หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1322

ตอนที่ 1322

บทที่ 1322 เผชิญหน้า
การปะทะกันขัดแย้งกับความคาดหวังของทุกคน

ทุกสรรพเสียงที่นี่เงียบงัน สายตาตื่นตะลึงจดจ้องไปที่มู่เฉิน

กลุ่มต่างๆ ที่ดูถูกมู่เฉินในตอนแรกก็เผยความเคร่งเครียด สายตาที่มองไปทางมู่เฉินปรากฏแววหวาดระแวงมากขึ้น

คนที่มาแดนเซิ่งยวนโบราณได้จะไม่มีฝีมือได้อย่างไร

ปัง!

ซากพังพินาศที่กลบมั่วซินกระจายออก เงาร่างหนึ่งย่างสามขุมออกมาอย่างช้าๆ

เวลานี้มั่วซินเปล่งรัศมีน่ากลัวที่มีความหนาแน่นสูง ขณะที่สายตามองไปที่มู่เฉินอัดแน่นด้วยไอสังหาร

มั่วซินไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะอยู่ในสภาวะที่น่าสมเพชจากการแลกกระบวนท่ากับมู่เฉิน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่เฉินเป็นเพียงมดปลวกไม่มีสถานะใดๆ ในสายตาของเขา แม้ว่ามารดาของมู่เฉินจะอยู่ในตำแหน่งสูงของเผ่า แต่มู่เฉินก็ไม่เคยได้เพลิดเพลินกับทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถู

ด้วยเหตุนี้มั่วซินจึงมองมู่เฉินอย่างดูถูกเหยียดหยาม

แต่ตอนนี้เขากลับต้องจ่ายราคาแพงระยับสำหรับสิ่งนี้

ตัวกาลกิณีที่ไร้ค่าในสายตาของเขาได้มอบรสชาติขมฝาดคืนกลับมาให้เขา

“ไม่คิดว่าข้ามั่วซินจะมีวันแบบนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” มั่วซินเช็ดเลือดที่มุมปากขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ไม่แยแส

ดูเหมือนหลังจากที่เสียเปรียบ ในที่สุดมั่วซินก็มองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

มู่เฉินหรี่ตาลง มั่วซินเป็นประมุขน้อยของตระกูลในเผ่าฝูถูได้ ชัดว่ามีความสามารถใช้ได้ อย่างน้อยหลังจากรับการสูญเสีย เขาก็ยังเก็บความโกรธไว้ในใจและเริ่มที่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้จริงจัง

คนประเภทนี้จัดการยากอย่างแท้จริง

มู่เฉินยังรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้มั่วซินอยู่ในสภาพน่าสมเพชก่อนหน้าก็เพราะไม่ทันตั้งตัวจากวิชาสามพิสุทธิ์ เมื่อมีการเตรียมตัวก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับผลกระทบเดียวกันอีกครั้ง

ทว่ามู่เฉินไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แม้มั่วซินจะยากที่จะต่อกร แต่หากเขาต่อสู้ด้วยไพ่ทั้งหมด ก็ไม่ต้องกลัว

“ความประหลาดใจของแกเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มอ่อนไม่ใส่ใจไอสังหารของมั่วซินแม้แต่น้อย

การดวลครั้งนี้ทำให้หลายคนตกใจ ตัดสินจากท่าทางนี้มู่เฉินต้องการปะทะกับมั่วซินจริงๆ

“โอ้? ถ้างั้นข้าขอดูหน่อย!”

มั่วซินเอ่ยเยาะเย้ย อึดใจร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากด้านหลัง ทั้งสามคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

จอมยุทธ์เหล่านี้มาจากเผ่าโบราณอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ใต้บัญชาการของมั่วซิน

“ไอ้ตัวกาลกิณีมู่เฉิน แกบังอาจกล้าลบหลู่ประมุขน้อยมั่วซิน รีบยอมแพ้ซะ!” จอมยุทธ์ตระกูลมั่วตะโกนเสียงลั่นพลางจ้องมองมู่เฉินด้วยความเกรี้ยวกราด

“แมลงวันเหล่านี้มาจากไหน? แกมีคุณสมบัติมาเห่านายน้อยของข้าเหรอ?” หลงเซี่ยงก้าวออกมาจากเบื้องหลังของมู่เฉิน ขณะที่สาดสายตาดุร้าย

“โอ้ นายน้อย? ไอ้กาลกิณีนี่เป็นนายน้อยได้ด้วยรึ? หลงเซี่ยงดูเหมือนว่าแกจะสมองกลับในช่วงหลายปีที่ผ่านมานะ!” จอมยุทธ์คนหนึ่งที่รู้จักหลงเซี่ยงก็เอ่ยเยาะเย้ย

“มาสู้กันสักตั้งเดี๋ยวก็รู้” หลงเซี่ยงกระตุกยิ้มขณะที่กำปั้นกำแน่นพร้อมด้วยคลื่นหลิงทรงพลังกวาดออก

“ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?! แกบรรลุแล้วเรอะ?!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของหลงเซี่ยง ดวงตาเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็สั่นไหว จากที่พวกเขารู้หลงเซี่ยงถูกตัดทรัพยากรทั้งหมดของเผ่านานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดแหง็กอยู่ที่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเนิ่นนาน แต่ตอนนี้เขากลับพัฒนาตัวเองหลังจากติดตามมู่เฉินเป็นเวลาสั้นๆ งั้นหรือ?

หลิงซีก็ย่างกรายออกมาพร้อมกับสีหน้าเยือกเย็น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนในมือพุ่งออกไปหลอมรวมเข้ามิติรอบด้าน ชัดว่าตราบใดที่เริ่มปะทะก็จะถักทอกลายเป็นค่ายกลทันที

ลั่วหลีมายืนอยู่ที่ข้างกายมู่เฉิน แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่แสงที่แล่นพล่านในนัยน์ตาสาดไออันตรายออกมา

ทั้งสองกลุ่มตึงเครียดสูง การต่อสู้สามารถระเบิดได้ทุกเวลา

ผู้คนโดยรอบถอยกรูด กลัวจะถูกลากเข้าไปในวงล้อมด้วย

“มู่เฉิน!”

แต่ขณะที่ความตึงเครียดจะพุ่งทะลุเพดาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนเห็นคนกลุ่มหนึ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ก่อนที่จะยืนเคียงข้างกลุ่มมู่เฉิน สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มมั่วซินเขม็ง

นี่คือกลุ่มเวินชิงเฉวียนที่ออกไปเพื่อรวบรวมข้อมูล

“ตระกูลเวิน?”

เมื่อมั่วซินเห็นกลุ่มเวินชิงเฉวียน เขาก็ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลเวิน

แต่มีเพียงเวินจื่อหยู่เท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นมั่วซินจึงไม่กลัวอะไร แต่ด้วยบรรยากาศที่ถูกทำลาย มั่วซินก็ค่อยๆ สงบลง

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้แบบจัดเต็มกับพวกมู่เฉิน

จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขาก็รู้ว่ามู่เฉินที่ดูเหมือนจะเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่พลังของการต่อสู้ล้ำไปไกลขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา

นอกจากนี้มั่วซินยังสงสัยว่ามู่เฉินอาจมีไพ่ตายที่ทรงพลังกว่านี้อีก

หากสิ่งที่เขาเดาถูกต้องละก็ เขาจะต้องจ่ายในราคาแพงระยับแม้ว่าจะชนะก็ตาม

มิหนำซ้ำยังมีพวกหมาป่ารอบตัว ไม่ต้องพูดถึงเฉวียนหลัวที่มองดูอยู่ไกลๆ มั่วซินไม่สงสัยเลยว่าเฉวียนหลัวจะเคลื่อนไหวทันทีถ้าสบโอกาส

ในเวลานั้นการทำงานหนักทั้งหมดของเขาจะกลายเป็นสิ่งปรนเปรอเฉวียนหลัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ต้องการเห็น

ฮา

มั่วซินระงับไอสังหารในใจ สูดหายใจเข้าลึก ดึงเจตนาต้องการฆ่าที่พุ่งทะยานรอบตัวกลับลงไป ดวงตาของเขาเย็นเยือกลงหลายส่วนขณะจ้องมองมู่เฉิน “ข้าจะจับแกส่งให้ผู้อาวุโสใหญ่แน่!”

มู่เฉินแสยะยิ้ม “ยินดีต้อนรับทุกที่ทุกเวลา”

มั่วซินจ้องมองมู่เฉิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาโบกมือสะบัดหน้าจากไป

จอมยุทธ์ตระกูลมั่วก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่ามั่วซินที่สั่งลมสั่งฝนมาตลอดชีวิต จะกลืนความโกรธแค้นหลังจากถูกตัวกาลกิณีทำให้เสียหน้า

“เขาสมเป็นลูกชายชิงเหยี่ยนจิ้งแท้จริง ดีที่มันเป็นตัวกาลกิณีของเผ่า ไม่งั้นมันอาจเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังอีกคนนอกเหนือจากเฉวียนหลัว” ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันก็ไตร่ตรองในใจ ก่อนจะรีบตามมั่วซินไปอย่างรวดเร็ว

การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น สลายเป็นอากาศธาตุทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองฝ่ายฟัดกันจะต้องมีคนที่พ่ายแพ้แน่นอน ซึ่งพวกเขาอาจจะได้รับประโยชน์บ้างก็ได้

เมื่อพวกชิงซวงเห็นภาพนี้ พวกนางก็ตัดสินใจผละไป ไม่ได้มีความตั้งใจจะทักทายมูเฉิน นั่นเป็นเพราะจากท่าทางที่ไม่แยแสของมู่เฉิน ชัดว่าไม่ค่อยรู้สึกเป็นมิตรกับพวกนาง

ทว่าขณะที่พวกนางหันหลังกลับรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉินจากระยะไกลเมื่อหันกลับไป มู่เฉินก็พยักหน้าให้ชิงซวงเพื่อเป็นการทักทาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความต้องการช่วยเหลือของพวกนางก่อนหน้านี้

แม้มู่เฉินจะออกห่างจากเผ่าฝูถู แต่ความปราถนาดีจากกลุ่มชิงซวน เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไปตลอด

ชิงซวงพยักหน้าตอบ ก่อนจะออกเดินไปพร้อมกับชิงหลิงและพรรคพวก

“ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว”

เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับไป๋ซินเอ๋อที่ด้านข้าง “แม่นางซินเอ๋อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสนใจข้อมูลของข้าแน่”

ดวงตาสีดำขลับของไป๋ซินเอ๋อกลิ้งไปมา นางยิ้มให้อย่างน่ารัก “ใช่เรื่องของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่หรือไม่?”

เฉวียนหลัวเพียงยิ้มตอบ หันกลับไปพร้อมกับไป๋ซินเอ๋อกริมฝีปากขึ้นเดินตามไป

เมื่อเห็นว่าทุกคนไปแล้ว มู่เฉินก็ถือแผ่นทองแดงลึกลับไว้ในมือ จากปฏิกิริยาของมั่วซิน อีกฝ่ายน่าจะรู้สึกถึงบางอย่างจากวัตถุนี้เช่นกัน แต่ก็คงไม่เข้มข้นเท่ากับมู่เฉิน มิฉะนั้นมั่วซินคงไม่ยอมปล่อยไปอย่างง่ายดาย

วัตถุนี้น่าจะต้องเชื่อมโยงกับเผ่าฝูถู อาจจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษคนนั้น

“ดูเหมือนว่าข้าต้องหาโอกาสศึกษาสิ่งนี้” มู่เฉินพึมพำในใจ

“มู่เฉิน เจ้าก่อหวอดไปทุกที่จริงๆ” เวินชิงเฉวียนพูดด้วยเสียงหยอกล้อ พวกเขาแยกกันไม่นาน แต่มู่เฉินก็สร้างปัญหาอีกแล้ว

มู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ได้อะไรมา?”

ที่เขาถามก็คือข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ ทว่าเขาไม่ได้ถามอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่คิดว่าเวินชิงเฉวียนจะสามารถรับข้อมูลใดๆ ได้อย่างรวดเร็ว

แต่ตรงกันข้ามกับความคิดเขา เวินชิงเฉวียนพยักหน้าเบาๆ

“ได้มาจริงหรือ?” มู่เฉินอึ้งไป ‘ศักยภาพสูงเกินไปรึเปล่าเนี่ย?’

เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจริงจัง

“จากข้อมูลดังกล่าวจะมีงานชุมนุมในวันพรุ่งนี้เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสี่คน”

“เปิดเผย?” มู่เฉินขมวดคิ้ว ทำไมถึงเปิดเผยข้อมูลที่มีค่าให้คนอื่นกัน?

“ไม่ได้ให้เปล่า”

เวินชิงเฉวียนยิ้มก่อนที่จะกางห้านิ้วออกมา

“ค่าเข้างานคือของเหลวจื้อจุนห้าสิบล้านหยด”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท