หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1349 แยกจากกัน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณ
นี่เป็นวัตถุพิเศษระหว่างฟ้าดิน ซึ่งเปลี่ยนมาจากหินวัชระทำลายวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเหมือนน้ำ แต่กลับมีคุณสมบัติไม่แตกหักและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณสมบัติเจาะทะลวงไม่เหมือนใคร พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งนัก อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมส่วนใหญ่จะเพิ่มของเหลววัชระทำลายวิญญาณเข้าไปด้วยเล็กน้อยขณะการสร้าง นี่บอกได้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
“สนใจเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์?” ลู่ทงถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นการจ้องมองของมู่เฉิน
มู่เฉินส่ายหัวขณะยิ้ม เขาไม่มีความคิดจะสร้างอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมอะไร แต่ของเหลววัชระทำลายวิญญาณมีประโยชน์ต่อเขามาก ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถสร้างรหัสเทพอมตะซึ่งจะมีรูปร่างตามความปรารถนาของเขา
หากเขาสามารถครอบรหัสเทพอมตะด้วยชั้นของของเหลววัชระทำลายวิญญาณ พลังการโจมตีของเขาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ ใครจะรู้นี่อาจเทียบได้กับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
นี่เป็นวัตถุสมบูรณ์แบบสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมองไปที่ป้ายราคาก็มีค่าใช้จ่ายสามพันคะแนน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็โบกมือแลกเปลี่ยน
ของเหลววัชระทำลายวิญญาณจับคู่กับรหัสเทพอมตะก็จะสามารถปลดปล่อยพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมของแท้ได้ นอกจากนี้เนื่องจากคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงของรหัสเทพ เขาจะสามารถใช้เพื่อโจมตีและป้องกันได้ เทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่สามารถแปลงร่างได้
ดังนั้นหลังจากรับของเหลววัชระทำลายวิญญาณไปแล้ว มู่เฉินก็เหลืออีกสองพันคะแนน ซึ่งเขาเปลี่ยนเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางและเม็ดยาที่มีประโยชน์สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าและขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นของสำคัญสำหรับตำหนักมู่
หลังจากใช้คะแนนจนหมดเกลี้ยง มู่เฉินก็ปัดมือออกจากคลังพร้อมกับลู่ทง
“เจ้าตั้งใจจะไปเผ่าไท่หลิงเหรอ?”
เมื่อมู่เฉินกลับมาหาลั่วหลี เขาก็ต้องอุทานออกมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของนางที่จะตามชื่อเหยียนไปที่เผ่าไท่หลิง
ลั่วหลียิ้มพลางพยักหน้า ใบหน้าขาวราวกับไข่มุกแวววาวด้วยเกลียวรัศมีที่ดูพร่างพราวเป็นพิเศษ
“ตระกูลลั่วเสินเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนตระกูลเสี่ยเสินก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป พวกมันสูญเสียหนัก ตราบใดที่ตระกูลลั่วเสินยังเดินทางนี้ก็จะไม่มีปัญหา” ลั่วหลีตอบเบาๆ
มู่เฉินขมวดคิ้ว ลั่วหลีไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิงก่อนหน้านี้มากนัก ทำไมนางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบจากนั้นก็มองลั่วหลี “เจ้าจะไปที่เผ่าไท่หลิงเพื่อข้าใช่ไหม?”
ลั่วหลีอึ้งไปชั่วครู่ แต่นางรู้ว่าตนเองไม่สามารถหลอกเขาได้ นางจึงกัดริมฝีปากเบาๆ ตอบว่า “ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไปที่จะช่วยเจ้า”
นางโกรธมากที่เผ่าฝูถูพยายามบีบบังคับมู่เฉิน แต่นางทำอะไรไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่ร่างเทพวารีที่นางฝึกฝนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
นอกจากนี้นางยังตระหนักว่าตนเองอ่อนแอเพียงใดในการเดินทางมาที่แดนเซิ่งยวนโบราณ นางไม่สามารถช่วยมู่เฉินได้ มิหนำซ้ำเขายังต้องมากังวลเกี่ยวกับนางตลอดเวลา
นี่เป็นสิ่งที่คนที่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างนางไม่อาจรับได้
หากนางต้องการก้าวตามมู่เฉินให้ทัน นางก็ต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าไท่หลิงเพื่อรับตำแหน่งธิดาเทพ นอกจากนี้ถ้านางได้ตำแหน่งก็จะมีสถานะพิเศษในเผ่าอีกด้วย
การมีเผ่าไท่หลิงสนับสนุน หากมู่เฉินและเผ่าฝูถูปะทะกันจริงๆ นางจะสามารถใช้พลังของเผ่าไท่หลิงเพื่อช่วยเขาได้
มู่เฉินจ้องมองไปที่ลั่วหลี เขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจก็อดซึ้งใจไม่ได้
เผ่าไท่หลิงเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ แม้ว่าลั่วหลีจะได้รับมรดกวิชาช่องแสงวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรักษาตำแหน่งให้มั่นคงในฐานะธิดาเทพ
แต่เขาเข้าใจความรู้สึกที่นางตั้งมั่นจะไปทำ
“ลั่วหลี…”
ลั่วหลียื่นมือนวลเนียนออกมาปิดปากมู่เฉินเบาๆ และยิ้ม “หยุด อย่าพยายามเกลี้ยกล่อม ข้าตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยก็มีความปลอดภัยในเผ่าไท่หลิง เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า”
แววตาของมู่เฉินซับซ้อนเมื่อมองไปที่ใบหน้าของคนรัก เขามองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของนาง เขารู้ว่าลั่วหลีตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแก่นหยกวิญญาณสวรรค์ออกมาพลางยิ้ม “สำหรับเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์ต่อการเพาะบ่มขุมพลัง”
ลั่วหลีรับมาด้วยความอยากรู้ นี่เป็นต่างหูที่งดงามที่ทำจากผลึกอัญมณีใส แก่นหยกมรกตที่แขวนอยู่บนนั้นทำให้เกิดรัศมีบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทำเอาหัวใจของนางรู้สึกสงบขณะที่การไหลเวียนของคลื่นหลิงเร่งขึ้น
“นี่คือแก่นหยกวิญญาณสวรรค์?” ลั่วหลีจำได้ทันทีและอุทานด้วยความตกใจ นางรู้ว่าสิ่งนี้มีค่าเพียงใด
มู่เฉินพยักหน้า “ลองสวมดูสิว่าเป็นอย่างไร”
ลั่วหลีไม่ปฏิเสธ นางพยักหน้าสวมต่างหูทันที
ใบหูสีขาวมุกเมื่อประดับด้วยต่างหูผลึกอัญมณีก็ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับนางหลายส่วน
ลั่วหลีหันซ้ายหันขวาแล้วคลี่ยิ้ม “ดูดีไหม?”
ความทรงเสน่ห์เหลือล้นสามารถล้มเมืองได้ด้วยรอยยิ้มนี้
แม้ว่านางและมู่เฉินจะคุยกันที่มุมหนึ่งของตำหนักหมื่นพัน แต่นางก็ยังดึงดูดสายตาตื่นตะลึงจำนวนมาก
มู่เฉินพลิกตัวกลับปิดกั้นมุมมองของพวกเขาที่มีต่อลั่วหลี “ในอนาคตเจ้าจะอย่ายิ้มเปี่ยมเสน่ห์แบบนี้ ถ้าข้าไม่อยู่ด้วยนะ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่พูดเบาๆ “ทำไม?”
“ข้ากลัวว่าคนอื่นจะอดกลั้นต่อเสน่ห์ของเจ้าไม่ได้” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ
ลั่วหลีเหลือบมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สังเกตเห็นเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นคุ้นเคยโชยมาที่ตัวนาง นางยื่นมือกดหน้าอกมู่เฉินตอบสนอง ม่านตาฉายแววเขินอาย
“เจ้าจะทำอะไร?”
มู่เฉินเหยียดริมฝีปากยิ้ม “อีกครู่เราก็ต้องแยกย้าย เจ้าไม่คิดจะปลอบใจข้าสักหน่อยเหรอ? ไม่งั้นข้าไม่ยอมให้เจ้าไปแน่”
ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดขณะที่มองมู่เฉินอย่างเขินอาย ‘โดยปกติเขาจะอ่อนโยนและนิ่งเฉย แต่ตอนนี้กลับเล่นบทตัวโกง’
แต่เนื่องจากเราสองคนกำลังจะแยกจากกันชั่วระยะหนึ่ง ลั่วหลีก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจ หลังจากลังเลชั่วครู่นางก็ดึงมือกลับหลับตาลง
มองไปที่ใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม มู่เฉินก็ลดอารมณ์พลุ่งพล่านในหัวใจลงไม่ได้ เขาเหยียดแขนออกจับที่เอวบาง โน้มริมฝีปากเข้าไปใกล้
เคร้ง!
แม้ว่าคู่รักจะอยู่ในมุมอับ แต่ลั่วหลีก็โดดเด่นเกินไป ผู้คนจำนวนมากในตำหนักยังคงจ้องมองไปที่ทั้งสอง จากนั้นเสียงถ้วยชาก็ตกลงพื้นอย่างต่อเนื่อง
มือสังหารปีศาจหลายคนรู้สึกปวดใจ สาวงามมีเจ้าของเสียแล้ว เจ้านั่นต้องถูกฟ้าผ่าในชาติก่อนเพื่อให้ได้รับโชคในชาตินี้
มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความวุ่นวาย แต่เพลิดเพลินกับจูบอันหอมหวาน
ลั่วหลีคิดว่านี่เกินพอแล้วก็ผลักมู่เฉินออกไป ใบหน้างดงามเห่อแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเขินอาย
“คิก”
เมื่อถูกจ้องมองจากลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มเก้อ ขณะที่เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ ท่าทางที่แสดงออกก็ทำให้ลั่วหลีส่งค้อนให้เขาสองครั้งซ้อน
“แค่ก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากอีกด้าน ชื่อเหยียนเดินปราดเข้ามา เขาเหลือบมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเค้นเสียงพูด “เจ้าหนู มียางอายมั่งไหม บังอาจกล้ารังแกธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงในที่สาธารณะ”
มู่เฉินไม่ใส่ใจ เขายิ้มพลางประสานมือ “ข้าต้องรบกวนผู้อาวุโสช่วยดูแลลั่วหลีตอนอยู่ที่เผ่าไท่หลิงให้ดีด้วย”
“พูดอะไรไร้สาระ” ชื่อเหยียนยื่นปากตอบว่า “วางใจเถอะ การฝึกฝนของนางที่เผ่าไท่หลิงจะเร็วกว่าเจ้าแน่”
มู่เฉินไม่สงสัยในคำพูดเหล่านั้น ด้วยพรสวรรค์ของลั่วหลีและวิชาช่องแสงวิญญาณ เผ่าไท่หลิงจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอน การบรรลุระดับเทียนจื้อจุนคงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“ร่ำลากันเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ” ชื่อเหยียนตอบสนองอย่างว่องไว เขามองไปที่ลั่วหลีและยิ้ม
ลั่วหลีพยักหน้าเหลือบมองไปที่มู่เฉิน
ชื่อเหยียนโบกมือ น้ำเต้าสีแดงเข้มก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาและลั่วหลีก็กลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มหายไปในเส้นขอบฟ้า
มองไปที่ทิศทางที่ทั้งสองจากไป มู่เฉินก็ใช้เวลานานก่อนที่จะออกจากอาการเหม่อลอย
“มู่เฉิน เรื่องครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกข้าก็จะกลับไปที่ตระกูลเวิน” เวินชิงเฉวียนเดินมาที่ด้านข้างมู่เฉินพลางตบไหล่ปุๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงพลิ้ว
“พี่มู่ ถ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมตระกูลเวินได้นะ” เวินซื่อหยู่ยิ้มพร้อมกับประสานมือ
มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า
เวินชิงเฉวียนโบกมือขณะที่แม่เฒ่าเหอสะบัดมือรวบสมาชิกก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงหายไป…
มองทุกคนออกเดินทางไปแล้ว มู่เฉินก็หันกลับมายิ้มให้กับหลิงซีและหลงเซี่ยงก่อนจะยืดเอวบิดขี้เกียจ
“ไปกันเถอะ เรากลับไปที่ทวีปเทียนหลัวก่อน…”
เขาออกจากทวีปเทียนหลัวหนึ่งปีกว่าแล้ว ตอนที่จากมายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่ได้การยอมรับจากตำหนักมู่ทั้งหมด ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมั่นถัวหลัว ตอนนี้…เขาอยู่ยงใต้ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว!
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำหนักมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะกลายเป็นลำแสงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า