หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1336

ตอนที่ 1336

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1336 จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง
ตู้ม!

ศพราชันปีศาจระเบิดออก รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดสร้างความหายนะ ราวกับเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าเหนือแท่นบูชา

ฉากนี้เรียกเสียงหวาดหวั่นจำนวนมาก ทุกคนอึ้งตะลึงงันมองไปที่ร่างของซือเทียนโยวด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะให้ศพราชันระเบิดตัวเอง

แม้แต่จอมยุทธ์เผ่าปีศาจยังอึ้งไป ในฐานะสมาชิกพวกเขารู้ดีถึงคุณค่าของศพราชัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเผ่าซือหมัวมูลค่าของศพราชันนั้นมีค่าเหลือคณนา

“ไอ้นั่นบ้าไปแล้ว!”

ดวงตาของมั่วซิน เฉวียนหลัวและคนอื่นๆ วูบไหว ก่อนหน้าพวกเขาหวาดกลัวศพราชันปีศาจ แต่ตอนนี้ซือเทียนโยวได้รับบาดเจ็บหนักและศพราชันก็ระเบิดตัวเอง การคุกคามจากซือเทียนโยวจึงลดลงอย่างมีนัย

ทว่าเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์มหาพันภพ สายตาของมู่เฉินกลับเคร่งเครียดลงขณะที่จ้องมองไปที่เมฆปีศาจ ความไม่สบายใจก็ตีกวนในหัวใจ

ซือเทียนโยวต้องรู้ชัดเจนกับมูลค่าของศพราชันปีศาจ แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะระเบิดโดยไม่ลังเลใดๆ ดังนั้นเขาต้องรู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่ดีกว่าแทน

แต่ตอนนี้มีประโยชน์อะไรที่สำคัญไปกว่าศพราชันปีศาจ?

สายตาของมู่เฉินหันไปที่ใจกลางแท่นบูชา โลงศพสีดำถูกปิดผนึกด้วยเสาหิน… มีชิ้นส่วนวิญญาณของราชันปีศาจอยู่ในนั้น

“เฮ้ รู้สึกได้แล้วเหรอ?”

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน ซือเทียนโยวก็ยิ้มก่อนที่มือจะวาดตราประทับ ทันใดนั้นเมฆปีศาจก็เริ่มหมุนคว้าง ไม่กี่ลมหายใจต่อมาของเหลวขนาดเท่านิ้วมือสิบกว่าหยดก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าตกลงบนโลงศพสีดำ

“นั่นคือ…แก่นเลือดราชัน?!”

มู่เฉินรู้สึกไม่สบายใจมาก เมื่อมองไปที่ของเหลวสีดำ เนื่องจากรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่มาจากพวกมัน

แก่นเลือดเหล่านี้มาจากศพราชันที่ระเบิดแล้วกลั่นแก่นแท้เลือดจริงสิบกว่าหยดออกมา!

ชี่ ชี่!

เมื่อแก่นเลือดตกลงบนโลงศพหินสีดำ มู่เฉินก็เห็นมันถูกดูดซับเข้าไปทันที อึดใจโลงศพก็สั่นสะเทือน รัศมีปีศาจหนาแน่นรั่วไหลออกมา

โซ่ที่พันโลงศพถูกกัดกร่อนเป็นรูจากรัศมีปีศาจ…

“นรกแล้ว โลงศพกำลังจะแตก!” ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปทันทีกับฉากนี้

ตอนนี้เองจอมยุทธ์มหาพันภพก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อพวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงบนโลงศพ ใบหน้าแต่ละคนก็ซีดเผือด ความกลัวพล่านในส่วนลึกของดวงตา

พวกเขาไม่คิดว่าหลังจากกำจัดภัยคุกคามแบบซือเทียนโยวได้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่า

หากเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนเป็นอิสระละก็ พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบพวกเขาจะเผชิญหน้าได้

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังสยดสยอง ศิลาทั้งสี่ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเศษวิญญาณ ทันใดนั้นศิลาก็ระเบิดแสงเจิดจ้าออกมาเพื่อระงับโลงศพที่สั่นสะท้าน

ทุกคนรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็น

ปัง!

แต่พวกเขารู้สึกโล่งใจไม่ทันไร อึดใจศิลาหนึ่งในสี่ก็ระเบิดก่อร่างเป็นภาพร่างที่ด้านบน

นั่นก็คือแท่นบูชาเช่นกัน แต่มีร่างปีศาจขนาดยักษ์คำรามไปลั่นชั้นฟ้าพร้อมกับหัวโชกเลือดอยู่ในมือ

เมื่อมู่เฉินและบรรดาจอมยุทธ์มหาพันภพเห็นหัวนั่น ม่านตาของพวกเขาก็หดลงก่อนที่เสียงอุทานจะดังขึ้น “นั่นไป่จู๋!”

ใบหน้าของมู่เฉินน่าเกลียดลงหลายส่วน ไป่จู๋เป็นหนึ่งในมือสังหารปีศาจขั้นสูงจากมหาพันภพ ซึ่งเลือกเข้าสู่ชั้นผู้อาวุโสเชียง เขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้ที่เข้าไปในชั้นนั้น

แต่ตอนนี้ชัดว่าถูกฆ่าตายแล้ว

แบบนี้ก็หมายความว่าชั้นผู้อาวุโสเชียงแตกแล้ว… และศิลาที่ถูกทำลายก็บอกว่าเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนบนชั้นนั้น ถูกปลดปล่อยออกไป!

“ตอนนี้มีวิญญาณจอมปีศาจถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว เศษวิญญาณจะเข้าห้ำหั่นสู้กับปณิธานที่เหลืออยู่ของบรรพชนทั้งสี่หากอีกส่วนหนึ่งถูกปลดปล่อย ในเวลานั้นตราประทับเจดีย์สี่เทวะก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก”

ดังนั้นพวกเขาต้องไม่ปล่อยให้เศษวิญญาณในชั้นนี้หลุดออกไปได้!

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่ความคิดวูบไหว โลงศพจอมปีศาจที่ถูกระงับไว้ก็เริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง ศิลาทั้งสามพยายามปราบปราม แต่ก็ไม่สามารถทำให้สงบลงได้

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านในฉากนี้ เนื่องจากการต่อสู้ในระดับนี้อยู่เหนือการควบคุมและเขาได้แต่มองดูทั้งสองปะทะกันเท่านั้น

ทว่าการสูญเสียศิลาไปหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อเจดีย์สี่เทวะ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปรัศมีปีศาจที่ออกมาจากโลงศพที่ดูดซับเลือดกลั่นไปก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

ตู้ม!

ในที่สุดการต่อสู้ก็มาถึงจุดสำคัญแล้ว แสงปีศาจนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากโลงศพ จนโลงศพไม่สามารถทนได้อีกเกิดระเบิดขึ้น

แสงปีศาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องด้วยความบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ข้าจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง!”

รัศมีปีศาจรวมตัวกันเป็นภาพเงาราวร้อยจั้งที่ปล่อยผม ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยขนสีดำ ปลดปล่อยรัศมีน่ากลัวที่ไม่สามารถจินตนาการได้ออกมา

ภายใต้รัศมีนั้น แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกกลัวจนไม่สามารถต้านทานได้

จอมยุทธ์คนอื่นๆ แห่งมหาพันภพรู้สึกเข่าอ่อนยวบ แทบจะคุกเข่าลง การเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียน แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต่อกรได้

กลับกันจอมยุทธ์เผ่าปีศาจก็ส่งเสียงโห่ฮาสะใจ

“คึๆ เจ้าเป็นคนปล่อยข้าคนนี้เหรอ?” ภาพเงาจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงก้มศีรษะลงมองไปที่ซือเทียนโยวพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าจะใช้ร่างเจ้า!”

ก่อนที่ซือเทียนโยวจะทันได้ตอบ ลำแสงปีศาจก็ดิ่งลงมาพุ่งใส่หัวของซือเทียนโยว เนื่องจากจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเป็นเพียงเศษวิญญาณ จึงจำเป็นต้องครอบครองร่างกายเพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยพลังได้ดีขึ้น

เมื่อจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงครอบครองร่าง ดวงตาของซือเทียนโยวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นโลหะดูแข็งแรงเป็นพิเศษ

จอมปีศาจเคลื่อนไหวสั้นๆ ก่อนที่แสยะยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นสมาชิกเผ่าซือหมัว ร่างกายใช้ได้ ดูเหมือนข้าจะสามารถใช้พลังของตนได้มากขึ้น”

ขณะที่พูดเขาก็หันไปทางแท่นบูชา ความป่าเถื่อนและจิตสังหารพล่านในสายตา “ไอ้โคตรนรก แกปราบปรามวิญญาณของข้ามาเนิ่นนาน ตอนนี้มาดูสิว่าข้าจะทำลายแกยังไง!”

ตู้ม!

ขณะที่พูดก็ฟาดฝ่ามือออกไป รัศมีปีศาจพวยพุ่งกลายเป็นตราประทับปีศาจหมื่นจั้งที่มีพลังเหนือจินตนาการบินไปยังแท่นบูชา

ฮึ่ม!

แต่เมื่อคลื่นพลังกำลังจะกระแทกแท่นบูชา ศิลาตรงกลางก็ระเบิดแสงโบราณออกมา ร่างสูงวัยปรากฏขึ้น

เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งออกมา ราวกับเมฆที่แต่งแต้มด้วยเฉดสีของพระอาทิตย์ตก บดบังตราประทับปีศาจไว้

“เสี่ยเจียง ไม่คิดว่าสุดท้ายแกก็หลบหนีออกมาได้” ร่างสูงวัยถอนหายใจ

จอมยุทธ์มหาพันภพอึ้งไปเมื่อเห็นร่างนั้น จากนั้นเฉวียนหลัว มั่วซินและชิงซวงก็อุทานด้วยความปีติยินดี “ท่านบรรพบุรุษ!”

ภาพเงานี้ก็คือปณิธานที่เหลืออยู่ของผู้อาวุโสฝูถู!

“ฮ่าๆ ไอ้แก่ฝูถู ดูเหมือนว่าแผนการของแกที่จะฆ่าพวกข้าล้มเหลวไม่เป็นท่า เจดีย์สี่เทวะได้รับความเสียหายบางส่วนแล้ว เมื่อไรข้าฆ่าแกได้ เจดีย์นี้ก็จะแสดงข้อบกพร่อง อีกไม่นานพวกข้าทุกคนจะได้รับการปลดปล่อย!” ซือเทียนโยวที่โดนสิงมองไปที่ผู้อาวุโสฝูถูพลางหัวเราะร่า

ผู้อาวุโสฝูถูส่ายหน้าตอบว่า “ข้าจะให้แกทำสำเร็จตามแผนได้ยังไงล่ะ?”

“แกคิดจะขัดขวางข้าด้วยปณิธานจ้อยร่อยเนี่ยนะ?” เสี่ยเจียงหัวเราะเยาะเย้ย “ร่างของเจ้าหนุ่มจากเผ่าซือหมัวนี่เหมาะกับข้ามาก งานนี้ข้าชนะแน่!”

ผู้อาวุโสฝูถูยิ้มเมื่อได้ยิน “ก็ไม่แน่”

เมื่อพูดจบเขาก็กวาดสายตาออกไป

ฟิ้ว ฟิ้ว!

เฉวียนหลัวและมั่วซินทะยานไปที่แท่นบูชาพูดเสียงดังฟังชัด “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าสองคนยินดีที่จะช่วยท่านในการฆ่าไอ้ปีศาจนี่!”

ทั้งสองกระตุ้นเจดีย์ในร่างกายทันที เจดีย์สุกใสและเจดีย์สีดำลอยอยู่เหนือหัวใจ ปล่อยความผันผวนน่าอัศจรรย์ออกมา

พวกเขาเสนอตัว เนื่องจากรู้ดีว่าหากสามารถช่วยเหลือผู้อาวุโสฝูถูในการสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็มีสิทธิ์ได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์!

“หน้าด้าน!”

ชิงหลิงด่ากราดกับภาพที่เห็น มู่เฉินทำงานหนักมากระหว่างการต่อสู้เพื่อให้ได้สถานการณ์เช่นนี้มา แต่เจ้าสองคนนั่นดันเสนอหน้าคิดจะเก็บเกี่ยวผลงานของมู่เฉิน

ผู้อาวุโสฝูถูประหลาดใจเมื่อเห็นเจดีย์เหนือศีรษะของพวกเขา จากนั้นเขาก็พูดด้วยความพึงพอใจ “ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ลูกหลานของเผ่าฝูถูโบราณจะโดดเด่นเช่นนี้”

เฉวียนหลัวและมั่วซินสุขใจทันทีเมื่อได้ยินคำชม

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้แสดงความดีใจบนใบหน้า ผู้อาวุโสฝูถูก็มองไปที่มู่เฉิน “แต่เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสังหารปีศาจ”

“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้ข้าได้เห็นศักยภาพของเจ้าแล้ว เจ้าโดดเด่นอย่างมาก แม้แต่ในสมัยโบราณก็มีไม่กี่คนในเผ่าที่สามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้” ผู้อาวุโสฝูถูคลี่ยิ้มอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยิน แต่กลับตกอยู่ในความเงียบ

รอยยิ้มของเฉวียนหลัวและมั่วซินค้างบนใบหน้า ก่อนที่พวกเขาจะพูดรัวเร็วว่า “ท่านบรรพบุรุษ เจ้านั่นเป็นตัวกาลกิณีของเผ่า ท่านไม่ควรเลือกเขา!”

ผู้อาวุโสฝูถูก็อึ้งไป ก่อนที่จะตรวจสอบมู่เฉินพลางขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันไปมองเฉวียนหลัวและมั่วซินพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าหนูนี่มีนิสัยอดทนพากเพียร เขาไม่ถอยแม้จะเผชิญหน้ากับศพราชัน นิสัยของเขาไม่น่าจะเลวร้าย จะเป็นตัวกาลกิณีได้ยังไง?

เฉวียนหลัวกับมั่วซินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดเสียงเบา “แม่ของเขากระทำบาปกับคนนอก ปล่อยให้สายเลือดสูงส่งของเรารั่วไหลออกไป นี่ถือเป็นบาปใหญ่!”

ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสฝูถูจะโมโหทันทีที่ได้ยินพลางก่นด่า “เหลวไหล! เผ่ามองว่าเขาเป็นคนบาปเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ? ตอนนี้เผ่าฝูถูปัญญาอ่อนขนาดนี้ได้ยังไง?!”

เฉวียนหลัวและมั่วซินมองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสฝูถูจะปฏิเสธบาปนี้

หลังจากตำหนิทั้งสอง สายตาของผู้อาวุโสฝูถูก็ดูอ่อนโยนเมื่อหันไปหามู่เฉิน “เจ้าหนู เต็มใจจะช่วยตาแก่คนนี้ฆ่าปีศาจหรือไม่”

แววตาของมู่เฉินซับซ้อน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบคนของเผ่าฝูถูที่ไม่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะกาลกิณี ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกเสียงดังก้องไปทั่วชั้นฟ้า ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินเขียวคล้ำ

“ข้าน้อยยินดีที่จะช่วยเหลือสุดกำลังขอรับ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท