หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1330

ตอนที่ 1330

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1330 ซือเทียนโยวปรากฏตัวอีกครั้ง
ตู้ม!

ร่างปีศาจโชติช่วงด้วยเพลิงสีดำเหวี่ยงกำปั้นระเบิดมิติเบื้องล่าง จากนั้นพลังทำลายล้างและความร้อนก็ซัดอย่างรุนแรงลงบนร่างอเวจี

กำปั้นนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาได้อย่างง่ายดาย

มั่วซินยืนบนร่างเวทสวรรค์มองกำปั้นที่พุ่งเข้ามาก็แสยะยิ้มเย้ยก่อนที่จะประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน “ลวงตา!”

ร่างอเวจีใหญ่โตกระเพื่อมก่อนที่เงาดำจะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาทำให้กำปั้นทะลุผ่านไป

“ฝ่ามืออเวจี!”

เมื่อร่างอเวจีเปลี่ยนภาพลวงตา มั่วซินก็กระทืบเท้า ฝ่ามือร่างเทห์สวรรค์เปลี่ยนเป็นรูปธรรมพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกปะทะกับร่างอสูรเพลิง

ตึง!

ฝ่ามือขนาดใหญ่ทำเอาร่างอสูรเพลิงสั่นเทิ้มก่อนที่มันจะถลากลับไปพร้อมกับไอเยือกเย็นครอบงำและดุร้ายกัดกร่อนร่าง แต่เปลวไฟที่หนาแน่นก็สามารถขัดขวางการโจมตีของร่างมหึมาไว้ได้

“ฆ่า!”

เมื่อการโจมตีถูกขัดขวางแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็ระเบิดอารมณ์คำรามทันที เปลวไฟลุกโชติช่วงบนร่างอสูรเพลิงพุ่งเข้าหามั่วซินอีกครั้ง

เผชิญหน้ากับแม่ทัพดุร้ายของเผ่าเหยียนหมัว มั่วซินก็เค้นเสียงเย็นทะยานออกไปพร้อมกับร่างอเวจี

ตู้ม ตู้ม!

ยักษ์ใหญ่ทั้งสองปะทะกัน ความปั่นป่วนที่น่าตกใจมากก็ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าจะโดยลูกหลงจากการต่อสู้นี้

ขณะที่มั่วซินกำลังโรมรันพันตูกับแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เฉวียนหลัวที่ต่อสู้กับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็ระเบิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ มีดปีศาจบินออกมาราวกับเครื่องจักรสังหาร ใครก็ตามที่ถูกรัศมีใบมีดกวาดใส่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็จะกลายเป็นเนื้อสับ

มิหนำซ้ำยังทิ้งร่องรอยมีดไร้ก้นนับไม่ถ้วนไว้บนพื้นดิน

ทว่าเฉวียนหลัวไม่กลัวสักนิด ความเจิดจรัสของร่างมหาเจดีย์ก็สว่างไสว ก่อแนวป้องกันที่ไม่สามารถทำลายได้

เคร้ง เคร้ง!

ร่างมหาเจดีย์พุ่งเข้าไปในพายุรัศมีใบมีด ปล่อยให้รัศมีใบมีดคมกริบกวาดอาละวาด แต่ไม่ว่าอย่างไรการโจมตีก็ไม่สามารถฉีกแนวป้องกันของร่างมหาเจดีย์ได้

“ร่างแสงนิรันดร์ในตำนานมีการป้องกันที่ทรงพลังที่สุดในโลกและร่างมหาเจดีย์ที่ข้าได้รับก็ถ่ายทอดสิ่งนี้มา ดังนั้นการโจมตีของแกไม่สามารถผ่านแนวป้องกันของข้าได้หรอก” เฉวียนหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างมหาเจดีย์ยิ้มบางขณะมองจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว

“ดังนั้นต่อไปตาข้าบ้างล่ะ!”

เฉวียนหลัวยิ้ม จากนั้นร่างมหาเจดีย์ก็ยกเจดีย์ที่เปล่งแสงสว่างไสวบนมือขึ้น

“รัศมีประทับ!”

เมื่อเฉวียนหลัวส่งเสียงคำราม แสงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มใบมีดขนาดใหญ่และจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัว ภายใต้ความกระจ่างใสของรัศมี รัศมีใบมีดป่าเถื่อนก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว

ใบมีดปีศาจดูราวกับว่าร่วงหล่นลงไปในบึงโคลน ความเร็วลดเพราะบนใบมีดถูกแสงห่อหุ้ม

เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวก็เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีปีศาจบนใบมีดปีศาจถูกผนึก

เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินความสามารถในการผนึกของเฉวียนหลัวต่ำเกินไป

“ตู้ม!”

ทว่าเฉวียนหลัวก็ไม่ได้ให้เวลาเขามากในการตกใจ ร่างมหาเจดีย์สาวเท้าออกมา เจดีย์เทพเปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อร่างเป็นหอกทะยานไปยังจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวที่ถูกผนึกจนอ่อนแอลง

โฮก!

จอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวคำรามลั่น ด้วยความคิดสายหนึ่งดาบขนาดใหญ่ก็เต้นระริกด้วยรัศมีปีศาจพวยพุ่งต่อต้านการโจมตีที่ทรงพลังจากเฉวียนหลัว

แต่เมื่อมองแล้วดูเหมือนว่าเขาจะค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

รอบแท่นบูชา

ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย เมื่อมั่วซินและเฉวียนหลัวเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อสู้ ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์มหาพันภพก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เผ่าปีศาจเริ่มแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้

“สองคนนั่นฝีมือใช้ได้เลยจริงๆ”

มู่เฉินประหลาดใจกับภาพเหตุการณ์นี้ เขาหรี่ตาลงมองร่างมั่วซินและเฉวียนหลัว จอมยุทธ์เผ่าเหยียนหมัวและเตาหมัวเป็นศัตรูที่โค่นได้ยาก แต่ก็ถูกมั่วซินและเฉวียนหลัวปราบเอาไว้ได้ นี่แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของทั้งสอง

แต่…มู่เฉินไม่คิดว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้

ตู้ม!

ขณะที่ความคิดหมุนเวียนอยู่ในใจ แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวก็เป็นคนแรกที่เปิดช่องโหว่ ถูกซัดออกไปหลายพันจั้งโดยหมัดตรงของร่างอเวจี

แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวกระอักเลือดดำเต็มปาก เขาจ้องเขม็งไปที่มั่วซินด้วยความโกรธแค้นและเมื่อเห็นว่าเผ่าปีศาจกำลังจะพ่ายแพ้ เขาก็คำรามก้องฟ้า “ซือเทียนโยว เจ้ายังไม่เคลื่อนไหวอีกเรอะ?”

เสียงคำรามดังสะท้อนก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทันใดนั้นแม้แต่เสียงในสนามรบก็เงียบกริบลง

“ซือเทียนโยว?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนั่น รูม่านตาก็หดแคบลง ‘มันก็อยู่ที่นี่เหมือนกันรึ?’

“ฮ่าๆ เหยียนลู่ ไม่คิดว่าในฐานะแม่ทัพเผ่าเหยียนหมัว เจ้าจะไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง ถูกบีบให้อยู่ในสภาพเช่นนี้โดยไอ้เด็กเวรจากมหาพันภพ” เมื่อเสียงของเหยียนลู่จบลง เสียงหัวเราะที่เสียดแก้วหูก็ดังขึ้นทันที

ทุกคนพุ่งสายตาไปก็เห็นเงาดำยืนบนแท่นมองลงมาด้วยสายตาเย้ยหยัน

เฉวียนหลัวที่กำลังเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เผ่าเตาหมัวเมื่อเห็นเงานั้นก็ถึงกับหดดวงตา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายสุดขั้วที่มาจากอีกฝ่าย

“ไอ้ตัวเสแสร้ง ไสหัวลงมาจากแท่นบูชาซะ!”

สายตาเย็นเยือกของมั่วซินจับจ้องไปที่ร่างเงานั่นขณะเค้นเสียงเย็น ร่างอเวจีเคลื่อนผ่านมิติไปปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับพลังทำลายล้างกระแทกใส่ซือเทียนโยว

ซือเทียนโยวกอดอกพร้อมกับรัศมีความตายพล่านในดวงตาขณะที่จ้องมองร่างอเวจีด้วยอาการเยาะเย้ย เผชิญหน้ากับการโจมตีดุร้ายนี้ เขาไม่คิดที่จะป้องกันตัวเองสักนิด

ปิ้ว

เขาเพียงผิวปากเบาๆ

เมื่อสิ้นเสียง มิติเบื้องหน้าซือเทียนโยวก็ผันผวน โครงกระดูกปรากฏขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าโดยไม่มีใครสามารถตรวจจับได้

โครงกระดูกนั้นไม่มีพลังชีวิตใดๆ แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือแม้แต่มั่วซินก็ม่านตาหดเกร็งลง

พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้จากโครงกระดูกนี้

โครงกระดูกยกดวงตากลวงโบ๋เหยียดมือออกมา ตบออกไปอย่างไม่ตั้งใจ กระแทกเข้ากับหมัดขนาดใหญ่

ตึง!

เสียงลึกต่ำดังกึกก้องในทันที มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับแก้วแตก จากนั้นทุกคนก็ต้องหวาดผวาเมื่อเห็นร่างอเวจีขนาดใหญ่ปลิวออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

ครืนๆๆๆ!

ร่างอเวจีสร้างเหวขนาดใหญ่ไว้บนพื้นซึ่งมีความยาวหลายหมื่นจั้งก่อนที่ร่างใหญ่จะหยุดลง มั่วซินที่ยืนบนไหล่ก็กระอักเลือดเต็มปาก ความตกใจหวาดหวั่นหนาแน่นฉายบนใบหน้า

เขารู้สึกไม่เชื่อขณะมองโครงกระดูกที่ยืนเบื้องหน้าซือเทียนโยว เขาไม่คิดว่ากระทั่งใช้ร่างอเวจีแข็งแกร่งนี้ เขาก็ยังปลิวออกมาโดยง่ายดาย

ทั่วบริเวณเงียบลง

กลุ่มอื่นๆ ที่มีขวัญกำลังใจขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีน้ำแข็งราดลงมาทำให้รู้สึกเย็นเยือกไปหมด พวกเขามองโครงกระดูกนั้นด้วยความกลัว ‘พลังแบบไหนกันที่ทำให้มั่วซินต้องถลาออกไปอย่างง่ายดาย?’

ชิงซวงและชิงหลิงก็ฉายแววหวาดผวา ร่างเริ่มสั่นเทิ้ม

เฉวียนหลัวที่อยู่ไกลออกไปก็หยุดการโจมตีลง เขามองโครงกระดูกด้วยความกลัวในดวงตาก่อนที่จะพูดออกมาทีละคำ “นี่-ศพ-จอม-ปีศาจ?!”

การที่สามารถครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เฉวียนหลัวไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดได้ยกเว้นศพจอมปีศาจ นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชันที่มาจากศพนั้นด้วย

แม้ว่ารัศมีจะเบาบาง แต่ราชันก็ยังคงเป็นราชัน ซึ่งเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ยังเป็นมดในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่ดี

เมื่อเขาพูดออกมาก็ทำให้เกิดคลื่นความตกใจพล่านขึ้นจากกลุ่มคน หากไม่ใช่ความจริงที่ทุกคนที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงละก็ อาจมีบางคนเปิดตูดหนีไปแล้วก็ได้

ไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับจอมปีศาจแม้ว่าจะเป็นศพก็ตาม

“ถูกต้อง”

ซือเทียนโยวพยักหน้าขณะที่กวาดมองทุกคนพลางพูดเบา “พาพรรคพวกของแกไสหัวไปจากที่นี่ องค์ชายคนนี้ครอบครองชั้นนี้แล้ว”

ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มลง แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะเขาสัมผัสถึงอันตรายที่มาจากซากร่าง

แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ

ขณะที่เฉวียนหลัวเงียบไป ทั่วบริเวณก็ถูกกดดัน หลายคนถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง

แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นร่างเงาหนึ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

“มู่เฉิน”

ชิงซวงและชิงหลิงอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่าย

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองไปที่ซือเทียนโยวที่อยู่บนแท่น เสียงราบเรียบดังก้องประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก

“แกคว้าไอ้ซากนั่นไปต่อหน้าต่อตาข้า ตอนนี้ข้าจะเป็นคนเอากลับมาเอง”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท