หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1328 ข่าวของชิงเหยี่ยนจิ้ง
“เจ้าไม่ต้องช่วยหรอก ข้าจัดการมันได้”
มองไปในทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไป มู่เฉินก็หันกลับพูดกับชิงซวง
เขาบอกได้เลยว่าชิงซวงแทบจะยืนไม่ไหว การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นการแสดงเท่านั้น
หากชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ก่อนหน้า นางคงเริ่มถากถางมู่เฉิน แต่หลังจากได้เห็นความสามารถของมู่เฉิน นางก็พยักหน้าเห็นด้วย
ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือดพลางยื่นริมฝีปาก “เจ้านั่นกลัวเจ้าเกินไป มันเลยวิ่งหนีทันทีที่ข้าปรากฏตัว”
แม้ว่าชิงซวงจะภูมิใจในตัวเอง แต่นางก็รู้ถึงขีดจำกัดของตน ขนาดมู่เฉินยังเห็นว่านางแกล้งทำ แล้วแม่ทัพคนนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร?
แต่ที่มันเลือกหลบหนีก็เพราะแรงกดดันที่รู้สึกจากมู่เฉินแรงกล้าเกินไป ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบ่งสมาธิออกมาสู้กับนางได้ขณะสู้กับมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็ส่ายหัวไม่พูดอะไรมาก “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าพักฟื้นสักครู่น่าจะดีขึ้น” ชิงซวงพยักหน้า ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ลมปราณของนางจึงทรงพลังมาก
“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ” ชิงซวงพูดเบาๆ ขณะที่จ้องมองมู่เฉิน
นางรู้ว่าหากมู่เฉินปรากฏตัวไม่ทันเวลาละก็ นางและชิงหลิงอาจจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด เนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงความป่าเถื่อนที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวว่ารุนแรงเพียงใด
มู่เฉินโบกมือ “เจ้าเคยคิดช่วยข้ามาก่อน ดังนั้นถือว่าเจ๊ากัน”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป
“มู่เฉิน เราไปด้วยกันเถอะ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติกี่คนในเจดีย์สี่เทวะ รวมตัวกันน่าจะปลอดภัยกว่านะ” ชิงหลิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะจากไป
เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้นางหวาดกลัวอย่างที่สุด นอกจากนี้อาการบาดเจ็บของชิงซวงยังไม่หายดี ดังนั้นถ้ามู่เฉินไปแล้ว พวกนางอาจซวยหากปะกับสมาชิกทรงพลังของเผ่าปีศาจอีก
มู่เฉินยกคิ้วขึ้น หากชิงซวงกู้คืนพลังได้ นางก็จะเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง ทว่าเขาไม่ค่อยชอบกับการเดินทางกับคนที่ไม่เชื่อใจ
“หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูรวมถึง…แม่ของเจ้าด้วย” ชิงซวงพูดเบาๆ หลังจากครุ่นคิด
มู่เฉินหยุดก่อนที่จะโบกมือ “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
ขณะที่พูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เกลียวคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดไปทางชิงซวงและชิงหลิง ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปในส่วนลึก
“ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?”
ขณะที่เดินทางมู่เฉินก็เริ่มถามหลังจากเงียบไปนาน
“น้าจิ้งสบายดี” ชิงซวงและชิงหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากแลกเปลี่ยนสายตากัน
มู่เฉินเค้นเสียงเย็น “ถูกคุมขังแบบนั้นเรียกว่าดีเหรอ?”
ชิงซวงส่ายหัว “เจ้าไม่รู้ตำแหน่งของน้าจิ้งในเผ่าบวกกับพลังที่มี แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถปราบปรามนางได้”
“ก่อนหน้าผู้อาวุโสใหญ่กับน้าจิ้งก็มีความขัดแย้งกัน นางถึงกับเข้าควบคุมค่ายกลของเผ่า บีบให้ผู้อาวุโสต้องล่าถอย”
“ผลสรุปก็คือทางเผ่าห้ามส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาตามล่าเจ้า”
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อว่า “ท่านน้าจิ้งยอมถูกคุมขังเพื่อเจ้า ไม่งั้นแม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคามหาศาลถ้าคิดคุมขังนางเอาไว้”
หัวใจมู่เฉินสั่นไหว เนื่องจากเขานึกถึงช่วงเวลาที่เข้าไปในดินแดนของเผ่าฝูถู โดยที่มารดาของเขาช่วยให้หลบหนีออกมาได้
“มิน่าก็ว่าทำไมถึงแม้ได้รับการหมายหัวจากเผ่าฝูถู แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมาเคลื่อนไหวเลย ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ที่ช่วยข้าไว้”
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ความอบอุ่นวาบขึ้นในใจ บางทีเขาอาจไม่ได้รับการโอบกอดตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ในที่ที่เขาไม่รู้ มารดาก็ได้ใช้วิธีการอื่นเพื่อปกป้องเขา
นี่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
มู่เฉินเม้มปากจากนั้นก็พูดขึ้นกะทันหัน “พวกเจ้าบอกว่าท่านแม่ข้าเป็นสายเลือดตระกูลชิง แล้วทำไมพวกเจ้าถึงนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวปล่อยให้นางถูกจองจำ?”
ชิงซวงถอนหายใจเบาๆ “มีหลายตระกูลในเผ่าฝูถู ตระกูลเฉวียนและมั่วทรงพลังที่สุดในตอนนี้ ส่วนตระกูลชิงของเราครั้งหนึ่งเคยทรงอิทธิพลตอนที่บิดาของน้าจิ้ง ท่านตาของเจ้าเป็นผู้นำ”
“แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ตระกูลชิงก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นน้าจิ้งก็ออกจากเผ่าไปเป็นหลายสิบปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นางพบบิดาเจ้าและให้กำเนิดเจ้าน่ะ”
“ตอนที่น้าจิ้งกลับมา นางถูกตัดสินให้จองจำโดยสภาอาวุโสเพราะการรั่วไหลของสายเลือด ในเวลานั้นผู้แทนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจตระกูลเฉวียนและตระกูลมั่ว แม้ว่าตระกูลชิงจะพยายามต่อสู้ก็ไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์”
“นอกจากนี้ยังมีบางคนในตระกูลชิงมีความไม่พอใจต่อน้าจิ้ง เนื่องจากตัวนางถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่นางกลับละทิ้งความรับผิดชอบไป”
“ด้วยเหตุผลหลายประการน้าจิ้งจึงถูกจองจำ…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล ทำไมต้องเอาความหวังมาวางบนบ่าท่านแม่ข้าด้วย?”
แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับนาง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามารดาไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากเป็นผู้นำ นางไม่ต้องการแบกความรับผิดชอบของสายเลือดตระกูลชิงทั้งหมดไว้
ชิงซวงยิ้มขมขื่น “เรื่องแบบนี้ใครจะไปพูดได้ชัดเจน? แต่ว่าคนตระกูลชิงส่วนใหญ่นับถือน้าจิ้ง นอกจากนี้พวกเราก็พยายามที่จะทำให้นางได้รับอิสระอยู่ตลอดเวลา”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่สีหน้าของมู่เฉินก็สงบลง ชิงซวงไม่จำเป็นต้องโกหกเพราะสุดท้ายสักวันเขาก็จะได้รู้เรื่องพวกนี้
“เมื่อไรที่ข้าบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าจะมุ่งหน้าไปที่เผ่าฝูถูเพื่อช่วยเหลือท่านแม่ออกมา” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดด้วยความมุ่งมั่น
ชิงซวงและชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน บรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเหรอ? พวกนางสามารถสัมผัสถึงน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่เฉินก็ทำให้ถึงกับพูดไม่ออก ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม กระทั่งชิงซวงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับดังกล่าว แต่ตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่ายากเพียงใดที่จะข้ามไปสู่ระดับนั้นได้
ในมหาพันภพยิ่งใหญ่ บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอาจมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ
หากระดับตี้จื้อจุนเป็นราชันปกครองภูมิภาค ระดับเทียนจื้อจุนก็เป็นราชันของราชันที่มองมาจากเบื้องบน
อยู่ในจุดสูงสุดที่ไร้เทียมทาน
หากคนอื่นพูดอย่างมั่นใจว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนพวกนางอาจจะส่ายหน้าระอา แต่สำหรับมู่เฉินพวกนางรู้สึกได้เลือนรางว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ชายคนนี้พึ่งตัวเองมาไกลขนาดนี้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดของเผ่าฝูถูเลย
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็สามารถบีบให้แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปได้ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเลย
จินตนาการได้ว่าถ้ามู่เฉินมีจุดเริ่มต้นเหมือนพวกเขา เขาจะอยู่ในสถานะเอื้อมไม่ถึงขนาดไหน?
ชิงซวงและชิงหลิงต่างถอนหายใจในใจ ‘มู่เฉินสมกับเป็นลูกท่านน้าจิ้งจริงๆ…’
“แต่แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งที่ดีกับเผ่าฝูถู” ชิงหลิงอดพูดออกมาไม่ได้ เพราะนางไม่รู้สึกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะสามารถกวนอะไรเผ่าฝูถูได้
มู่เฉินยิ้มเงียบ ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนชิงซวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหตุผลที่ท่านน้าจิ้งยอมถูกจองจำนานหลายปีในเผ่าไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เป็นเพราะนางต้องการปกป้องมู่เฉิน
ในตอนนั้นมู่เฉินที่ยังไม่โตเป็นจุดอ่อนที่สุดของชิงเหยี่ยนจิ้ง
แต่ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนละก็ ความอ่อนแอจะลดลงอย่างมาก ในเวลานั้นถ้ามู่เฉินปรากฏตัวในเผ่าคงไม่ง่ายนักที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะยอมถูกจองจำอย่างเชื่อฟัง
ในเวลานั้นเผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ทรงพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉิน ถ้าพวกตาเฒ่าล้านปีในเผ่าไม่คิดจะจ่ายราคาแบบต้องกระอัก ก็คงไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้เกี่ยวกับสองแม่ลูก
เนื่องจากพวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว กาลกิณีที่พวกเขาลืมเลือนได้เติบใหญ่จนไม่สามารถเอื้อมถึงได้
มู่เฉินไม่รู้ว่าชิงซวงคิดอะไรในใจ เขาแค่มองไกลออกไป “เป้าหมายของเจ้าคือวิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ให้เจ้าแน่”
เนื่องจากเขาได้เรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์มาแล้ว ถ้าเขาสามารถได้รับอีกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอีก เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียวเมื่อตัวเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ชิงซวงส่ายหัวพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องคิดให้ข้าหรอก คิดหาวิธีจัดการเฉวียนหลัวและมั่วซินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเถอะ พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าได้รับไปแน่นอน”
มู่เฉินยิ้ม “หากพวกเขาอยากสู้นัก ข้าก็ขอดูว่าพวกเขาสามารถทำให้ข้าล้มเลิกได้ไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของชิงหลิงก็วูบไหวโดยไม่สามารถควบคุมได้ นางมองไปที่มู่เฉิน ชื่อเสียงของเฉวียนหลัวและมั่วซินยอดเยี่ยมมากในเผ่า แม้แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลชิงอย่างชิงซวงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้
แต่มู่เฉินไม่กลัวทั้งสองคน ซ้ำยังคงมั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้หัวใจของชิงหลิงโลดขึ้นเลยทีเดียว
“อย่าประมาท พวกเขาสองคนเรียนรู้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยม ไม่มีใครในหมู่คนระดับเดียวกันเทียบได้” ชิงซวงเตือน
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยมเรอะ?”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ทั้งสองมีความโดดเด่นในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายสักสองสามใบก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไร
“ข้าไม่เคยดูถูกพวกเขา แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ประมาทข้าเช่นกัน ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะต้องจ่ายในราคาจนหมดเนื้อหมดตัว” มู่เฉินมองออกไปไกลพลางยิ้ม
ชิงซวงมองไปที่ชายหนุ่มที่มีประกายคมชัดที่ไม่อาจปกปิดได้เล็ดลอดออกมาก็กัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับแววคาดหวังวาบในนัยน์ตา
นั่นเพราะนางอยากรู้ว่าเมื่อพวกเขาปะทะกันใครที่จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู… มู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือมั่วซิน