หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1349

ตอนที่ 1349

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1349 แยกจากกัน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ

นี่เป็นวัตถุพิเศษระหว่างฟ้าดิน ซึ่งเปลี่ยนมาจากหินวัชระทำลายวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเหมือนน้ำ แต่กลับมีคุณสมบัติไม่แตกหักและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติเจาะทะลวงไม่เหมือนใคร พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งนัก อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมส่วนใหญ่จะเพิ่มของเหลววัชระทำลายวิญญาณเข้าไปด้วยเล็กน้อยขณะการสร้าง นี่บอกได้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด

“สนใจเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์?” ลู่ทงถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน

มู่เฉินส่ายหัวขณะยิ้ม เขาไม่มีความคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอะไร แต่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณมีประโยชน์ต่อเขามาก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถสร้างรหัสเทพอมตะซึ่งจะมีรูปร่างตามความปรารถนาของเขา

หากเขาสามารถครอบรหัสเทพอมตะด้วยชั้นของของเหลววัชระทำลายวิญญาณ พลังการโจมตีของเขาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ ใครจะรู้นี่อาจเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อมองไปที่ป้ายราคาก็มีค่าใช้จ่ายสามพันคะแนน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็โบกมือแลกเปลี่ยน

ของเหลววัชระทำลายวิญญาณจับคู่กับรหัสเทพอมตะก็จะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้ได้ นอกจากนี้เนื่องจากคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงของรหัสเทพ เขาจะสามารถใช้เพื่อโจมตีและป้องกันได้ เทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่สามารถแปลงร่างได้

ดังนั้นหลังจากรับของเหลววัชระทำลายวิญญาณไปแล้ว มู่เฉินก็เหลืออีกสองพันคะแนน ซึ่งเขาเปลี่ยนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางและเม็ดยาที่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าและขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นของสำคัญสำหรับตำหนักมู่

หลังจากใช้คะแนนจนหมดเกลี้ยง มู่เฉินก็ปัดมือออกจากคลังพร้อมกับลู่ทง

“เจ้าตั้งใจจะไปเผ่าไท่หลิงเหรอ?”

เมื่อมู่เฉินกลับมาหาลั่วหลี เขาก็ต้องอุทานออกมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของนางที่จะตามชื่อเหยียนไปที่เผ่าไท่หลิง

ลั่วหลียิ้มพลางพยักหน้า ใบหน้าขาวราวกับไข่มุกแวววาวด้วยเกลียวรัศมีที่ดูพร่างพราวเป็นพิเศษ

“ตระกูลลั่วเสินเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนตระกูลเสี่ยเสินก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป พวกมันสูญเสียหนัก ตราบใดที่ตระกูลลั่วเสินยังเดินทางนี้ก็จะไม่มีปัญหา” ลั่วหลีตอบเบาๆ

มู่เฉินขมวดคิ้ว ลั่วหลีไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิงก่อนหน้านี้มากนัก ทำไมนางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบจากนั้นก็มองลั่วหลี “เจ้าจะไปที่เผ่าไท่หลิงเพื่อข้าใช่ไหม?”

ลั่วหลีอึ้งไปชั่วครู่ แต่นางรู้ว่าตนเองไม่สามารถหลอกเขาได้ นางจึงกัดริมฝีปากเบาๆ ตอบว่า “ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยเจ้า”

นางโกรธมากที่เผ่าฝูถูพยายามบีบบังคับมู่เฉิน แต่นางทำอะไรไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่ร่างเทพวารีที่นางฝึกฝนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

นอกจากนี้นางยังตระหนักว่าตนเองอ่อนแอเพียงใดในการเดินทางมาที่แดนเซิ่งยวนโบราณ นางไม่สามารถช่วยมู่เฉินได้ มิหนำซ้ำเขายังต้องมากังวลเกี่ยวกับนางตลอดเวลา

นี่เป็นสิ่งที่คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างนางไม่อาจรับได้

หากนางต้องการก้าวตามมู่เฉินให้ทัน นางก็ต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าไท่หลิงเพื่อรับตำแหน่งธิดาเทพ นอกจากนี้ถ้านางได้ตำแหน่งก็จะมีสถานะพิเศษในเผ่าอีกด้วย

การมีเผ่าไท่หลิงสนับสนุน หากมู่เฉินและเผ่าฝูถูปะทะกันจริงๆ นางจะสามารถใช้พลังของเผ่าไท่หลิงเพื่อช่วยเขาได้

มู่เฉินจ้องมองไปที่ลั่วหลี เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจก็อดซึ้งใจไม่ได้

เผ่าไท่หลิงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แม้ว่าลั่วหลีจะได้รับมรดกวิชาช่องแสงวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรักษาตำแหน่งให้มั่นคงในฐานะธิดาเทพ

แต่เขาเข้าใจความรู้สึกที่นางตั้งมั่นจะไปทำ

“ลั่วหลี…”

ลั่วหลียื่นมือนวลเนียนออกมาปิดปากมู่เฉินเบาๆ และยิ้ม “หยุด อย่าพยายามเกลี้ยกล่อม ข้าตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยก็มีความปลอดภัยในเผ่าไท่หลิง เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า”

แววตาของมู่เฉินซับซ้อนเมื่อมองไปที่ใบหน้าของคนรัก เขามองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของนาง เขารู้ว่าลั่วหลีตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ออกมาพลางยิ้ม “สำหรับเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการเพาะบ่มขุมพลัง”

ลั่วหลีรับมาด้วยความอยากรู้ นี่เป็นต่างหูที่งดงามที่ทำจากผลึกอัญมณีใส แก่นหยกมรกตที่แขวนอยู่บนนั้นทำให้เกิดรัศมีบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทำเอาหัวใจของนางรู้สึกสงบขณะที่การไหลเวียนของคลื่นหลิงเร่งขึ้น

“นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์?” ลั่วหลีจำได้ทันทีและอุทานด้วยความตกใจ นางรู้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด

มู่เฉินพยักหน้า “ลองสวมดูสิว่าเป็นอย่างไร”

ลั่วหลีไม่ปฏิเสธ นางพยักหน้าสวมต่างหูทันที

ใบหูสีขาวมุกเมื่อประดับด้วยต่างหูผลึกอัญมณีก็ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับนางหลายส่วน

ลั่วหลีหันซ้ายหันขวาแล้วคลี่ยิ้ม “ดูดีไหม?”

ความทรงเสน่ห์เหลือล้นสามารถล้มเมืองได้ด้วยรอยยิ้มนี้

แม้ว่านางและมู่เฉินจะคุยกันที่มุมหนึ่งของตำหนักหมื่นพัน แต่นางก็ยังดึงดูดสายตาตื่นตะลึงจำนวนมาก

มู่เฉินพลิกตัวกลับปิดกั้นมุมมองของพวกเขาที่มีต่อลั่วหลี “ในอนาคตเจ้าจะอย่ายิ้มเปี่ยมเสน่ห์แบบนี้ ถ้าข้าไม่อยู่ด้วยนะ”

ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่พูดเบาๆ “ทำไม?”

“ข้ากลัวว่าคนอื่นจะอดกลั้นต่อเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ

ลั่วหลีเหลือบมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สังเกตเห็นเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นคุ้นเคยโชยมาที่ตัวนาง นางยื่นมือกดหน้าอกมู่เฉินตอบสนอง ม่านตาฉายแววเขินอาย

“เจ้าจะทำอะไร?”

มู่เฉินเหยียดริมฝีปากยิ้ม “อีกครู่เราก็ต้องแยกย้าย เจ้าไม่คิดจะปลอบใจข้าสักหน่อยเหรอ? ไม่งั้นข้าไม่ยอมให้เจ้าไปแน่”

ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดขณะที่มองมู่เฉินอย่างเขินอาย ‘โดยปกติเขาจะอ่อนโยนและนิ่งเฉย แต่ตอนนี้กลับเล่นบทตัวโกง’

แต่เนื่องจากเราสองคนกำลังจะแยกจากกันชั่วระยะหนึ่ง ลั่วหลีก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจ หลังจากลังเลชั่วครู่นางก็ดึงมือกลับหลับตาลง

มองไปที่ใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม มู่เฉินก็ลดอารมณ์พลุ่งพล่านในหัวใจลงไม่ได้ เขาเหยียดแขนออกจับที่เอวบาง โน้มริมฝีปากเข้าไปใกล้

เคร้ง!

แม้ว่าคู่รักจะอยู่ในมุมอับ แต่ลั่วหลีก็โดดเด่นเกินไป ผู้คนจำนวนมากในตำหนักยังคงจ้องมองไปที่ทั้งสอง จากนั้นเสียงถ้วยชาก็ตกลงพื้นอย่างต่อเนื่อง

มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกปวดใจ สาวงามมีเจ้าของเสียแล้ว เจ้านั่นต้องถูกฟ้าผ่าในชาติก่อนเพื่อให้ได้รับโชคในชาตินี้

มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความวุ่นวาย แต่เพลิดเพลินกับจูบอันหอมหวาน

ลั่วหลีคิดว่านี่เกินพอแล้วก็ผลักมู่เฉินออกไป ใบหน้างดงามเห่อแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเขินอาย

“คิก”

เมื่อถูกจ้องมองจากลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มเก้อ ขณะที่เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้ลั่วหลีส่งค้อนให้เขาสองครั้งซ้อน

“แค่ก!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากอีกด้าน ชื่อเหยียนเดินปราดเข้ามา เขาเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเค้นเสียงพูด “เจ้าหนู มียางอายมั่งไหม บังอาจกล้ารังแกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงในที่สาธารณะ”

มู่เฉินไม่ใส่ใจ เขายิ้มพลางประสานมือ “ข้าต้องรบกวนผู้อาวุโสช่วยดูแลลั่วหลีตอนอยู่ที่เผ่าไท่หลิงให้ดีด้วย”

“พูดอะไรไร้สาระ” ชื่อเหยียนยื่นปากตอบว่า “วางใจเถอะ การฝึกฝนของนางที่เผ่าไท่หลิงจะเร็วกว่าเจ้าแน่”

มู่เฉินไม่สงสัยในคำพูดเหล่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของลั่วหลีและวิชาช่องแสงวิญญาณ เผ่าไท่หลิงจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอน การบรรลุระดับเทียนจื้อจุนคงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น

“ร่ำลากันเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” ชื่อเหยียนตอบสนองอย่างว่องไว เขามองไปที่ลั่วหลีและยิ้ม

ลั่วหลีพยักหน้าเหลือบมองไปที่มู่เฉิน

ชื่อเหยียนโบกมือ น้ำเต้าสีแดงเข้มก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาและลั่วหลีก็กลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มหายไปในเส้นขอบฟ้า

มองไปที่ทิศทางที่ทั้งสองจากไป มู่เฉินก็ใช้เวลานานก่อนที่จะออกจากอาการเหม่อลอย

“มู่เฉิน เรื่องครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกข้าก็จะกลับไปที่ตระกูลเวิน” เวินชิงเฉวียนเดินมาที่ด้านข้างมู่เฉินพลางตบไหล่ปุๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงพลิ้ว

“พี่มู่ ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมตระกูลเวินได้นะ” เวินซื่อหยู่ยิ้มพร้อมกับประสานมือ

มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า

เวินชิงเฉวียนโบกมือขณะที่แม่เฒ่าเหอสะบัดมือรวบสมาชิกก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงหายไป…

มองทุกคนออกเดินทางไปแล้ว มู่เฉินก็หันกลับมายิ้มให้กับหลิงซีและหลงเซี่ยงก่อนจะยืดเอวบิดขี้เกียจ

“ไปกันเถอะ เรากลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน…”

เขาออกจากทวีปเทียนหลัวหนึ่งปีกว่าแล้ว ตอนที่จากมายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว

ตอนนั้นเขาไม่ได้การยอมรับจากตำหนักมู่ทั้งหมด ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัว ตอนนี้…เขาอยู่ยงใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำหนักมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”

เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะกลายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท