หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1340 ผู้สืบทอดมรดก
“สำเร็จเหรอเนี่ย?”
มู่เฉินมองไปที่ป้ายสังหารปีศาจที่มีประกายสีทองกะพริบอยู่บนนั้นด้วยความตกใจ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากคำว่าราชันสังหารปีศาจ
ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นเพียงความคิดที่จะลอง เขาไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่นี่กลับสำเร็จจริงๆ
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย-ราชันสังหารปีศาจ” ฝูถูมองไปที่ป้ายสีทองในมือของมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้บนใบหน้า
วังมหาพันภพมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฝูถูจึงรู้เรื่องสถานะราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ อาจกล่าวได้ว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนมีสถานะที่สำคัญในมหาพันภพ การดำรงอยู่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ด้วยการแตะเท้าเบาๆ
แต่ตอนนี้มีราชันสังหารปีศาจที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นับจากนี้ไปวังมหาพันภพจะมีราชันที่อ่อนแอที่สุด” ฝูถูเอ่ยแซว
ใบหน้าของมู่เฉินปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็เป็นการล้างสมองของฝูถูที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเหลือบมองท่านบรรพบุรุษก่อนจะเก็บป้ายสังหารปีศาจ จากนั้นก็หันไปดูแผ่นภาพผนึกปีศาจ ร่างเงาของเสี่ยเจียงจางลงและกำลังจะหายไป
“อ็อก”
เสียงคร่ำครวญดังขึ้น ร่างปีศาจก็หดเล็กลง รัศมีที่ทำให้มู่เฉินหวาดกลัวก็เริ่มหายไป
ขณะนี้จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงสูญสลายไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้ว่าเสี่ยเจียงจะหายไปจากโลกตลอดกาล แต่ภาพเงาก็ยังคงสั่นสะท้านพร้อมเสียงคำรามก้อง “ปล่อยข้าออกไป!”
“นั่นเสียงซือเทียนโยวนี่” คิ้วของมู่เฉินเลิกขึ้น ด้วยการทำลายล้างเสี่ยเจียง ทำให้ซือเทียนโยวกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
“เจ้าอยากทำอะไรกับมัน” ฝูถูมองไปที่มู่เฉินขณะถาม
“กำจัดมันทิ้ง” มู่เฉินพูดแบบไม่ลังเลใดๆ ซือเทียนโยวเป็นสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติ มิหนำซ้ำยังเป็นคนโหดเหี้ยม ในเมื่อจับไว้ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป
“งั้นก็กำจัดมันซะ” คำพูดฝูถูดังสะท้อนเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังบี้มด ที่จริงซือเทียนโยวก็ไม่ต่างจากมดในสายตาของเขาหรอก
เมื่อได้ยินทั้งสองเสียง ซือเทียนโยวก็เริ่มดิ้นรนรุนแรงในแผนภาพผนึกปีศาจ แต่ไม่ว่าจะพยายามตะเกียกตะกายอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้
สุดท้ายซือเทียนโยวก็ทำได้เพียงหยุดลง เสียงดุร้ายดังก้อง “มู่เฉิน ถ้าแกฆ่าข้าวันนี้ เผ่าซือหมัวไม่ปล่อยแกไปแน่!”
มู่เฉินหัวเราะกับคำพูดที่ฟังจนเบื่อ มหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูกันชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ว่าจะไม่มีซือเทียนโยว เผ่าปีศาจก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปหรอกหากต้องปะหน้ากัน
“ถ้างั้นข้าจะรอที่มหาพันภพและรอดูว่าเผ่าซือหมัวจะทำอะไรกับข้า” มู่เฉินหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา
ขณะที่ซือเทียนโยวคิดจะพูดพล่ามต่อ มือของฝูถูก็เช็ดไปทั่วท้องฟ้าคล้ายกับการเช็ดน้ำหมึก ภาพเงาของซือเทียนโยวก็หายไปจากแผนภาพ
ซือเทียนโยวไม่สามารถแม้แต่จะกรีดร้องก่อนที่จะหายไปตลอดกาล
เมื่อซือเทียนโยวหายไป เส้นใยรัศมีสีดำก็พุ่งออกมาจากแผ่นภาพหมุนไปรอบๆ ตัวมู่เฉิน
ภาพนี้ทำให้มู่เฉินตกใจ เขาพยายามใช้คลื่นหลิงเพื่อต่อต้านรัศมีสีดำ ทว่ารัศมีนั่นก็หายไปทันทีที่สัมผัสกับร่างกายของเขา
“ผู้อาวุโสเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วถามไม่ได้
ฝูถูยิ้มสบายๆ “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของรัศมีศพปีศาจซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่เผ่าซือหมัวจะตรวจพบได้ง่าย น่าจะเป็นแผนการสุดท้ายของเจ้าเด็กปีศาจนั่นที่จะให้เผ่าของมันมาแก้แค้นได้น่ะ”
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในคำพูดของฝูถู แม้ว่าเผ่าซือหมัวจะน่ากลัวไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่กลัว หากเผ่าซือหมัวกล้าโผล่หน้ามาที่มหาพันภพ ไม่รอให้เขาลงมือก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเอง
เขาไม่เชื่อว่าเผ่าซือหมัวจะสร้างหายนะในมหาพันภพได้
“ท่านเอาออกให้ได้ไหม?” แม้ว่าจะไม่กลัว แต่มู่เฉินก็ยังถามด้วยความระแวง
ฝูถูส่ายหัว “นั่นคือเส้นใยรัศมีศพปีศาจที่เขาสร้างขึ้นจากการเผาผลาญพลังชีวิต ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่ตอนนี้ยากเลยทีเดียว”
มู่เฉินยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก เขากลับมองไปที่แผนภาพผนึกปีศาจด้วยความไม่สบายใจ “งั้นตอนนี้เสี่ยเจียงก็ถูกจัดการแล้วใช่ไหมขอรับ?”
เพราะพลังชีวิตของจอมปีศาจระดับเทียนน่ากลัวเกินไป
ฝูถูพยักหน้า “มันเป็นเพียงเศษวิญญาณ ด้วยความช่วยเหลือจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เกินพอที่จะลบล้างการดำรงอยู่ที่มีแล้ว”
ขณะที่พูดเขายกมือขึ้น กระบี่เกล็ดจักรพรรดิพุ่งกลับมาหามู่เฉิน
ฝูถูเอ่ยต่อว่า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดินั้นเทียบเท่ากับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งเมื่ออยู่ในจุดสูงสุด น่าเสียดายที่ตอนนี้หมดพลังลงแล้ว มิหนำซ้ำยังผ่านการกัดกร่อนของเวลา แม้ว่าจะฟื้นตัวได้ในภายหลังข้าก็กลัวว่าอาวุธชิ้นนี้จะมีขีดจำกัดอยู่ในชั้นเซียนเท่านั้น”
เสียงฝูถูฟังดูสลดหดหู่ เพราะอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งมีค่าอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่กระจกผนึกปีศาจที่เขาครอบครองก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยนชั้นเซียนเท่านั้น
มู่เฉินพยักหน้าขณะรับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ตัวกระบี่สลัวรางราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้
มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นเพราะพลังงานหมดลง เว้นแต่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน มิเช่นนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะไม่สามารถปลดปล่อยแสงโชติช่วงที่เคยมีได้อีก
“มั่นใจเถอะ วันที่ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน คือวันที่เจ้าจะกลับมาในโลกนี้อีกครั้ง” มู่เฉินกล่าวขณะที่ลูบกระบี่
ฮึ่ม
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิสั่นเบาๆ ดูเหมือนจะส่งเสียงครางอีกด้วย
เก็บกระบี่เอาไว้แล้วมู่เฉินก็หันกลับมา เผ่าปีศาจกำลังหลบหนีโดยมีจอมยุทธ์มหาพันภพจัดการอยู่รอบแท่นบูชา
แต่ไม่ไกลจากแท่นบูชาก็ยังมีบางคนมองมายังทิศทางนี้อยู่เรื่อย
พวกเขาก็คือกลุ่มของเฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นชัดว่าพวกเขายังคงรู้สึกไม่เต็มใจเกี่ยวกับเรื่องที่มู่เฉินจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์
“ผู้อาวุโส ข้าถือว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ขอรับ?”
มู่เฉินรู้ทันความคิดของพวกเขา ดังนั้นจึงถามฝูถูโดยไม่ลังเล เนื่องจากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์อย่างรวดเร็ว
ฝูถูพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะใช้มู่เฉินผนึกจอมปีศาจระดับเทียน แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะช่วยสังหารจนสิ้นซากแทน ดังนั้นภารกิจนี้จึงสมบูรณ์แบบเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น
“แล้วผู้อาวุโสจะให้รางวัลอะไรกับข้า?” มู่เฉินไม่ได้ปกปิดความตั้งใจถามอย่างตรงไปตรงมา
ฝูถูอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉินชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่เห็นแก่รางวัลจริงๆ!”
มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าอยู่คนเดียว ดังนั้นก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ที่สามารถหาทุกสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย”
สีหน้าของฝูถูค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินความหมายเบื้องหลังคำพูดนี่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางเผ่าเลย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
เฉวียนหลัวและมั่วซินรีบทะยานขึ้นไปบนแท่นบูชา
“ลูกหลานทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ทั้งสองคนโค้งคำนับด้วยมารยาสูงสุด
ฝูถูพยักหน้ารับ
เมื่อกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน เฉวียนหลัวก็ก้มหน้าพูดกับฝูถูว่า “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าแบกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่และภายใต้คำสั่งให้นำวิชาเจดีย์แปดองค์กลับไป พวกข้าหวังว่าท่านบรรพบุรุษจะสามารถส่งต่อวิชานี้ให้เพื่อประโยชน์ของเผ่าเรา ในฐานะลูกหลาน เราจะไม่มีวันลืมพระคุณนี้!”
“ใช่ การสูญเสียมรดกของท่านเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าเชื่อว่าท่านก็คงต้องการให้มรดกตกทอดในเผ่าเราใช่ไหมขอรับ?” มั่วซินกล่าวด้วยความเคารพ
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมราวกับผืนน้ำ แสงเย็นเยือกวูบไหวในนัยน์ตา ชัดว่าเขาโกรธมากกับไอ้วายร้ายสองคนที่พยายามแย่งชิงของรางวัลของเขา
‘ไอ้พวกนี้วิ่งเร็วเหมือนหมาตอนเผชิญหน้ากับจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง พอตอนนี้ไม่มีภัยคุกคามพวกมันก็เสนอหน้าจะมาฉกของของข้า!’
ฝูถูมองไปที่ทั้งสองพลางพูดช้าๆ “ก่อนหน้าข้าก็บอกไปแล้วว่าใครก็ตามที่สามารถช่วยข้าจัดการกับเสี่ยเจียงจะได้รับรางวัลจากข้า ซึ่งมู่เฉินทำสำเร็จ”
เฉวียนหลัวและมั่วซินเริ่มเหงื่อตก ทั้งสองรีบพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีไม่ลงรอยกับเผ่า ถ้าเขาได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็คล้ายกับติดปีกให้พยัคฆ์ ข้ากลัวว่าเขาจะใช้วิชาเทพของท่านบรรพบุรุษสังหารหมู่พวกเราด้วยความแค้นที่มีต่อกัน!”
พอได้ยินคำพูดนั่น ฝูถูก็ขมวดคิ้วจมลงในความเงียบ
ได้เห็นผลที่เกิดจากคำพูดของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็รู้สึกเบิกบานใจ
ฝูถูหันมามองมู่เฉินโดยไม่แสดงออกใดๆ จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน ตาเฒ่าคนนี้มีเรื่องจะถาม”
“เชิญขอรับ”
ฝูถูถอนหายใจ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าและเผ่าฝูถูอยู่ในความขัดแย้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”
มู่เฉินเงียบไป คำตอบที่ถูกต้องในการพูดตอนนี้ก็คือเขาจะไม่ขัดแย้งกับตระกูลพระโบราณ ทว่าเขาก็ไม่สามารถพูดได้เพราะด้วยมารดาของเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ถ้าฝืนปฏิเสธก็หนีไม่พ้นสายตาที่เฉียบคมของผู้อาวุโสฝูถูหรอก
ในเมื่อเป็นแบบนี้… มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฝูถู “ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามข้าจะทำตามหัวใจของตนเอง”
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเผ่าฝูถูจะพัฒนาไปสู่อะไร เขารู้ดีว่าตนเองจะไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันและทำตามหัวใจจนถึงที่สุดโดยไม่เกรงกลัว
เมื่อเฉวียนหลัวและมั่วซินได้ยินคำตอบ ความสุขก็กระจายบนใบหน้า พวกเขาเงยหน้าก็เห็นสายตาของฝูถูจับจ้องไปที่มู่เฉินนิ่ง
ชายหนุ่มก็มองเข้าไปในดวงตาของฝูถูโดยไม่กลัวอะไร
หลังจากทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน เฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตะลึงไปเมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฝูถู
“ทำตามหัวใจของตนเอง ดีๆ สำหรับคนที่กล้าเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ตาเฒ่าคนนี้เชื่อในหัวใจของเจ้า!”
ฝูถูยื่นมือออกตบไหล่ของมู่เฉินหนักแน่น
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้สืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ซีดลง