หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1317

ตอนที่ 1317

บทที่ 1317 ยาเซิ่งหวา
ในถ้ำ

ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับมองไปที่ทางเข้าพร้อมกับความกลัวฉายบนใบหน้า

เมื่อครู่พวกเขาเห็นเงาร่างสองร่างโผล่ออกมาจากมิติที่มู่เฉินและหวู่ทงเข้าไป พวกมันเปล่งความผันผวนอันรุนแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจากทั้งสองฝ่ายยังรู้สึกได้ถึงรัศมีความตาย

เห็นได้ชัดว่าเงาทั้งสองนี้แข็งแกร่งกว่าผู้คนที่นี่!

ทว่าเงาทั้งสองนั้นเหมือนจะวิ่งหนีบางอย่างออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับทั้งสองกลุ่มที่ยืนอยู่ เลย พวกมันหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด

“นั่นเผ่าปีศาจต่างมิติ!”

หลิงซีมองเงาร่างที่หายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อได้ยินดังกล่าว ใบหน้าของลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ความกังวลพล่านในดวงตาเมื่อมองไปที่มิติมังกรดำ

พวกปีศาจหนีออกมาจากมิติมังกรดำ นั่นก็หมายความว่าพวกมันจะต้องพบกับมู่เฉินและหวู่ทงในนั้น ไม่รู้ว่ามู่เฉินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็คิดไม่ต่างกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงแลกเปลี่ยนสายตาที่วูบไหวด้วยความกังวล

ตระกูลหวู่ก็แสดงสีหน้ากังวลเช่นกัน พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับมู่เฉิน พวกเขากลัวเผ่าปีศาจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหวู่ทงการเดินทางครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าแน่

ฟิ้ว!

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเป็นกังวล ทางที่เข้าสู่มิติมังกรดำก็สั่นไหว อึดใจต่อมาร่างเงาหนึ่งก็พุ่งออกมา

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน สุดท้ายก็ปรากฏร่างมู่เฉินให้เห็น

“มู่เฉิน!”

เมื่อพวกเวินชิงเฉวียนเห็นมู่เฉินออกมา พวกนางก็รู้สึกโล่งใจมาก ท่าทางคลายลงหลายส่วน

มู่เฉินพยักหน้าให้พรรคพวกด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นความกลัวลอยอ้อยอิ่งบนใบหน้าของพวกเขา หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกขณะถามว่า “พวกเจ้าเห็นเผ่าปีศาจหนีออกมาทางนี้เหรอ?”

ทุกคนพยักหน้าก่อนที่ลั่วหลีจะถามด้วยงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเผ่าปีศาจถึงไปอยู่ในมิตินั้น?”

“นั่นคือองค์ชายของเผ่าซือหมัวชื่อซือเทียนโยว มันแอบตามพวกข้าเข้าไปในมิติมังกรดำ” สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่พูดต่อ “มันขโมยศพราชันปีศาจไป”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหัวใจของทุกคนก็สั่นไหว ‘ขโมยศพราชันปีศาจไป?’

“มู่เฉิน นายน้อยพวกข้าอยู่ที่ไหน?!”

จอมยุทธ์ตระกูลหวู่ตะโกนถามและเริ่มแตกตื่นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินเหลือบมองมาอย่างเฉยเมย “หวู่ทง? ตายด้วยน้ำมือศพราชันปีศาจไปแล้ว”

เฮือก

ใบหน้าของกลุ่มตระกูลหวู่ซีดเผือด ส่วนใบหน้าของต่งซันตกใจสุดขีด เขาทราบชัดเกี่ยวกับพลังของหวู่ทง แต่คนที่มีทรงพลังอย่างหวู่ทงยังต้องจบชีวิตในมิติมังกรดำหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ชัดว่าเขาตายด้วยน้ำมือของศพราชันปีศาจหรือมู่เฉิน

ดังนั้นแต่ละคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัว

“ไป!”

สายตาของต่งซันไหวระริก จากนั้นก็กระชากเสียง ร่างเขาทะยานออกไปพร้อมกับกลุ่มมือสังหารปีศาจ

ในเมื่อหวู่ทงตายแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันอีก ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อก็เป็นการให้โอกาสอีกฝ่ายในการสังหารพวกเขาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย

จอมยุทธ์จากตระกูลหวู่เห็นก็ขบฟัน จากนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว พวกเขาแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อไป

เมื่อเห็นพวกเขาตัดสินใจออกไปอย่างเด็ดขาด สายตาของมู่เฉินก็วูบไหว แต่สุดท้ายก็ระงับความคิดที่จะฆ่าพวกเขาไว้ นั่นเป็นเพราะหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มต้องการที่จะไปก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะหยุดอีกฝ่าย

หากตกอยู่ในหายนะที่น่ากลัวระหว่างการตามล่ากลับต้องรับหายนะไปเอง

นอกจากนี้มู่เฉินก็ไม่ได้กังวลว่าตระกูลหวู่มองเขาเป็นศัตรูหรือไม่เมื่อพวกเขารู้ว่าหวู่ทงตาย ตระกูลหวู่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องดูแลเขตแดนของตน คงไม่สามารถออกมาอย่างง่ายดาย สำหรับจอมยุทธ์ที่ขุมพลังต่ำกว่านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากนัก

ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการเก็บเกี่ยวสมบัติในมรดกนี้

“อื้อหือ เปิดหนีเร็วมาก”

เมื่อเห็นศัตรูจากไปอย่างรวดเร็ว เวินชิงเฉวียนก็เค้นเสียงเย็นชา นางไม่มีความคิดที่จะไล่ตามพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นนางจึงหันมาหามู่เฉินแทน “ต่อจากนี้ตระกูลเวินของข้าจะทำสงครามกับตระกูลหวู่ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการล้างแค้นของพวกมัน”

ถึงยังไงนางก็เป็นคนชวนมู่เฉินมาช่วย แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าใครฆ่าหวู่ทง แต่ตระกูลหวู่ต้องโยนความแค้นลงที่มู่เฉินแน่ ดังนั้นตระกูลเวินมีหน้าที่ต้องปกป้องมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า เขาไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของเวินชิงเฉวียน ก่อนที่จะหันไปทางกระแสมิติ มือของเขาประสานกันวาดทักษะลับ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินวาดกระบวนท่าทักษะลับ มิติมังกรดำก็เปล่งเสียง กระแสมิติลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นแสงสีม่วงตกลงในมือของมู่เฉิน

นี่คือแหวนมังกรดำที่กำจายคลื่นมิติอันผันผวน

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานกับภาพนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เนื่องจากมีมิติเปิดอยู่ในวงแหวน มิหนำซ้ำยังสามารถให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ได้ด้วย

เมื่อคนอื่นๆ เห็นอุโมงค์มิติกลายเป็นวงแหวน พวกเขาก็เบิกตาค้าง

“เจ้าได้รับกองทัพมังกรดำเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดถามออกมาไม่ได้

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องซ่อนเพราะใครๆ ก็เดาได้

เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้าพรรคพวกก็หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มองมู่เฉินราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด นั่นเป็นเพราะพวกเขาทราบชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกองทัพมังกรดำ

หากมีวันหนึ่งที่มู่เฉินสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

เมื่อเห็นการเก็บเกี่ยวของมู่เฉิน แม้แต่เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่ดวงตาจะลุกโชน

“ดูเหมือนเจ้าจะเป็นผู้ชนะยิ่งใหญ่ในมรดกนี้สินะ” เวินชิงเฉวียนแกล้งเหน็บ ทว่าในคำพูดของนางไม่มีความอิจฉาริษยาเลย ในฐานะคนที่มีความภาคภูมิใจ นางจะไม่อิจฉาคนอื่นในเรื่องเก็บเกี่ยวได้มากกว่า เพราะนางรู้ว่านี่เป็นความสามารถของบุคคลล้วนๆ

ทว่ามู่เฉินกลับรู้สึกลุแก่โทษเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลมรดกนี้มาจากเวินชิงเฉวียน หากไม่ใช่คำเชิญของนาง มู่เฉินก็ไม่มีทางค้นพบมรดกนี้ได้

“เราแบ่งเม็ดยากันครึ่ง-ครึ่งเหมือนเดิมเถอะ” มู่เฉินกล่าวว่า ก่อนหน้าตอนที่เวินชิงเฉวียนได้รับมรดก นางเสนอที่จะทำการเปลี่ยนแปลงในการแบ่งเป็นแปดต่อสอง

เวินชิงเฉวียนส่ายหน้าขณะเชิดใบหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “ในเมื่อข้าบอกว่าแปดต่อสองก็เป็นไปตามนั้น นี่เป็นความสามารถของเจ้าเองที่ได้รับกองทัพมังกรดำ พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร”

เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของเวินชิงเฉวียน มู่เฉินก็อดยิ้มจนใจไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า เพราะนึกได้ว่าตอนนี้เขาต้องการกำลังสนับสนุนสำหรับกองทัพจอมเขมือบ

หากเขาไม่มีของเหลวจื้อจุนเพียงพอ กองทัพมังกรดำจะไม่มีทรัพยากรในอีกครึ่งปี

“มาแบ่งเม็ดยาในมรดกกันก่อนเถอะ” ลั่วหลียิ้มบาง

เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ทุกคนก็เงยหัวขึ้นมองบนถ้ำ พวกเขาเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเบื้องบน โดยที่ดาวทุกดวงก็คือเม็ดยาล้ำค่า

เมื่อเวินชิงเฉวียนโบกมือหม้อกลั่นผีเสื้อโอสถก็ทะยานออก คลื่นแสงเปล่งประกายพุ่งออกมา กวาดเม็ดยาลงหม้อ

กระบวนการนี้กินเวลานานสิบกว่านาที ก่อนที่ดวงดาวจะค่อยๆ ลดปริมาณลง

จากนั้นเวินชิงเฉวียนก็หลับตาครู่หนึ่ง เพื่อนับจำนวนเม็ดยาในหม้อ ก่อนที่ความตะลึงใจจะปรากฏบนใบหน้า “มีเม็ดยาทั้งหมดแปดร้อยเม็ด!”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็อดอุทานไม่ได้

เพราะทุกคนตระหนักดีว่าเม็ดยาเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่าที่เหลืออยู่ของภูตผีเสื้อโอสถ ถ้านำออกไปประมูลในมหาพันภพละก็ เพียงเม็ดเดียวราคาก็สามารถไปถึงของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดเลยทีเดียว

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ด้วยเม็ดยาเหล่านี้เขาไม่ต้องกังวลกับของจื้อจุนสำหรับกองทัพมังกรดำอีกพักใหญ่

เวินชิงเฉวียนพลิกนิ้วเบาๆ ลำแสงห้าสายก็ยิงออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่ พวกมันลอยคว้างที่เบื้องหน้านาง กระจายความบริสุทธิ์และน่าอัศจรรย์ของคลื่นหลิง

เมื่อแสงเหล่านั้นค่อยๆ จางหาย ยาผลึกอัญมณีห้าเม็ดก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน พื้นผิวของเม็ดยาเหล่านั้นปกคลุมด้วยลวดลายธรรมชาติ ซึ่งพิสูจน์ถึงคุณภาพที่เหนือล้ำของเม็ดยาทั้งห้า

เมื่อเม็ดยาทั้งห้าปรากฏขึ้น มู่เฉินก็จ้องเขม็งก่อนจะเลื่อนสายตาที่ลุกโชนไปทางเวินชิงเฉวียน

เวินชิงเฉวียนยิ้มตอบว่า “นี่คือเม็ดเซิ่งหวา”

“พวกข้าจะรับไปเม็ดเดียว อีกสี่เม็ดเป็นของพวกเจ้า” เวินชิงเฉวียนคว้าเม็ดยาไว้หนึ่งเม็ด ก่อนที่จะโบกมือ เม็ดยาสี่เม็ดก็บินไปที่มู่เฉิน

มู่เฉินรับเม็ดยาอย่างระมัดระวัง จ้องมองเม็ดยากลมเกลี้ยงสมบูรณ์ในมือก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นรอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขารู้ว่าด้วยยาเซิ่งหวานี้ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสในการพัฒนาทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท