หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1345

ตอนที่ 1345

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1345 ขัดขวาง
เมื่อภารกิจเจดีย์สี่เทวะสิ้นสุดลง

การเดินทางของจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็ปิดฉากลงด้วย ผู้คนเริ่มทยอยออกไป ทว่าก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ไปไหนแต่พยายามใช้ช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อค้นหารอบๆ และดูว่าตนเองจะได้พบกับโชคลาภบ้างหรือไม่

สำหรับพวกมู่เฉินซึ่งได้รับการเก็บเกี่ยวมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณต่อ พวกเขาบดขยี้เครื่องรางออกจากแดนนี้ไป

ที่มุมหนึ่งของแดนเซิ่งยวน

มิติบิดเบี้ยว เงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้น แต่ละคนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดก็รู้สึกโล่งใจ แดนเซิ่งยวนโบราณราวกับคุกที่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันขณะที่อยู่ภายใน

“ไปที่เมืองเซิ่งยวนกันก่อนเถอะ” มู่เฉินโบกมือเซียนชื่อเหยียนคงรอฟังข่าวดีจากลั่วหลีอยู่แน่

ทุกคนพยักหน้า เมื่อเทียบกับแดนเซิ่งยวนโบราณซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย การอยู่ในเมืองเซิ่งยวนทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า

จากนั้นทุกคนก็ระเบิดความเร็วจากไป พวกเขาเดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น มองเห็นโครงร่างเมืองใหญ่ทีละน้อย

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ริ้วแสงมากมายพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนที่จะมาหยุดตรงประตูเมือง ทั้งเมืองคึกคักด้วยความมีชีวิตชีวา

ความมีชีวิตชีวานี้เป็นภาพแบ่งชัดเจนกับแดนเซิ่งยวนโบราณที่รกร้างและมีแต่ซากปรักหักพัง ภาพนี้ทำให้กลุ่มของมู่เฉินผ่อนคลายลงหลายส่วน

เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากันพวกเขาก็ยิ้มก่อนจะกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงที่ประตูเมือง จากนั้นก็เข้าไปในเมืองทันที

เมืองยังคงครึกครื้นเหมือนเคย มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ทว่ามู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีความแปลกประหลาดเนื่องจากผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน

ดังนั้นกลุ่มของมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย เมื่อพวกเขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่ยืนอยู่ใจกลางเมือง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นด้านบนนั่น แม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป

“นั่นอะไร?” หลงเซี่ยงขยี้ตา ดูเหมือนเขาจะเห็นชื่อราชันสังหารปีศาจสองคนและหนึ่งในนั้นก็คือมู่เฉิน

เวินชิงเฉวียน เวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า ครู่หนึ่งต่อมาพวกเขาก็หันขวับไปทางมู่เฉิน “เจ้าอย่าบอกพวกข้านะว่าเจ้าคือมู่เฉินบนนั้นน่ะ?”

พวกเขารู้ชัดเจนว่าราชันสังหารปีศาจเป็นตัวแทนของอะไร นั่นคือการดำรงอยู่บนยอดพีระมิดในวังมหาพันภพ ซึ่งสูงกว่าพวกแขกและผู้อาวุโสด้วยซ้ำ

เผชิญหน้ากับราชันสังหารปีศาจ แม้แต่ตระกูลเวินยังต้องรักษามารยาทและความเคารพ

สายตาของลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัยเช่นกัน มู่เฉินได้ป้ายสังหารปีศาจพร้อมกันกับนาง แต่ตอนนี้ตัวนางยังคงเป็นมือสังหารปีศาจขั้นต่ำอยู่เลย แล้วจู่ๆ มู่เฉินกระโดดขึ้นสู่อันดับที่น่ากลัวของราชันสังหารปีศาจได้อย่างไร?

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้า ขณะยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเล่ารายละเอียดว่าเขาดูดซับวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเข้าไปในป้ายได้อย่างไร

เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงไป ก่อนจะอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่ก็ได้เหรอ?”

มู่เฉินยักไหล่ “ดูจากภาพตอนนี้เหมือนจะได้นะ”

เวินชิงเฉวียนและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้ว่าวิธีของมู่เฉินคือกลโกง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลียนแบบสิ่งที่เขาทำได้ เหมือนกับที่มีเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่สี่คน แต่ก็มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ทำได้

แต่…ขุมพลังของมู่เฉินตอนนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ

“เจ้าทำลายประวัติศาสตร์ของวังมหาพันภพ… ไม่เคยมีราชันสังหารปีศาจที่ต๊อกต๋อยขนาดนี้มาก่อนเลย” เวินชิงเฉวียนแซว

มู่เฉินยังยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาแค่ลองดูว่าจะได้ผลหรือไม่ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผลเช่นนี้จริงๆ

“ก็ต้องดูว่าทางวังมหาพันภพจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่” ลั่วหลีกล่าว

ทุกคนพยักหน้า หากทางวังมหาพันภพไม่ยอมรับเรื่องนี้ ชื่อของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจก็น่าจะถูกปลดออก

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก ตอนแรกเขาก็แค่จะลองดู หากวังมหาพันภพไม่ยอมรับ เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไร

ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักหมื่นพันแล้ว

ที่ตำหนักยังคงคึกคักกันเช่นเคย แต่มู่เฉินก็ได้ยินเสียงลอยเข้าหูเกี่ยวกับหัวข้อราชันสังหารปีศาจคนใหม่อยู่ตลอด

นั่นทำให้เขาส่ายหน้าจนใจ เขาไม่เคยคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของตนเองจะทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ คงจะต้องมีมือสังหารปีศาจมากมายอยากเห็นว่าเขาที่เป็นราชันสังหารปีศาจคนใหม่จะเป็นสัตว์ประหลาดแบบใด

“ฮ่าฮ่านี่ไม่ใช่ราชันสังหารปีศาจคนใหม่ของเราเหรอ!”

ขณะที่มู่เฉินตั้งใจเข้าไปเงียบๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังออกมา ทำให้ทั้งตำหนักเงียบลง สายตามากมายมารวมตัวกันที่มู่เฉิน

“เขาคือราชันสังหารปีศาจคนใหม่—มู่เฉินเหรอ?!”

“แต่…ทำไมเขาถึงเป็นแค่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น?!”

“เขากลายเป็นราชันสังหารปีศาจได้ยังไง?”

“…”

ความเงียบสงบกินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งตำหนักจะเข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่มู่เฉิน พวกเขาทั้งหมดสงสัยว่าชื่อของเขาในฐานะราชันสังหารปีศาจเป็นของจริงหรือไม่

ทันทีที่กลายเป็นจุดรวมสายตา มู่เฉินก็เหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนที่ยิ้มขี้เล่นแบบกวนๆ จากนั้นเขาก็นำลั่วหลีและคนที่เหลือเดินไปหาถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านยังอยากได้วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณรึเปล่า?”

ดวงตาของชื่อเหยี่ยนสว่างวาบก่อนที่จะมองลั่วหลีด้วยความสุขบนใบหน้า “เจ้าทำสำเร็จจริงๆ รึ?”

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าลั่วหลีมีโอกาสดีที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเป็นจริงใบหน้าของชื่อเหยียนก็เต็มไปด้วยความสุข

ลั่วหลีไม่ตอบกลับ แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม

“ดีมาก เจ้าเด็กบ้าสองคน คิดจะกลั่นแกล้งตาแก่คนนี้เรอะ” เมื่อเห็นสายตาลั่วหลีที่ต้องการช่วยเหลือมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ควันออกหู ก่อนที่เขาจะหันกลับมาตะโกนลั่น “พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!”

เมื่อร่องรอยแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเล็ดลอดออกมา ทั้งตำหนักก็เงียบเสียงลง ไม่ว่าพวกเขาจะยโสโอหังแค่ไหน พวกเขาก็ต้องหดหัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับเทียนจื้อจุน

หลังจากระงับความวุ่นวาย ชื่อเยียนก็ถูมือพลางหัวเราะเบาๆ ไปทางลั่วหลี

เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา ลั่วหลีก็ยิ้มขณะพยักหน้า “ข้าไม่ทำให้ผิดหวัง โชคดีได้รับมรดกของท่านบรรพบุรุษไท่หลิงมา”

ฮา

ชื่อเหยียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เผ่าไท่หลิงคลุมเครือกับเรื่องนี้มาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับการแก้ไข

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ ลั่วหลีตามข้าไปยังเผ่าไท่หลิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือธิดาเทพคนใหม่!” ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่พูด

เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนต้องการพานางไปที่เผ่าไท่หลิง นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องแยกกับมู่เฉินอีกครั้งเหรอ? เรื่องนี้ทำให้ลั่วหลีตกตะลึงไปช่วงสั้นๆ ขณะที่นางกำลังจะพูดเสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังออกมาจากภายในตำหนัก

“ต้องการออกไปเหรอ? จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?!”

สายตาทุกคู่จ้องไปที่ต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับรัศมีดุร้าย โดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนนำหน้า ซึ่งก็คือเฮยกวางและมั่วหยิงนั่นเอง

ที่ด้านหลังเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตามมา พร้อมกับที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตที่น่ากลัว

สายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสองก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปล่อยแรงกดดันซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหนักหน่วงออกมา

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปที่เฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นได้ว่านี่เป็นแผนของไอ้วายร้ายสองคนคิดขึ้นมา

“เฮ้ ไอ้แก่หน้าด้านสองคนคิดรังแกเด็กเหรอ?” ร่างสูงวัยปราดมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ต่อต้านแรงกดดันที่มาจากเฮยกวางและมั่วหยิง

นี่เป็นใครไม่ได้ขอกจากชื่อเหยียน

“ชื่อเหยียนเรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่าฝูถูไม่เกี่ยวกับแก!” เฮยกวางตะเบ็งเสียงใส่ด้วยสายตามืดมน

มั่วหยิงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าขณะที่แผดเสียงลั่น “ไอ้เด็กเวรส่งมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาให้ซะดีๆ ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง มิฉะนั้นวันนี้เราจะนำแกกลับไปที่เผ่าเพื่อรับโทษ!”

มู่เฉินเยาะเย้ย “พวกแกไม่มีปัญญาได้รับการยอมรับจากท่านบรรพบุรุษ จะโทษใครได้?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็น่าเกลียดลงมาก

มั่วหยิงตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด “ท่านบรรพบุรุษแค่ปลอบโยนเจ้าที่ฆ่าปีศาจ แต่วิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่สิ่งที่แกจะครอบครองได้!”

“มั่วหยิง แกหน้าหนามาก ถ้าบรรพบุรุษรู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาจะต้องกลับมาจากความตายเพราะความโกรธที่มีลูกหลานโง่เขลา” ชื่อเหยียนทอดถอนหายใจ

พอได้ยินคำถากถางของชื่อเหยียนเปลือกตาของมั่วหยิงก็กระตุกก่อนที่เขาจะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางมืดมน พูดช้า-ชัดว่า “ชื่อเหยียน แกคิดจะแส่เรื่องนี้ใช่ไหม?”

“มู่เฉินเป็นคนที่ข้าพามา ดังนั้นข้าไม่ปล่อยให้พวกแกพาเขาไปได้” ชื่อเหยียนหัวเราะเยาะขณะที่พูดโดยไม่มีความลังเลใดๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงของมั่วหยิง

มั่วหยิงและเฮยกวางสบตากัน แสงเย็นเยือกพล่านในดวงตา วันนี้พวกเขาต้องพามู่เฉินกลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กนี่ไม่ได้!

“ในเมื่อเป็นแบบนี้”

รัศมีเทียนจื้อจุนไม่ปกปิดอีกต่อไป ระเบิดออกฉับพลันทำให้ท้องฟ้าเมืองเซิ่งยวนมืดลง

แรงกดดันน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่ว

สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ชื่อเหยียนราวกับกระบี่คมกริบ

“งั้นพวกข้าสองคนก็จะพาไอ้เด็กกาลกิณีนี่กลับไปให้ได้!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท