หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1324

ตอนที่ 1324

บทที่ 1324 เจดีย์สี่เทวะ
เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง

เมืองที่เป็นจุดรวมตัวก็ปะทุขึ้น เพราะผู้คนมากมายเห็นกลุ่มโดดเด่นรวมตัวกันก่อนที่จะมุ่งหน้าออกไปพร้อมกัน

การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ทำให้เกิดความตกตะลึงกับกลุ่มอื่นๆ เพราะสาเหตุเรื่องความแข็งแกร่งที่ยังไม่เข้าขั้น บางกลุ่มจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการชุมนุม ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตำนานบรรพชนทั้งสี่ ไม่ต้องพูดถึงการรู้เหตุผลของความปั่นป่วนนี้

ทว่าก็มีบางกลุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตามหลังคนกลุ่มใหญ่ไปในระยะไกล

คนกลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้สนใจกลุ่มที่ติดตามมา ตามที่ฉิงปูป้ายกล่าวจอมยุทธ์เผ่าปีศาจต่างมิติก็จะมารวมตัวกันที่ขุมทรัพย์โบราณ หากการต่อสู้ระเบิดขึ้น คนโลภมากก็จะได้รับทุกข์ทรมานเอง

มู่เฉิน เวินชิงเฉวียนและพรรคพวกตามหลังคนกลุ่มใหญ่

พวกเขาพยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากกลุ่มอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่กลุ่มอื่นทำเช่นกัน

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะถือว่าอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่ทุกคนก็ชัดเจนว่ามรดกทั้งสี่ไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาทั้งหมด ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ กลุ่มอื่นก็นับเป็นคู่แข่งทั้งสิ้น

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องรักษาความระมัดระวังกับคู่แข่งไว้

“การเคลื่อนไหวนี้น่ากลัวแท้จริง”

มู่เฉินมองไปที่การแคลื่อนตัวยิ่งใหญ่ ก็อดทอดถอนหายใจไม่ได้ ตามการประเมินของเขามีกลุ่มชั้นยอดอย่างน้อยหลายสิบกลุ่มที่นี่ ทุกคนได้รับการพิจารณาว่าแข็งแกร่งที่สุดในแดนเซิ่งยวนโบราณตอนนี้แล้ว

“หมายความว่ามรดกบรรพชนทั้งสี่อันตรายอย่างยิ่ง” ลั่วหลีพูดเบาๆ ท่าทางเคร่งเครียดมาก

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้ว่าอันตรายนี้ไม่ใช่สิ่งที่มรดกภูตผีเสื้อโอสถสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ หากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งเหล่านี้ เขายังต้องจัดการกับเผ่าปีศาจต่างมิติด้วย

“สถานการณ์มรดกในตำนานยังไม่ชัดเจน หากเราถูกแยกออกจากกันก็อย่าฝืนตัวเองมากนะ” มู่เฉินพูดอย่างเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่ลั่วหลี ตัวนางก็มีภารกิจที่จะต้องคว้าวิชาช่องแสงวิญญาณของเผ่าไท่หลิงมาให้ได้ แต่นางเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นจึงไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันในแดนเซิ่งยวนโบราณกับพวกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมากนัก

หากลั่วหลีอยู่กับเขา เขาจะสามารถช่วยนางได้ แต่กลัวว่าสถานการณ์ในตอนนั้นจะผิดแผกไป ถ้าแยกจากกัน เขากังวลว่าลั่วหลีจะมีปัญหา

ลั่วหลีรู้สึกถึงความห่วงใยของมู่เฉินดี นางยิ้มบางพร้อมกับความงามเอิบอาบไปทั่วขณะที่พยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าไม่ฝืนตัวเองแน่นอน”

“นอกจากนี้… อย่าประมาทเพียงเพราะข้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นนะ ข้าก็มีวิธีการของตัวเองเช่นกัน” ลั่วหลีกะพริบตาวิบวับมองมู่เฉินอย่างหยอกล้อ

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า ในเมื่อลั่วหลีพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่านางต้องเตรียมพร้อมแล้ว

“ถ้าข้าเดาถูก ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เฉวียนหลัวน่าจะเป็นเสมือนธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง เป้าหมายของนางก็คือวิชาช่องแสงวิญญาณเช่นกัน” ลั่วหลีพูดเบาๆ ขณะที่กวาดสายตามองออกไป

“โอ้?” ม่านตามู่เฉินหดลง มองไปที่หญิงสาวทรงเสน่ห์ข้างเฉวียนหลัว ด้วยรูปลักษณ์จัดว่างดงามมาก

“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

ลั่วหลียิ้มตอบ “สัญชาตญาณของผู้หญิง… นางแอบมองข้าหลายครั้งแล้ว”

มู่เฉินพูดไม่ออก จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอ่อนใจ สัญชาตญาณผู้หญิงเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง กระทั่งสายตาที่ซ่อนเร้นยังสามารถตรวจจับเอาไว้ได้

“ผู้หญิงคนนั้นหลักแหลมใช้ได้”

มู่เฉินพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดสั้นๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนาง แต่เขาก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่รอบตัวนางตลอดเวลา

นางไม่เหมือนลั่วหลี ในเมืองที่เป็นจุดรวมตัวก็มีจอมยุทธ์ทรงพลังหลายคนที่เข้ามาอยากสร้างความสัมพันธ์กับลั่วหลีเนื่องจากรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่สุดท้ายก็โดนนางปฏิเสธอย่างเย็นชาทั้งหมด ไม่มีความคิดที่จะดึงพวกเขามาเป็นพวก

ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังนาง”

มู่เฉินพยักหน้า เสมือนธิดาเทพคนนั้นอาจจะฉลาด แต่ลั่วหลีก็ดูถูกไม่ได้ ลั่วหลีสามารถดึงตระกูลลั่วเสินกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องและเติบโตขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความฉลาดกับความงามของนางทัดเทียมกัน

ตราบใดที่ลั่วหลีระวัง ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามได้

ขณะที่ทั้งสองพูดกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ากลุ่มด้านหน้าเริ่มเร่งความเร็ว เห็นได้ชัดว่าฉิงปูป้ายที่นำทางเร่งความเร็วขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดบทสนทนาไว้ ติดตามกลุ่มใหญ่ต่อ

พวกเขาใช้เวลาในการเดินทางตลอดหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อท้องฟ้ายามราตรีปกคลุมไปทั่ว ทั้งกลุ่มก็พลิ้วลงไปที่ภูเขาเพื่อพักผ่อนรอเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเดินทางต่อไป

ภายใต้ความเร็วนี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็พบว่ากลุ่มเริ่มช้าลงในเวลาพลบค่ำของวันที่สอง

“ทุกคนอีกไม่นานก็จะถึงปลายทางแล้ว!”

เสียงทรงพลังของฉิงปูป้ายดังก้อง

ทั้งกลุ่มถึงกับปั่นป่วน ก่อนที่สายตาจะจ้องมองไปยังระยะไกล มองเห็นเหวลึกไร้กันบนพื้นดินเบื้องหน้า

ขนาดของเหวไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อมองจากระยะไกลราวกับหลุมดำขนาดมหึมาที่ไม่มีที่สิ้นสุดทำให้กระดูกสันหลังของคนมองเย็นเยือกลง

ด้านหนึ่งของเหวลึกสว่างไสวราวกับมีดวงอาทิตย์สาดส่องแสงไม่สิ้นสุด

ส่วนอีกด้านหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดราวกับอาณาจักรปีศาจ

ความสว่างและความมืดกัดเซาะกันอย่างต่อเนื่อง มิติก็ถูกทำลายจนมีสภาพแตกสลาย พายุกาละปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว

“นี่คือเหวเทพร่วง!” ขณะที่มู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังมองไปที่ก้นเหวไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความเหม่อลอย เสียงของเวินชิงเฉวียนก็ดังขึ้น

“เหวเทพร่วง” มู่เฉินอึ้งไป

“ในสมัยโบราณบรรพชนทั้งสี่ต่อสู้กับจอมปีศาจทั้งสี่ที่นี่ และหุบเหวไร้ก้นแห่งนี้ก็เป็นผลงานชิ้นเอกที่ทิ้งไว้ต่างหน้าของพวกเขา” เวินชิงเฉวียนพูดอธิบาย

“นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาสละชีพ มิน่าล่ะเจตจำนงที่เหลืออยู่ของพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ปณิธานของพวกเขาจะต้องลึกเกินหยั่ง ตั้งสัตย์สาบานว่าจะทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซาก”

มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาหรี่ตาลงมองเข้าไปในความมืด จอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็น่าจะมารวมตัวกันที่นั่นแล้วใช่ไหม?

ขณะที่พูดกัน ทั้งกลุ่มก็เข้ามาใกล้ขอบเหวค่อยๆ พลิ้วลงมาขณะที่ร่างถูกห่อหุ้มด้วยแสง

เมื่อแต่ละคนลงมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงโบราณซึ่งดูเหมือนว่าจะทะลุผ่านเวลา ดังขึ้นในโสตประสาทของพวกเขา

“ผู้ช่วยเหลือแห่งมหาพันภพ ในที่สุดพวกเจ้าก็มา”

มู่เฉินและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน เสียงโบราณนี้คงเป็นหนึ่งในสี่ของบรรพชน

“ท่านอาวุโส ต้องการให้เราทำอะไร?” ฉิงปูป้ายกล่าวพร้อมประสานมือ

“เศษเสี้ยวของเจตจำนงที่เหลืออยู่ของจอมปีศาจระดับเทียนทั้งสี่ถูกแยกระงับโดยพวกเราทั้งสี่คนเพื่อลบล้างไปตามกาลเวลา ทว่าช่วงนี้พวกมันรู้สึกว่าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป จึงได้เรียกรวมเผ่าปีศาจเพื่อทำลายการระงับของเรา ปลดปล่อยวิญญาณที่เหลืออยู่ของพวกมันให้เป็นอิสระ”

“หากพวกมันทำสำเร็จก็จะสามารถเชื่อมต่อกับเผ่าปีศาจ แดนเซิ่งยวนโบราณจะถูกดึงเข้าสู่โลกปีศาจอย่างสมบูรณ์ ซึ่งพวกมันจะสามารถใช้เป็นเส้นทางเพื่อเข้าโจมตีมหาพันภพของเราได้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นหัวใจของทุกคนก็สั่นสะเทือนรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปมาก หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะถูกดึงเข้าสู่โลกปีศาจด้วยเหรอ?

“ดังนั้นเราต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้าเพื่อหยุดเผ่าปีศาจ!”

เมื่อเสียงนั้นจบลง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็สัมผัสอะไรได้บางอย่างเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เห็นเจดีย์สูงตระหง่านที่มีสีดำขาว

แม้จะมีเพียงสี่ชั้น เจดีย์ก็ให้ความรู้สึกไม่สามารถทำลายลงได้

“ทุกๆ ชั้นจะมีวิญญาณที่เหลืออยู่ของจอมปีศาจระดับเทียน ทุกวิญญาณที่หนีออกไปก็หมายความว่าหนึ่งในสี่ของพวกข้าถูกทำลาย หากมีสามวิญญาณของจอมปีศาจได้รับการปล่อยตัวเจดีย์สี่เทวะก็จะถูกทำลาย จอมปีศาจก็จะถูกปล่อยออกมา” พูดถึงจุดนี้เสียงโบราณก็เคร่งขรึมลงมาก

“ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถปกป้องเจดีย์สี่เทวะได้สองชั้น ก็จะสามารถรักษาเจดีย์ไว้ได้จนกว่าพวกมันจะถูกทำลาย”

“ดังนั้นความล้มเหลวหรือความสำเร็จทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดร้ายแรง เนื่องจากไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแบบนี้ นี่เป็นการต่อสู้เดิมพันชีวิตอย่างแท้จริง

“ใครก็ตามที่สามารถปกป้องผนึกได้ ก็จะได้รับมรดกในชั้นนั้นไป!”

เมื่อประโยคนี้ดังก้อง คนจำนวนมากก็มีสายตาอัดไปด้วยเพลิงปรารถนาและความโลภหนาแน่น นั่นหมายความว่าคนที่ประสบผลจะสามารถได้รับมรดกของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?!

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาเปล่งประกายแผดเผา เขาหันไปพยักหน้าให้กับกลุ่มตัวเองพร้อมเอ่ยเสียงเบา

“เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนตัว”

เพื่อวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับเฉวียนหลัว มั่วซิน หรือแม้แต่เผ่าปีศาจ

เงินสามารถกระตุ้นจิตใจของมนุษย์ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานก็สามารถทำให้จอมยุทธ์ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้รับ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท