติปัญญาก็เป็นเพียงโกดังเก็บเม็ดยาเซิ่งหลิงเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขาจัดการล้างตำหนักหินแห่งที่สิบซะสะอาดหมดจด ใบหน้าของหลิงซีก็ซีดลงเล็กน้อย ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก
หลังจากรวบรวมเม็ดยาทั้งหมดและแจกจ่ายให้ทุกคน แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกพอใจกับการเก็บเกี่ยวเม็ดยามีนับร้อยเม็ด
ราคาเม็ดยาเทพเหล่านั้นมีมูลค่ารวมเกินหลายร้อยล้านเลยทีเดียว ถ้าเขาสามารถเอาไปสนับสนุนตำหนักมู่ได้ ตำหนักมู่ก็จะเติบโตขึ้นอีกอย่างแน่นอน
“ไปต่อกันเถอะ!”
เมื่อทุกคนหายเหนื่อยแล้ว มู่เฉินก็เลียริมฝีปาก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากทราบถึงมูลค่าของเม็ดยาเหล่านั้น ตอนนี้เขาหวังว่าจะมีตำหนักหินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชัดว่าเม็ดยาที่ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถในร่างของอสูรโอสถถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกด้วย…
คนอื่นๆ ก็มีดวงตาพร่ามัวจากพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งเปล่งออกมาจากเม็ดยาเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่จิตใจของพวกเขายังคงฮึกเหิม ทั้งกลุ่มก้าวออกจากตำหนักหินพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับอสูรโอสถอีกครั้ง
ทว่าเมื่อพวกเขาก้าวออกจากตำหนักหินแห่งนี้ ทางเดินที่พวกเขาคาดถึงก็ไม่ปรากฏอีกต่อไป เบื้องหน้าถูกแทนที่ด้วยถ้ำหินปูนตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่
ถ้ำหินปูนนี้กว้างใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนทางช้างเผือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดส่องแสงระยิบระยับ
แต่เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นเม็ดยา
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นถ้ำหินปูนนี้ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่ามาถึงส่วนที่ลึกสุดของขุมทรัพย์โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว
ตึง!
แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกตกตะลึงไป ประตูหินก็เปิดออกในมุมหนึ่ง มีกลุ่มคนอื่นเดินออกมา
ทั้งสองกลุ่มจ้องมองกันก็อึ้งไป ก่อนที่รังสีสังหารหนาแน่นจะฉายในดวงตาของทั้งสองฝ่าย