หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1288

ตอนที่ 1288

บทที่ 1288 สองค่ายกล
อีกหนึ่งเดือนต่อมา

มู่เฉินที่อยู่ในคุกก็เปิดดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเผยความเปล่งประกายที่ดูลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนกลับมาเป็นปกติ

ฮา

ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ได้จางหาย กลับรวมตัวกันที่เบื้องหน้ากลายเป็นค่ายกลขนาดเล็กจิ๋ว

แม้จะเป็นค่ายกลที่เรียบง่าย แต่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยลมหายใจของมู่เฉิน เพียงแค่นี้ก็สามารถบอกได้ว่ามู่เฉินได้รับพัฒนาการเพิ่มขึ้นมหาศาลกับความสำเร็จด้านค่ายกล

ในอดีตเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน!

“แต่น่าเสียดายที่ยังห่างจากหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ครึ่งก้าว”

มู่เฉินมองค่ายกลที่ก่อตัวจากหมอกสีขาวที่ค่อยๆ หายไปก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย ทว่าความเสียดายครั้งนี้กินเวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป

เนื่องจากมู่เฉินสัมผัสได้ถึงการยกระดับอันน่าทึ่งจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับค่ายกลในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นี่ไม่ง่ายอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ที่จะเข้าไปในขอบเขตหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้

แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าตราบใดที่เขาเรียนรู้ประสบการณ์ที่มารดามอบให้ไปเรื่อยๆ การบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา

ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะไม่สร้างความก้าวหน้า แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ตนเองมีคุณสมบัติใช้ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูงได้แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสในการล้มเหลวจะสูงขึ้น

ดังนั้นโดยภาพรวมเขาได้รับประโยชน์มากมายจากครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้ในอีกไม่ช้า แต่เขายังเริ่มเข้าใจถึงทิศทางของการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซืออีกด้วย นี่จะเป็นประโยชน์มหาศาลและช่วยเขาแก้ปัญหามากมายในอนาคต

ยิ่งกว่านั้นมารดายังทิ้งสิ่งที่สำคัญสองอย่างไว้ให้เขา ภาพค่ายกลสองภาพ

ภาพแรกเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง—ค่ายกลเพลิงคำราม

ส่วนภาพที่สองน่ากลัวยิ่งกว่าซึ่งเป็นค่ายกลระดับต้าจงซือ

ค่ายกลฆาตตะวัน!

เพียงแค่ชื่อก็ทำให้มู่เฉินต้องแอบเดาะลิ้นแล้ว แต่เขาก็ปรารถนาที่จะรู้ถึงพลังทำลายล้างของค่ายกลนี้เสียจริง

เพราะค่ายกลระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังต้องหวาดกลัว

น่าเสียดายที่เขาสามารถเข้าใจค่ายกลระดับจงซือและลองสร้างได้เท่านั้น ส่วนค่ายกลระดับต้าจงซือ มู่เฉินถึงกับหัวใจสั่นสะท้านตั้งแต่การมอง ไม่ต้องพูดถึงการลองสร้าง กระทั่งวิถีการฝึกก็ยังไม่สามารถมองดูได้

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลระดับนั้นยังห่างไกล

ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงต้องปล่อยอยู่ในห้วงจิตไปก่อน รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะศึกษาได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับเขาก็คือทำความเข้าใจค่ายกลเพลิงทะยาน เมื่อเขาสามารถจัดการได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว

ความคิดมากมายวาบผ่านในใจ จากนั้นมู่เฉินก็ก้มลงมองไปที่ก้อนหินสีดำพลางยิ้มให้ “ท่านแม่วางใจเถอะ วันใดที่ข้าบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือก็จะเป็นเวลาที่ข้าไปรับท่านออกจากเผ่าฝูถู!”

ในเวลานั้นเขาก็จะสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เคยไกลเกินเอื้อมได้

วางมือลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขาก็ไม่อ้อยอิ่งลุกขึ้นยืนหายตัวไปทันที

ในศาลา

มู่เฉินปรากฏตัวเบื้องหน้าลั่วหลีและหลิงซี ดวงตาของพวกนางถึงกับแววแสงแห่งความดีใจ

“เป็นยังไงบ้าง?” หลิงซีถามขณะที่มองมู่เฉิน

“อีกก้าวเดียว” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อหลิงซีได้ยินก็ไม่ผิดหวัง นางพยักหน้าเบาๆ ตัวนางมุ่งเน้นอยู่ในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลเป็นเวลานาน ดังนั้นนางจึงรู้ว่ายากแค่ไหนที่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับความเข้าใจและประสบการณ์ของท่านน้าจิ้ง แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินจะย่อยได้ในเวลาเพียงสองเดือน

นอกจากนี้มู่เฉินก็เหมือนจะเก็บเกี่ยวไม่น้อย ดูเหมือนเขามั่นใจว่าจะบรรลุระดับนั้นได้ในไม่ช้า

“ที่นี่ไม่สมควรอยู่นาน เรารีบไปกันเถอะ” มู่เฉินมองลั่วหลีกับหลิงซีขณะที่พูด

ที่นี่เป็นเขตของเผ่าฝูถู แม้ว่ากู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูจะหนีไปแล้ว แต่หากทางเผ่ารู้เรื่องเข้าละก็ จะต้องส่งผู้เชี่ยวชาญทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมมาเยี่ยมเกาะนี้ ดังนั้นพวกเขาเดือดร้อนแน่หากอยู่ที่นี่นานเกินไป

แม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ยโส เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับยักษ์อย่างเผ่าฝูถูแบบคนเดียวโดดๆ เป็นวิธีที่โง่เง่าที่สุด

ลั่วหลีกับหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดว่า “เราวางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังแดนเซิ่งยวน”

“แดนเซิ่งยวน?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่พวกนางพูดถึง

ลั่วหลียิ้มบางเล่ารายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนให้มู่เฉินฟัง ตามด้วยเรื่องที่นางตกลงกับชื่อเหยียนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง

“เจ้าตกลงกับตาเฒ่านั่นว่าจะลงแข่งตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเหรอ?” หลังจากได้ยินคำพูดของลั่วหลี มู่เฉินก็ตกใจ เขาไม่ได้สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน กลับรีบถามอย่างกังวล

เขารู้ดีว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดกับตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง

เมื่อเห็นความกังวลของมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลั่วหลีก็รู้สึกหวานในใจนางยิ้มบาง “เผ่าไท่หลิงมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ถ้าข้าได้เป็นธิดาเทพได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวเองเช่นกัน”

แม้ว่านี่คือเหตุผลที่นางให้มา เขาก็เข้าใจดี ในฐานะคนคล้ายคลึงกัน เราสองคนมีทั้งความอิสระและมั่นใจในตัว นางภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้นแม้ว่านางจะต้องพึ่งพาตัวเองก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก

ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าในการตัดสินใจของนาง อาจเป็นเพราะต้องการให้ความช่วยเหลือเขาในอนาคต

เพราะฉะนั้นเขาจึงมองไปที่ลั่วหลีด้วยสายตาซับซ้อน ขณะที่หญิงสาวยิ้มกุมมือเขาไว้ ชัดว่านางตัดสินใจทำเรียบร้อย

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ดังนั้นจึงเลือกจดจำสิ่งที่ลั่วหลีทำเพื่อเขา ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพราะในเมื่อนางตัดสินเช่นนี้ เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสนับสนุน

“แต่ไม่คิดว่าวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณจะอยู่ในแดนเซิ่งยวน วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่สามารถสั่นสะเทือนมหาพันภพได้”

ตอนนี้มู่เฉินถึงได้หันเหความสนใจไปวิชาในตำนานทั้งสองแล้วอดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้ สำหรับคนที่ฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอย่างเขา เข้าใจถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่วิชาเหล่านี้มีได้ดี

วิชาเหล่านี้นับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในมหาภพเลย

การเผชิญหน้ากับวิชายอดเทพเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังถูกล่อลวงไปด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงคงจะไม่ใช้ความพยายามมากมายในการได้รับวิชาทั้งสองมาครอบครอง

“หากข้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็อาจจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ขณะที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกับระดับเทียนจื้อจุนยากที่จะเติมเต็ม ทว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานอาจสามารถถมช่องว่างเหล่านั้นได้

“เฮ้ เจ้าช่างคิดดีจริงๆ พวกประมุขน้อยเผ่าฝูถูก็สนใจวิชาเจดีย์แปดองค์เช่นกัน ไม่ง่ายที่เจ้าจะคว้าจากพวกเขามาได้หรอก” ชื่อเหยียนมองเห็นความคิดของมู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ

แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าโดดเด่น แต่ก็ขาดการสนับสนุนจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเมื่อเทียบกับประมุขน้อยที่ได้เพลิดเพลินไปกับทรัพยากรที่มีในเผ่า เขาก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย

แต่ตอบสนองต่อชื่อเหยียน มู่เฉินกลับยิ้ม “เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่หัวเราะ ถ้าไม่ลอง”

ชื่อเหยียนรู้สึกประหลาดใจต่อปฏิกิริยาของมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีความคิดสุขุมด้วยวัยเท่านี้

“ไอ้หนู เจ้าใช้ได้เลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีสายเลือดเผ่าฝูถู ตาเฒ่าคนนี้ต้องลากเจ้าเข้าร่วมเผ่าไท่หลิงแน่นอน” ชื่อเหยียนลูบเคราเบาๆ

การที่สามารถเข้าถึงระดับปัจจุบันได้ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยพึ่งพาตัวเอง ในบางแง่มุม เหล่าประมุขน้อยคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูไม่สามารถทำได้จริงๆ

“ฮ่าๆ ข้าละอยากเห็นปฏิกิริยาพวกเต่าล้านปีในวันที่เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนจริงๆ… ฮ่าๆ ไอ้ผีเฒ่าพวกนั้นพูดว่าเผ่าไท่หลิงของข้าไม่ยืดตามคำสอนโบราณ ปนเปื้อนสายเลือดอันสูงส่ง ช่างหัวโบราณจริงๆ”

เมื่อเห็นท่าทางของชื่อเหยียน มู่เฉินก็รู้สึกจนใจก่อนจะประสานมือ “ท่านเซียนชื่อเหยียนต้องรบกวนเรื่องพาเข้าสู่แดนเซิ่งยวนด้วยนะขอรับ”

“นี่เป็นเรื่องที่ข้าสัญญาไว้กับลั่วหลี แต่ว่าข้าสามารถส่งพวกเจ้าเข้าไปได้เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าสองคนจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์และช่องแสงวิญญาณโบราณหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว” ชื่อเหยียนโบกมือ

มู่เฉินพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นเราจะไปกันได้เมื่อไร?”

“เวลาไม่คอยท่า ไปกันเลย!”

ชื่อเหยียนไม่ได้เป็นคนชักช้า จึงไม่พูดมากเพียงโบกมือ น้ำเต้าสีแดงก็ขยายขนาดเร็วรี่จนใหญ่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ก่อนที่เขาจะวาบหายไปปรากฏที่ด้านบนทันที

มู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงติดตามกระชั้นชิด ทะยานขึ้นไปบนน้ำเต้าเช่นกัน

“ออกเดินทาง!”

ชื่อเหยียนหัวเราะร่วน ตัวน้ำเต้าก็สั่นไหว มิติเบื้องหน้าบิดเบี้ยวกลายเป็นอุโมงค์มิติ จากนั้นน้ำเต้าก็บินเข้าไป

มู่เฉินนั่งอยู่บนน้ำเต้า มองไปแสงสีเข้มเดินทางมิติ ประกายไฟที่ไม่สามารถอธิบายได้วูบไหวในนัยน์ตา

“ประขุมน้อยเผ่าฝูถูเรอะ”

“ไม่ว่ายังไงข้าไม่ให้วิชาเจดีย์แปดองค์ไปหรอก”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท