หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1346

ตอนที่ 1346

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1346 การเผชิญหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
ตู้ม!

เมื่อทั้งสองพูดจบมิติก็ยุบลง โดยที่มีพวกเขาเป็นศูนย์กลาง ระลอกแรงกดดันขนาดใหญ่สองสายทำให้ตำหนักหมื่นพันสั่นสะเทือน

ทว่าพวกเขาก็ควบคุมการเคลื่อนไหว มุ่งเน้นไปที่รอบตัว ไม่ได้ทำลายตำหนัก เนื่องจากนี่เป็นอาณาเขตของวังมหาพันภพ แม้แต่เผ่าฝูถูของพวกเขาก็ต้องไว้หน้าให้

แต่ถึงอย่างนั้นแรงกดดันจากจอมยุทธิ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนที่แผ่ออกไป ก็ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องหวาดกลัว

“ข้าจะดูสิว่าใครจะฉกเขาไปจากมือข้าได้!” เมื่อเห็นทั้งสองคนเอาแต่ใจ ชื่อเหยียนก็โกรธจนต้องหัวเราะเยาะระบายออกมา แรงกดดันรอบตัวเขาเพิ่มขึ้นขณะที่คลื่นหลิงสีแดงเข้มเดือดราวกับลาวาทำให้อุณหภูมิในตำหนักพุ่งสูงขึ้น

ชื่อเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินต่อต้านแรงกดดันที่มาจากมั่วหยิงและเฮยกวาง

เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน มั่วหยิงและเฮยกวางก็มีสีหน้ามืดครึ้ม ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะหยุด พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะจับตัวมู่เฉินแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!

‘วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือมู่เฉินไม่ได้!’

ด้วยความคิดนี้ ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เฮยกวางก้าวออกไปก่อนที่จะเหยียดฝ่ามือใส่ชื่อเหยียน แม้ว่าฝ่ามือนั้นจะดูนุ่มนวล แต่คลื่นหลิงสีดำก็ควบแน่นรุนแรงในฝ่ามือ ก่อร่างเป็นดวงอาทิตย์สีดำที่มีขนาดพอกับศีรษะมนุษย์

ภาพดวงอาทิตย์สีดำไม่ได้เปล่งประกายใดๆ แม้ว่าจะดูเล็ก แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวที่มีอยู่ภายใน

หากดวงอาทิตย์สีดำพุ่งออกไปโดยไร้การควบคุมละก็ เมืองเซิ่งยวนคงจะยุบตัวกลายเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ในพริบตา

กระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนปลดปล่อยพลังอำนาจในการทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้

เมื่อเห็นดวงอาทิตย์สีดำบนฝ่ามือของเฮยกวาง ชื่อเหยียนก็หดตาลงไม่คิดรอช้า ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาอ้าปากกว้าง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาราวกับลาวาเลยทีเดียว

เปลวไฟสั่นไหวไม่หยุด ราวกับจะดับลงได้ทันทีเมื่อลมพัด แต่เมื่อมันปรากฏทุกคนก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัวแผ่ออกมา แม้แต่มิติก็เหมือนจะถูกเผาไหม้

ทุกคนรู้ว่าทั้งเฮยกวางและชื่อเหยียนควบคุมพลังเอาไว้ มิฉะนั้นเปลวไฟที่พ่นออกมาสามารถเปลี่ยนระยะทางหมื่นลี้ให้กลายเป็นมหาสมุทรเพลิงได้

ชี่!

ดวงอาทิตย์สีดำและเปลวไฟปะทะกัน แต่ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถเห็นได้ว่าพลังทั้งสองพยายามกัดเซาะซึ่งกันและกันในมิติ บริเวณที้ปะทะกันก็เริ่มแตกสลาย…

ขณะที่เฮยกวางกับชื่อเหยียนปะทะกัน มั่วหยิงก็มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ก่อนที่จะย่างเท้าเข้ามาในทิศทางของมู่เฉิน

ใบหน้าของชื่อเหยียนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับเฮยกวาง ถ้าเขาถอยไป เฮยกวางก็จะฉวยโอกาศขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบและปราบปรามเขาได้

“เผ่าฝูถูทรราชเกินไป! พวกแกพยายามสร้างความเป็นศัตรูกับเผ่าไท่หลิงของข้ารึ?!” ชื่อเหยียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม

มั่วหยิงไม่คิดหยุดขณะที่เยาะเย้ยขึ้น “ชื่อเหยียน แกประเมินตัวเองสูงเกินไป แกไม่ได้เป็นตัวแทนของเผ่าไท่หลิง!”

ขณะที่พูดสายตาเย็นชาของเขาก็จดจ้องไปที่มู่เฉินราวกับเหยี่ยวจ้องมองเหยื่อ “ข้าจะดูสิว่าวันนี้แกจะหนีไปได้ยังไง”

ใบหน้าเฉวียนหลัวและมั่วซินเต็มไปด้วยความสุขกับฉากนี้ เมื่อพวกเขามองไปที่มู่เฉินแววตาก็กลายเป็นเวทนา ‘ถึงแกได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษแล้วไงล่ะ? สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องวิชาเจดีย์แปดองค์ได้!’

มองไปที่มั่วหยิงที่เข้ามา มู่เฉินก็ไม่แสดงความหวาดกลัว เนื่องจากเขารู้ว่าความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร

เขากำหมัดแน่น ปกป้องลั่วหลีด้วยแสงเย็นพล่านในดวงตา

หากเป็นก่อนที่จะเข้าไปในแดนเซิ่งยวนโบราณ ตัวเลือกของเขาคงมีเพียงวิ่งหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ตอนนี้เขาเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มบวกกับการได้รับกองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์เป็นไพ่ตายเพิ่มขึ้น

ด้วยไพ่ตายเหล่านี้ถ้าเขาเสี่ยงชีวิต มั่วหยิงก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ

หากไอ้หมาแก่ตัวนี้ต้องการบีบบังคับจริงๆ มู่เฉินก็จะบอกให้เขารู้ว่าการพยายามทำให้จนตรอก เขาก็ต้องจ่ายราคาที่สมน้ำสมเนื้อ!

“แม่เฒ่าเหอ!”

แต่เมื่อแสงเย็นรวมตัวในนัยน์ตาของมู่เฉินจนถึงขีดสุด เขากำลังจะเหวี่ยงไพ่ตายเผชิญหน้ากับมั่วหยิง เวินชิงเฉวียนก็ตะโกนขึ้น

วาบ!

ภาพเงาสายหนึ่งปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน นางสวมชุดคลุมสีแดง นี่ก็คือแม่เฒ่าเหอของตระกูลเวิน!

นางยืนเบื้องหน้ามู่เฉินมองไปที่มั่วหยิงอย่างเย็นชา เมื่อแขนเสื้อสะบัดออก เสียงของแม่น้ำที่สาดกระเซ็นก็ดังออกมาจากร่างกายนางคลุมเครือ

มั่วหยิงหยุดชะงักลงใบหน้ามืดครึ้ม สายตาจ้องมองไปที่แม่เฒ่าเหอ เสียงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลเวินคิดจะแส่เรื่องภายในของเผ่าฝูถูด้วยเรอะ?”

แม่เฒ่าเหอยกเปลือกตาเบาบางกล่าวว่า “แม้ว่าตระกูลเวินจะไม่มีรากฐานที่ลึกซึ้งเท่ากับเผ่าฝูถู แต่เราก็รู้จักตอบแทนบุญคุณ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่วยพวกชิงเฉวียนเอาไว้มากมาย ดังนั้นข้าคงไม่ยืนดูไอ้หน้าด้านแก่หงำเหงือกรังแกเขา”

ความเกรี้ยวกราดพวยพุ่งในดวงตาของมั่วหยิง แต่ไม่ได้ระเบิดความโกรธ เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน “ไม่คิดว่าจะมีคนพยายามปกป้องแกมากขนาดนี้”

มู่เฉินจ้องกลับไปที่มั่วหยิงด้วยเจตนาฆ่าที่กะพริบอยู่ในดวงตาของเขา

“แต่น่าเสียดาย… วันนี้ไม่ว่าจะมีคนพยายามช่วยแกมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!” ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามั่วหยิงก่อนที่เขาจะหันไป ประสานมือไปที่ด้านนอกของตำหนัก “ท่านผู้อาวุโสเก้าโปรดแสดงตัว”

“เฮ้อ…”

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากด้านนอก ก่อนที่ทุกคนจะเห็นชายชราหลังค่อมถือไม้เท้าสีดำเดินเข้ามาทางประตูอย่างช้าๆ

ใบหน้าเขาซูบตอบ ดวงตาดำสนิท ฝีเท้าเชื่องช้าไปปรากฏตัวที่ข้างๆ มั่วหยิง

ชายชราคนนี้ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว แต่เมื่อเขาปรากฏตัวใบหน้าของชื่อเหยียนและแม่เฒ่าเหอก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“ผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าฝูถู—มั่วโยว?!” เสียงเคร่งขรึมของชื่อเหยียนดังก้อง

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!” แม่เฒ่าเหอหดดวงตา เผ่าฝูถูส่งจอมยุทธ์ระดับนี้มาจับมู่เฉินเชียวเรอะ?

จอมยุทธ์ประเภทนี้มีอำนาจมากแม้แต่ในเผ่าฝูถู แต่เขาถูกส่งตัวมาจับชายหนุ่มคนนี้เนี่ยนะ?

ในตำหนักเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสาร ชายหนุ่มคนนี้สร้างปัญหาเก่งจริงๆ เขาทำให้จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายต้องเคลื่อนไหว

แววตาของมู่เฉินมืดมนลง เนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าเฮยกวงและมั่วหยิงจะระวังขนาดนี้ เพื่อจับตัวเขา พวกเขาถึงกับเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนมา!

“แกหรือไอ้เด็กกาลกิณี?” มั่วโยวมองไปที่มู่เฉิน พูดโดยไม่มีเสียงกระเพื่อมใดๆ

มู่เฉินตอบ “ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่อะไรนั่นจะไม่มีประโยชน์ในเผ่าฝูถูเลย”

ชิงซวงเคยบอกเขาเกี่ยวกับข้อตกลงที่มารดาเขาสัญญากับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนกลับโผล่ออกมาทีละคน ตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อข้อตกลงนั่น

“เหตุฉุกเฉินบานปลายแบบนี้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเข้าใจเรื่องนี้”

มั่วโยวกล่าวต่อ “ตราบใดที่เจ้ามอบวิชาเจดีย์แปดองค์ให้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

ใบหน้าของมู่เฉินไม่แยแสขณะที่ส่ายหัว หินสลักปรากฏขึ้นในมือ นี่เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิสงครามมอบให้เขา ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงจะต้องพึ่งพามันเสียแล้ว

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง เขายังสามารถเขวี้ยงไพ่ตายออกไปทั้งหมด เพื่อพยายามต่อสู้สุดความสามารถ แต่สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน… เป็นไปไม่ได้เลยนอกจากเขาจะควบคุมกองทัพมังกรดำได้ทั้งหมด

“ในเมื่อเจ้าดื้อขนาดนี้ ข้าก็คงต้องรังแกเด็กแล้ว” พอเห็นมู่เฉินปฏิเสธมั่วโยวก็ถอนหายใจ ไม้เท้าสีดำในมือเคาะลงบนพื้นเบาๆ รัศมีสีดำพวยพุ่งออกมาจากไม้เท้า ปิดผนึกพื้นที่ทันที มากจนแม้แต่คลื่นหลิงในฟ้าดินก็ยังถูกผนึกไว้

มู่เฉินรู้สึกถึงการจำกัดลง เขาเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็เตรียมออกแรงบีบเพื่อบดขยี้หินสลัก เชิญเทพจักรพรรดิสงครามออกมาช่วยเหลือ

ปัง!

แต่ทันทีที่เขาตัดสินใจจะทำ ถ้วยน้ำชาก็บินเข้ามากระแทกเข้ากับวงรัศมี ทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้มั่วโยวอึ้งไป จากนั้นเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่โต๊ะรับรองของตำหนัก ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทากำลังย่างเท้าออกมาช้าๆ

เขาก็คือผู้รับผิดชอบตำหนักแห่งนี้

“เผ่าฝูถูไม่มากไปหน่อยเหรอ…” ลู่ทงเดินมาที่ด้านข้างของมู่เฉิน พูดอย่างเกียจคร้าน

มั่วโยวขมวดคิ้ว “วังมหาพันภพคิดจะยุ่งเรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

แม้ว่าเผ่าฝูถูจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แต่วังมหาพันภพก็มีสถานะสูงส่งในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังไม่กลัวต่ออำนาจเผ่าฝูถูอีกด้วย

“นี่เป็นเรื่องภายในของพวกข้า ข้าว่าวังมหาพันภพละเมิดกฎด้วยการเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว” มั่วโยวพูดช้าๆ แม้ว่าวังมหาพันภพจะทรงอำนาจ แต่ก็มีกฎระเบียบ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งกิจการภายในของขั้วอำนาจอื่น

“ไม่ใช่พวกข้าหรอกที่แหกกฎ แต่เป็นพวกเจ้า” ลู่ทงส่ายหัว

เขาหันไปมองมู่เฉิน สายตาพิลึกพิลั่นลงหลายส่วน ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และยื่นมือออกไป “เอาป้ายสังหารปีศาจของเจ้าให้ข้า”

มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบป้ายสีทองอร่ามวางในมือของชายชราชุดเทา

ลู่ทงถือป้ายยิ้มอ่อนให้มั่วโยว “คิดจะจัดการราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพในถิ่นของข้า พวกเจ้าไม่ใช่คนที่ทำผิดกฎเรอะ?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท