หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1353

ตอนที่ 1353

“สำนักเมฆาม่วง…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าของมั่นถัวหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียดก่อนที่นางจะเหลือบไปที่ด้านนอกห้องโถงพูดว่า “ตาเฒ่าสามคนนั่นเป็นผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงที่มีตำแหน่งสำคัญ เจ้าใจกว้างจริงๆ ที่ปล่อยพวกมันไป”

ถึงยังไงทั้งสามคนก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ถ้าจับพวกเขาไว้ก็จะสามารถข่มขู่สำนักเมฆาม่วงได้

“เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้พวกเขาจะสูญสิ้นศักยภาพ ต่อให้หายพลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มเหี้ยมก่อนจะพูดต่อ “ผนึกที่ข้าทิ้งไว้ไม่สามารถลบออกได้ เว้นแต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเป็นผู้ลบออกให้”

เขาพูดอย่างสบาย แต่คำพูดนี้ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะเทือนด้วยความหวาดผวา วิธีของประมุขพวกเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ผนึกที่เขาทิ้งไว้นั้น ต้องใช้ระดับเทียนจื้อจุนลบออกเชียวเหรอ?

มั่นถัวหลัวก็ประหลาดใจไปเช่นกัน ขณะที่นางมองมู่เฉิน นางไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทรงพลังมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่นางต้องกังวลเกี่ยวกับผีแก่สามตัวนั่น

ต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง กลอุบายเล็กน้อยก็ไม่มีความสำคัญ

“เจ้าก็รู้ว่าภูมิภาคทางเหนือของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ แม้ว่าเราจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเราถือได้อยู่ชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ

มู่เฉินพยักหน้า ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปในมหาพันภพ ทวีปที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้มีน้อยมากกระทั่งในมหาพันภพ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีขั้วอำนาจพอกับดวงดาวบนท้องฟ้า

ในบรรดาขั้วอำนาจเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่ยากแท้หยั่งถึง

“จักรวรรดิเหนือมีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่สามขั้วในตอนนี้ ก็คือสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีดินแดนกว่าเจ็ดส่วนอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา” มั่นถั่วหลัวอธิบาย

“สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…” มู่เฉินพยักหน้า ในอดีตเขาไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อนเนื่องจากภูมิภาคทางเหนือมีแต่ความวุ่นวายและอ่อนแอเกินไป ซึ่งเป็นผลให้ไม่มีขั้วอำนาจระดับสูงใดพยายามจะจับมือกับภูมิภาคทางเหนือ

ตอนนี้ภูมิภาคทางเหนือรวมเป็นหนึ่งเดียวและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัว ทำให้พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ ดังนั้นจึงไปดึงดูดสายตาสำนักเมฆาม่วงเข้าให้

“พลังของสำนักเมฆาม่วงเป็นยังไง?” มู่เฉินถาม สำนักเมฆาม่วงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้อย่างสงบแน่นอนดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

“สำนักเมฆาม่วงมีผู้อาวุโสใหญ่หกคน ทั้งหมดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตาแก่สามคนที่มาก่อนหน้านี้ก็เป็นสามในนั้น”

มู่เฉินพยักหน้า การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหกคนถือว่าทรงพลังแท้จริง แม้แต่แคว้นเซี่ยและตำหนักเทพอสูรที่เขาเคยพบมาก่อนซึ่งมีชื่อเสียงมากในทวีปเทียนหลัวก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกัน

ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินทวีปเทียนหลัวต่ำไปในอดีต

“แน่นอนว่าผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหกไม่ใช่จอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นประมุขสำนักเมฆาม่วงซึ่งอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดมานาน มีข่าวลือว่าเขาเริ่มสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน พลังของเขาน่ากลัวมากจนไม่ใช่สิ่งที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะสามารถต่อกรได้” ขณะที่พูดดวงตาของมั่นถัวหลัวก็อัดแน่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

ในมหาพันภพมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ชะงักการเพาะบ่มพลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้ นั่นเป็นเพราะการบรรลุขั้นตอนนั้นจะทำให้พวกเขาเปิดประตูสู่ระดับเทียนจื้อจุน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสบุกเข้าไปในระดับดังกล่าวในอนาคต

“เขาสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงแปลกประหลาดเมื่อได้ยินก่อนที่จะครุ่นคิด “ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในจักรวรรดิเหนือเรอะ?”

ด้วยประสบการณ์และมุมมองที่กว้างขึ้น เขาพบว่านี่แปลกเกินไป โดยทั่วไปทวีปเทียนหลัวที่เป็นมหาทวีปควรเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจมากมายต้องการจะครอบครอง แล้วเหตุใดทวีปเทียนหลัวจึงยังคงไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไม่น่าจะปล่อยให้ทรัพยากรเหลือเฟือของทวีปทียนหลัวไม่ถูกแตะต้อง

“บางทีในทวีปเทียนหลัวยังอาจไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ให้ความสนใจกับทวีปเทียนหลัวอาจจะอยู่นอกเหนือจินตนาการของเจ้าเลย”

มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจจำนวนมากจับตาดูทวีปเทียนหลัวสินะ…”

ทวีปเทียนหลัวเป็นชิ้นเนื้อติดมันชุ่มฉ่ำ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันภพยังปรารถนา ทว่าก็มีคู่แข่งมากเกินไปสำหรับเนื้อติดมันนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถครอบครองได้ ด้วยวิธีนี้จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลแทนโดยมีขั้วอำนาจคอยตรวจสอบซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ทวีปเทียนหลัวไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที

มั่นถัวหลัวพยักหน้า “เหล่าขั้วอำนาจที่จับตามองทวีปเทียนหลัวต่างร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาที่ทวีปเทียนหลัวนี้ ปล่อยให้แข่งขันกันเองจนกว่าเจ้าเหนือหัวจะปรากฏขึ้น”

“แต่แม้ว่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะเข้ามาในทวีปไม่ได้ แต่ขั้วอำนาจเหล่านั้นก็ยังมีวิธีอื่น นั่นก็คือส่งคนที่มีขุมพลังต่ำกว่านั้นมาสร้างขุมกำลังในทวีปและเสริมกำลังจนกว่าจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัว”

ดวงตาของมู่เฉินหดลง หากเป็นเช่นนั้นขั้วอำนาจชั้นสูงในทวีปเทียนหลัวไม่ถือว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังหรือ?

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่พยักหน้า “ถูกต้อง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองต่างมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังพวกเขา”

“หลายปีที่ผ่านมาขั้วอำนาจทั้งสามพยายามต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ในเดือนหน้าก็จะถึงวันชิงอำนาจตามสนธิสัญญา ผู้แพ้จะต้องถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือ”

“มิน่าพวกเขาถึงก้าวร้าวขนาดนี้” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเมฆาม่วงจะเย่อหยิ่ง ที่แท้พวกเขามีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่นี่เอง

ดูเหมือนว่าเขาประเมินความลึกของทวีปเทียนหลัวต่ำไป ตอนแรกเขายังคิดว่าไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีป ที่ไหนได้คนเหล่านั้นจับตามองทวีปนี้ไว้นานแล้ว ก็เหมือนกับหมากรุก ในอดีตเขาและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวหมากบนกระดานด้วยซ้ำ

ถ้าในกรณีนี้การปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่การมาของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยับยั้งพวกเขาไว้ได้กลายๆ

ทว่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนในทวีปเทียนหลัวไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่ใช่เด็กอ่อนหัด เขาไม่กลัวจอมยุทธ์คนใดที่อยู่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุน ไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดที่ได้สัมผัสกับขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้ว

สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้น ตอนนี้ตัวเขาถือเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองอำนาจใด แต่วังมหาพันภพก็ยอมรับสถานะของเขา

ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นยันต์ป้องกันที่ยอดเยี่ยม หากขั้วอำนาจเหล่านั้นและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยากจะแตะต้องตัวเขาก็ต้องพิจารณาถึงวังมหาพันภพให้ดี

ยิ่งกว่านั้นเขายังมีหินสลักของเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ด้วย

ไม่ว่าจะในแง่ของขุมพลังหรือปัจจัยอื่นๆ ก็ไม่สามารถเอาอดีตมาเทียบได้อีกต่อไป ในอดีตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาสามารถทำได้ในตอนนี้

“ตอนนี้ตำหนักมู่ของเรามีรายได้ต่อปีละเท่าไร?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นขณะที่มองไปที่มั่นถัวหลัว

มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนที่นางจะตอบหลังจากไตร่ตรองสั้นๆ “ปัจจุบันตำหนักมู่มีของเหลวจื้อจุนประมาณสามร้อยล้านหยดต่อปี”

“สามร้อยล้าน…”

มู่เฉินส่ายหน้าเบาๆ เขามีกองทัพมังกรดำซึ่งเป็นตัวสูบขั้นสุดซึ่งต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนแปดร้อยล้านหยดต่อปี

ไม่ต้องพูดถึงวิชาเจดีย์แปดองค์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์ แม้ว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว แต่ก็จำเป็นต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเพื่อเปิดใช้

ดังนั้นตามการคาดการณ์เขาน่าจะต้องใช้ประมาณหนึ่งพันล้านหยดต่อปีเพื่อรักษากองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์

เห็นได้ชัดว่าปริมาณการบริโภคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่ในตอนนี้สามารถรองรับได้

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบเล็กน้อยก่อนที่จะถามอีกครั้ง “แล้วปีหนึ่งสำนักเมฆาม่วงมีรายได้เท่าไร?”

มั่นถัวหลัวหันไปทางเทียนจิ้วที่ปัจจุบันดูแลหน่วยสืบราชการลับของตำหนักมู่อยู่

เทียนจิ้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “รายงานท่านประมุข จำนวนผลกำไรที่สำนักเมฆาม่วงได้รับของเหลวจื้อจุนมีประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยดต่อปี”

“หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยด…”

รอยยิ้มเผล่ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน ต้องขั้วอำนาจระดับนี้ถึงจะสามารถทนต่อการบริโภคของเขาได้ ซ้ำยังช่วยให้ตำหนักมู่ขยายตัวได้อีกด้วย

เมื่อเห็นมู่เฉินยิ้มออกมา มั่นถัวหลัวก็รู้สึกงงงวยก่อนที่จะตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าควรคิดว่าจะจัดการกับสำนักเมฆาม่วงดีกว่า พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องไปอย่างสงบแน่นอน”

“นอกจากนี้เจ้ายังแสดงให้เห็นถึงพลังยอดเยี่ยม ข้ากลัวว่างานนี้ตำหนักมู่ของเราจะตกอยู่ในสายตาของสามยักษ์ใหญ่จักรวรรดิเหนือซะแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าเราจะเผชิญหน้ากับปัญหาอื่นมากขึ้น”

คนอื่นๆ ก็พยักหน้า สำนักเมฆาม่วงเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของจักรวรรดิเหนือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก แม้ตอนนี้จะมีมู่เฉิน แต่พวกเขาก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้

มู่เฉินยิ้ม “ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล…การแย่งชิงอำนาจเพื่อครอบครองจักรวรรดิเหนือจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม?”

มั่นถัวหลัวพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม เสียงดังก้องไปทั่วทั้งโถงทำเอาทุกคนตกตะลึงไป

“งั้นข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ตำหนักมู่ของเราจะเข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัวด้วย!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท