หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1351

ตอนที่ 1351

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1351 ประมุขตำหนักมู่
เหตุการณ์พลิกผันไปมาทำให้ทุกคนตะลึงงัน

เมื่อเสียงมั่นถัวหลัว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปล่งตามออกมา ทุกคนก็หลุดจากอาการตกใจ จากนั้นก็มุ่งความสนใจไปที่หนังสือหยกที่มู่เฉินบดขยี้จนไม่เหลือซาก

หนังสือหยกเล่มนั้นเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาม่วง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการบดขยี้ต่อหน้าสาธารณชน… การบดขยี้ตีความหมายถึงการดูหมิ่นก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง

“เขา…คือประมุขตำหนักมู่งั้นเหรอ?”

“เฮ้อ คนหนุ่มใจร้อน ระงับอารมณ์ไม่อยู่เลย ตอนนี้เขาทำลายหนังสือหยกไปแล้ว เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่!” จอมยุทธ์ตำหนักมู่คนอื่นๆ กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ

“เขาห้าวเกินไป!” หลายคนมีใบหน้ามืดครึ้ม แม้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระบายความโกรธในใจของพวกเขาออกไป แต่ความโกรธของสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่จะสามารถทนได้

“ดูเหมือนหายนะกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ คงต้องหาทางถอยออกก่อน”

ทั้งโถงเกิดความโกลาหล จอมยุทธ์ตำหนักมู่หลายคนมีความกลัวเขียนอยู่บนใบหน้า พวกเขาตกใจกับการกระทำของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงสำนักเมฆาม่วง เอาแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี่ก็สามารถดีดพวกเขาเป็นปุ๋ยได้

หลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ คอตกก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหัว สถานการณ์วันนี้อิรุงตุงนังจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เมื่อห้องโถงเข้าสู่จลาจล จอมยุทธ์ทั้งสามจากสำนักเมฆาม่วงก็ฟื้นสติ ขณะที่จื่อเทียนเปยเห็นหนังสือหยกถูกบดขยี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านในดวงตา

“ฮ่าๆ ดี! หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนบ้าบิ่นกล้าบดขยี้หนังสือหยกของสำนักเมฆาม่วง!” น้ำเสียงน่าขนลุกขณะที่สายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินราวกับใบมีดคม

“งั้นก็เริ่มมีตั้งแต่ตอนนี้เลย”

มู่เฉินพูดเบาๆ พลางปัดฝุ่นผงบนมือ “ข้าให้เวลาสิบอึดใจ ไสหัวออกไปจากตำหนักมู่ซะ”

ในขณะเดียวกันสายตาเขาก็กวาดไปทั่วกลุ่มคนที่ตื่นตระหนกในตำหนักมู่ เขาประทับใบหน้าคนเหล่านี้ที่เลือกที่จะปกป้องตัวเองในช่วงเวลาวิกฤต คนที่คิดแค่ตัวเองไม่เหมาะสมกับตำหนักมู่หรอก

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายชราทั้งสามก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนทั้งโถง

พวกหลิ่วเทียนเต้าแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินไม่มองจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี้ในสายตาเลย

สายตาของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนไปทางมั่นถัวหลัว เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็กลับมามองมู่เฉินพลางครุ่นคิด…

“ไม่คิดมาก่อนว่าประมุขตำหนักมู่จะเป็นเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้” จื่อเทียนเปยส่ายหัวด้วยความสงสารก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ตำหนักมู่คงอยู่ต่อไป”

ตู้ม!

เมื่อคำสุดท้ายจบลง แขนเสื้อเขาก็สะบัดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างกายโดยไม่มีการยับยั้ง ทำให้โถงสั่นสะเทือนส่งสัญญาณใกล้จะพังทลาย

“ลงมือจากเจ้าก่อนเลย!”

จื่อเทียนเปยยิ้มน่าขนลุกขณะที่ก้าวออกไป ภาพเงาปรากฏขึ้นอย่างลึกลับเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับฝ่ามือกระแทกลง ฝ่ามือนั่นทิ้งรอยแตกในมิติแสดงให้เห็นว่าการโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวเพียงใด

เมื่อทุกคนในตำหนักมู่เห็นจื่อเทียนเปยคิดจะฆ่ามู่เฉิน พวกเขาก็ร้องอุทาน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นประมุข ถ้าเขาตาย ตำหนักมู่ล่มสลายแน่

ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปก่อนที่จะกัดฟันแน่น พวกเขาคิดจะช่วยมู่เฉิน แต่ถูกมั่นถัวหลัวกางแขนหยุดเอาไว้

“ท่านมั่นถัวหลัว!” ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะอุทานออกไป

ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน กระทั่งพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับความตายหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซัดเต็มกำลัง

มั่นถัวหลัวจ้องมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่มาจากเขา

แรงกดดันนั้นทำให้นางรับรู้ว่ามู่เฉินไม่เหมือนกับตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว…

ตู้ม!

ฝ่ามือของจื่อเทียนเปยตกลงภายใต้การมองจากทุกคน แต่เมื่อกำลังจะสัมผัสกับหน้าอกของมู่เฉิน เขาก็ยกมือขึ้นตบมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับกำลังตีแมลงวัน

ตึง!

เสียงทุ้มต่ำดังจากการปะทะ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหลับตา เหมือนไม่ต้องการดูมู่เฉินตาย

แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะปิดตาลง จู่ๆ ก็เห็นร่างหนึ่งปลิวออกไปสร้างรอยยาวบนพื้น

ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงก็เงียบสงัด

เนื่องจากพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ปลิวออกไปคือจื่อเทียนเปย!

วาบ!

สายตาไม่อยากจะเชื่อพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นเขาคงท่าทางเอาไว้ขณะยืนอยู่บนพื้น ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย

ฝ่ามืออันโหดร้ายของจื่อเทียนเปยไม่สามารถแม้แต่จะทำให้มู่เฉินขยับเขยื้อนร่างกาย ขณะที่การตบออกไปครั้งเดียวกลับเป่าชายชราซะหน้าหงายได้?

อ็อก

เมื่อจื่อเปยเทียนทรงตัวได้ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวา จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวจากมือของมู่เฉินที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเขายังรู้สึกตกใจ

มาถึงตอนนี้เขาบอกได้เลยว่ามู่เฉินแกล้งเป็นหมูเพื่อกินเสือ!

“เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!” จื่อเทียนเปยมองมู่เฉินพลางกัดฟันแน่น

ตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน คลื่นหลิงที่ผันผวนจากร่างกายของมู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เขาไม่อยากเชื่อว่าด้วยขุมพลังนี้มู่เฉินสามารถปราบเขาได้อย่างไร?

โห!

เมื่อเขาพูดขึ้น ทุกคนในตำหนักมู่ก็ตกตะลึงไป โดยเฉพาะพวกหลิ่วเทียนเต้าที่ฉายไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่มู่เฉินออกจากตำหนักมู่ พลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงประมาณหนึ่งปีตอนนี้เขาเสมือนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว?!

ยิ่งไปกว่านั้นที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถปราบปรามระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างจื่อเทียนเปยได้?

“ไอ้เด็กเวรนี่แปลกมาก ลงมือด้วยกัน!” จื่อเทียนเปยตะโกน ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน ก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนโค่นล้มลงง่ายๆ แค่เขาคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับมู่เฉินได้

ชายชราอีกสองคนจากสำนักเมฆาสีม่วงก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่ไอสังหารจะควบแน่นในสายตาขณะมองไปที่มู่เฉิน

วาบ!

ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน มู่เฉินก็ก้าวย่างออกไป มิติบิดเบี้ยวไปปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามทันที

“เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา!”

ทั้งสามคนม่านตาหดเกร็งตะโกนออกมาโดยไม่ลังเล เบื้องหลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มควบแน่น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามหนักหน่วงโดยมู่เฉิน

แต่เมื่อร่างมหึมารวมตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา ฝ่ามือผลึกใสก็พุ่งผ่านเจาะผ่านการป้องกันรอบตัวพวกเขาก่อนที่จะตบลงบนหน้าอกทั้งสามเบาๆ

ปัง!

เสียงอู้อี้ดังขึ้น เปลือกตาของทุกคนกระตุก ก่อนที่จะเห็นว่าชายชราทั้งสามถูกซัดไปกระแทกกับเสาหินในห้องโถง

อ็อก

ทั้งสามคนกระอักเลือดเต็มปาก ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายเริ่มหายไป พวกเขารีบก้มหน้ามองก็เห็นลายพิมพ์ฝ่ามือตกผลึกบนหน้าอก ผลึกคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกายทำให้พลังงานของพวกเขาหลุดออกจากการควบคุม

ราวกับว่าคลื่นหลิงถูกปิดผนึกไว้

เพียงไม่กี่อึดใจคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อันตรธานหายไป

ความกลัวปรากฏบนใบหน้า คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาถูกปิดผนึก วิธีของมู่เฉินน่าสะพรึงเกินไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา!

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้โดยระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มีเพียงจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้

เหมือนกับประมุขสำนักเมฆาม่วง!

หรือว่าประมุขตำหนักมู่ก็มาถึงขั้นนั้นแล้ว?!

“หนี!”

ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด พวกเขาควบคุมคลื่นหลิงเฮือกสุดท้ายในร่างกายทะยานออกจากห้องโถง เวลานี้พวกเขากลัวพลังที่มู่เฉินแสดงออกมายิ่งนัก

เมื่อมองสามคนที่เปิดตูดหนี สีหน้ามู่เฉินเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดพวกเขา

ปัง!

แต่เมื่อทั้งสามพุ่งออกจากโถง คลื่นหลิงรุนแรงก็ส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงาทั้งสามถูกพัดกลับเข้ามาตกลงในห้องโถง

“นายน้อยยังไม่ได้บอกให้พวกแกไป ไอ้หมาแก่สามตัวกล้าหยามขนาดนี้เชียวเหรอ?” เสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านนอกโถง ทุกคนเห็นร่างจอมยุทธ์สองคนเดินเข้ามา

คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดขาว ที่เยื้องไปเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงยืนอยู่ เขากระแทกหมัดเข้าด้วยกันปรายตามองไปที่ผู้อาวุโสสามคนจากสำนักเมฆาม่วงด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเกิดขึ้นรอบตัวเขา บ่งบอกว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวจริงอีกคน

ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนที่เป่าตาเฒ่าทั้งสามกลับเข้ามาในโถง

มู่เฉินค่อยๆ ลดศีรษะลงมองความหวาดกลัวบนใบหน้าของทั้งสามคนด้วยสีหน้าสงบ “พวกแกคิดว่าตำหนักของข้าเป็นอะไร คิดจะไปคิดจะมาตามที่ต้องการได้เหรอ?”

โถงเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่ชายชราสามคนที่ตัวสั่นงันงกด้วยความอึ้งทึ่ง จากนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ

สายตาของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความเคารพเมื่อมองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง…

ความห้าวหาญและวิธีการเช่นนี้…

นี่หรือประมุขตำหนักมู่ตัวจริงของพวกเขา?

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท