หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1328

ตอนที่ 1328

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1328 ข่าวของชิงเหยี่ยนจิ้ง
“เจ้าไม่ต้องช่วยหรอก ข้าจัดการมันได้”

มองไปในทิศทางที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไป มู่เฉินก็หันกลับพูดกับชิงซวง

เขาบอกได้เลยว่าชิงซวงแทบจะยืนไม่ไหว การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นการแสดงเท่านั้น

หากชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ก่อนหน้า นางคงเริ่มถากถางมู่เฉิน แต่หลังจากได้เห็นความสามารถของมู่เฉิน นางก็พยักหน้าเห็นด้วย

ใบหน้าของชิงซวงซีดเผือดพลางยื่นริมฝีปาก “เจ้านั่นกลัวเจ้าเกินไป มันเลยวิ่งหนีทันทีที่ข้าปรากฏตัว”

แม้ว่าชิงซวงจะภูมิใจในตัวเอง แต่นางก็รู้ถึงขีดจำกัดของตน ขนาดมู่เฉินยังเห็นว่านางแกล้งทำ แล้วแม่ทัพคนนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร?

แต่ที่มันเลือกหลบหนีก็เพราะแรงกดดันที่รู้สึกจากมู่เฉินแรงกล้าเกินไป ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบ่งสมาธิออกมาสู้กับนางได้ขณะสู้กับมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็ส่ายหัวไม่พูดอะไรมาก “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้าพักฟื้นสักครู่น่าจะดีขึ้น” ชิงซวงพยักหน้า ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ลมปราณของนางจึงทรงพลังมาก

“ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ” ชิงซวงพูดเบาๆ ขณะที่จ้องมองมู่เฉิน

นางรู้ว่าหากมู่เฉินปรากฏตัวไม่ทันเวลาละก็ นางและชิงหลิงอาจจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด เนื่องจากนางสัมผัสได้ถึงความป่าเถื่อนที่แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวว่ารุนแรงเพียงใด

มู่เฉินโบกมือ “เจ้าเคยคิดช่วยข้ามาก่อน ดังนั้นถือว่าเจ๊ากัน”

เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป

“มู่เฉิน เราไปด้วยกันเถอะ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติกี่คนในเจดีย์สี่เทวะ รวมตัวกันน่าจะปลอดภัยกว่านะ” ชิงหลิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะจากไป

เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้นางหวาดกลัวอย่างที่สุด นอกจากนี้อาการบาดเจ็บของชิงซวงยังไม่หายดี ดังนั้นถ้ามู่เฉินไปแล้ว พวกนางอาจซวยหากปะกับสมาชิกทรงพลังของเผ่าปีศาจอีก

มู่เฉินยกคิ้วขึ้น หากชิงซวงกู้คืนพลังได้ นางก็จะเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง ทว่าเขาไม่ค่อยชอบกับการเดินทางกับคนที่ไม่เชื่อใจ

“หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าฝูถูรวมถึง…แม่ของเจ้าด้วย” ชิงซวงพูดเบาๆ หลังจากครุ่นคิด

มู่เฉินหยุดก่อนที่จะโบกมือ “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”

ขณะที่พูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เกลียวคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดไปทางชิงซวงและชิงหลิง ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปในส่วนลึก

“ท่านแม่ข้าเป็นยังไงบ้าง?”

ขณะที่เดินทางมู่เฉินก็เริ่มถามหลังจากเงียบไปนาน

“น้าจิ้งสบายดี” ชิงซวงและชิงหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากแลกเปลี่ยนสายตากัน

มู่เฉินเค้นเสียงเย็น “ถูกคุมขังแบบนั้นเรียกว่าดีเหรอ?”

ชิงซวงส่ายหัว “เจ้าไม่รู้ตำแหน่งของน้าจิ้งในเผ่าบวกกับพลังที่มี แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถปราบปรามนางได้”

“ก่อนหน้าผู้อาวุโสใหญ่กับน้าจิ้งก็มีความขัดแย้งกัน นางถึงกับเข้าควบคุมค่ายกลของเผ่า บีบให้ผู้อาวุโสต้องล่าถอย”

“ผลสรุปก็คือทางเผ่าห้ามส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาตามล่าเจ้า”

ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อว่า “ท่านน้าจิ้งยอมถูกคุมขังเพื่อเจ้า ไม่งั้นแม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคามหาศาลถ้าคิดคุมขังนางเอาไว้”

หัวใจมู่เฉินสั่นไหว เนื่องจากเขานึกถึงช่วงเวลาที่เข้าไปในดินแดนของเผ่าฝูถู โดยที่มารดาของเขาช่วยให้หลบหนีออกมาได้

“มิน่าก็ว่าทำไมถึงแม้ได้รับการหมายหัวจากเผ่าฝูถู แต่ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมาเคลื่อนไหวเลย ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ที่ช่วยข้าไว้”

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ความอบอุ่นวาบขึ้นในใจ บางทีเขาอาจไม่ได้รับการโอบกอดตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ในที่ที่เขาไม่รู้ มารดาก็ได้ใช้วิธีการอื่นเพื่อปกป้องเขา

นี่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

มู่เฉินเม้มปากจากนั้นก็พูดขึ้นกะทันหัน “พวกเจ้าบอกว่าท่านแม่ข้าเป็นสายเลือดตระกูลชิง แล้วทำไมพวกเจ้าถึงนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวปล่อยให้นางถูกจองจำ?”

ชิงซวงถอนหายใจเบาๆ “มีหลายตระกูลในเผ่าฝูถู ตระกูลเฉวียนและมั่วทรงพลังที่สุดในตอนนี้ ส่วนตระกูลชิงของเราครั้งหนึ่งเคยทรงอิทธิพลตอนที่บิดาของน้าจิ้ง ท่านตาของเจ้าเป็นผู้นำ”

“แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลง ตระกูลชิงก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นน้าจิ้งก็ออกจากเผ่าไปเป็นหลายสิบปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นางพบบิดาเจ้าและให้กำเนิดเจ้าน่ะ”

“ตอนที่น้าจิ้งกลับมา นางถูกตัดสินให้จองจำโดยสภาอาวุโสเพราะการรั่วไหลของสายเลือด ในเวลานั้นผู้แทนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจตระกูลเฉวียนและตระกูลมั่ว แม้ว่าตระกูลชิงจะพยายามต่อสู้ก็ไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์”

“นอกจากนี้ยังมีบางคนในตระกูลชิงมีความไม่พอใจต่อน้าจิ้ง เนื่องจากตัวนางถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่นางกลับละทิ้งความรับผิดชอบไป”

“ด้วยเหตุผลหลายประการน้าจิ้งจึงถูกจองจำ…”

มู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล ทำไมต้องเอาความหวังมาวางบนบ่าท่านแม่ข้าด้วย?”

แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับนาง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามารดาไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากเป็นผู้นำ นางไม่ต้องการแบกความรับผิดชอบของสายเลือดตระกูลชิงทั้งหมดไว้

ชิงซวงยิ้มขมขื่น “เรื่องแบบนี้ใครจะไปพูดได้ชัดเจน? แต่ว่าคนตระกูลชิงส่วนใหญ่นับถือน้าจิ้ง นอกจากนี้พวกเราก็พยายามที่จะทำให้นางได้รับอิสระอยู่ตลอดเวลา”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่สีหน้าของมู่เฉินก็สงบลง ชิงซวงไม่จำเป็นต้องโกหกเพราะสุดท้ายสักวันเขาก็จะได้รู้เรื่องพวกนี้

“เมื่อไรที่ข้าบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าจะมุ่งหน้าไปที่เผ่าฝูถูเพื่อช่วยเหลือท่านแม่ออกมา” มู่เฉินสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพูดด้วยความมุ่งมั่น

ชิงซวงและชิงหลิงอึ้งไปก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน บรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนเหรอ? พวกนางสามารถสัมผัสถึงน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่เฉินก็ทำให้ถึงกับพูดไม่ออก ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม กระทั่งชิงซวงที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม เพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับดังกล่าว แต่ตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่ายากเพียงใดที่จะข้ามไปสู่ระดับนั้นได้

ในมหาพันภพยิ่งใหญ่ บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอาจมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ

หากระดับตี้จื้อจุนเป็นราชันปกครองภูมิภาค ระดับเทียนจื้อจุนก็เป็นราชันของราชันที่มองมาจากเบื้องบน

อยู่ในจุดสูงสุดที่ไร้เทียมทาน

หากคนอื่นพูดอย่างมั่นใจว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนพวกนางอาจจะส่ายหน้าระอา แต่สำหรับมู่เฉินพวกนางรู้สึกได้เลือนรางว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ชายคนนี้พึ่งตัวเองมาไกลขนาดนี้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดของเผ่าฝูถูเลย

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็สามารถบีบให้แม่ทัพเผ่าเหยียนหมัวหนีไปได้ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเลย

จินตนาการได้ว่าถ้ามู่เฉินมีจุดเริ่มต้นเหมือนพวกเขา เขาจะอยู่ในสถานะเอื้อมไม่ถึงขนาดไหน?

ชิงซวงและชิงหลิงต่างถอนหายใจในใจ ‘มู่เฉินสมกับเป็นลูกท่านน้าจิ้งจริงๆ…’

“แต่แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุน ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งที่ดีกับเผ่าฝูถู” ชิงหลิงอดพูดออกมาไม่ได้ เพราะนางไม่รู้สึกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะสามารถกวนอะไรเผ่าฝูถูได้

มู่เฉินยิ้มเงียบ ไม่ได้พูดอะไร

ส่วนชิงซวงตกอยู่ในภวังค์ความคิด เหตุผลที่ท่านน้าจิ้งยอมถูกจองจำนานหลายปีในเผ่าไม่ใช่เพราะนางกลัว แต่เป็นเพราะนางต้องการปกป้องมู่เฉิน

ในตอนนั้นมู่เฉินที่ยังไม่โตเป็นจุดอ่อนที่สุดของชิงเหยี่ยนจิ้ง

แต่ถ้ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนละก็ ความอ่อนแอจะลดลงอย่างมาก ในเวลานั้นถ้ามู่เฉินปรากฏตัวในเผ่าคงไม่ง่ายนักที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะยอมถูกจองจำอย่างเชื่อฟัง

ในเวลานั้นเผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ทรงพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉิน ถ้าพวกตาเฒ่าล้านปีในเผ่าไม่คิดจะจ่ายราคาแบบต้องกระอัก ก็คงไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้เกี่ยวกับสองแม่ลูก

เนื่องจากพวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว กาลกิณีที่พวกเขาลืมเลือนได้เติบใหญ่จนไม่สามารถเอื้อมถึงได้

มู่เฉินไม่รู้ว่าชิงซวงคิดอะไรในใจ เขาแค่มองไกลออกไป “เป้าหมายของเจ้าคือวิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ให้เจ้าแน่”

เนื่องจากเขาได้เรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์มาแล้ว ถ้าเขาสามารถได้รับอีกวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอีก เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียวเมื่อตัวเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ชิงซวงส่ายหัวพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องคิดให้ข้าหรอก คิดหาวิธีจัดการเฉวียนหลัวและมั่วซินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเถอะ พวกเขาไม่ยอมให้เจ้าได้รับไปแน่นอน”

มู่เฉินยิ้ม “หากพวกเขาอยากสู้นัก ข้าก็ขอดูว่าพวกเขาสามารถทำให้ข้าล้มเลิกได้ไหม”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของชิงหลิงก็วูบไหวโดยไม่สามารถควบคุมได้ นางมองไปที่มู่เฉิน ชื่อเสียงของเฉวียนหลัวและมั่วซินยอดเยี่ยมมากในเผ่า แม้แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลชิงอย่างชิงซวงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้

แต่มู่เฉินไม่กลัวทั้งสองคน ซ้ำยังคงมั่นใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้หัวใจของชิงหลิงโลดขึ้นเลยทีเดียว

“อย่าประมาท พวกเขาสองคนเรียนรู้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยม ไม่มีใครในหมู่คนระดับเดียวกันเทียบได้” ชิงซวงเตือน

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเสมือนยอดเยี่ยมเรอะ?”

ดวงตาของมู่เฉินหดลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ทั้งสองมีความโดดเด่นในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายสักสองสามใบก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไร

“ข้าไม่เคยดูถูกพวกเขา แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ประมาทข้าเช่นกัน ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะต้องจ่ายในราคาจนหมดเนื้อหมดตัว” มู่เฉินมองออกไปไกลพลางยิ้ม

ชิงซวงมองไปที่ชายหนุ่มที่มีประกายคมชัดที่ไม่อาจปกปิดได้เล็ดลอดออกมาก็กัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับแววคาดหวังวาบในนัยน์ตา

นั่นเพราะนางอยากรู้ว่าเมื่อพวกเขาปะทะกันใครที่จะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู… มู่เฉิน เฉวียนหลัวหรือมั่วซิน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท