บนท้องฟ้า
ร่างเงาสามร่างยืนอยู่พร้อมกับร่างสีดำและสีขาวที่ดูเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตกใจมากขึ้นก็คือความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินเลย!
“พวกนั้นคือร่างดวงจิตหรือ? ทำไมถึงมีพลังเทียบเท่าร่างหลักได้ล่ะ” มีคนร้องอุทานด้วยความไม่เชื่อ ร่างดวงจิตไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด แต่การมีพลังเฉกเช่นร่างหลักนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน!
ทันใดนั้นใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็แข็งค้างครู่หนึ่ง ก่อนที่ความตกใจจะกะพริบในดวงตา เขารู้สึกถูกคุกคามโดยมู่เฉินที่มาใหม่ด้วย
‘เป็นไปได้ยังไง? ร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังขนาดนี้ได้เหรอ?!’ เจ้าเมฆาม่วงคำรามในใจ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินที่ทรงพลังใกล้เคียงกันสามคนไม่ใช่หรือ?
แค่มู่เฉินคนเดียวก็แทบกระอักเลือดแล้ว ดังนั้นแม้แต่เจ้าเมฆาม่วงยังผวาที่จะต้องเผชิญหน้ากับสามคน
แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจกับความตื่นตระหนกของอีกฝ่าย เขาโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะดูดซับและกลั่นพวกมันเพื่อทดแทนพลังที่เสียไป
ขณะที่เขาเติมพลัง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ก้าวออกมาพร้อมกับธนูเล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่จะปล่อยสายธนูโดยไม่มีการแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
ฮึ่ม ฮึ่ม!
สายธนูดีดออก รังสีสีทองสองสายก็ทะลุผ่านมิติด้วยความคมชัดที่น่ากลัว อึดใจต่อมารังสีทั้งสองก็ปะทะกับเมฆสีม่วงหนาทึบ
ครืน!
จังหวะนั้นเมฆสีม่วงก็สั่นไหวกลิ้งตัวไปมาอย่างรุนแรงพร้อมกับชั้นเมฆสลายไปภายใต้รังสีสีทอง
ก่อนที่เมฆสีม่วงจะสงบลง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ทำการโจมตีระลอกสอง รังสีสองสายกระทบกับเมฆสีม่วง ทำให้ชั้นเมฆเริ่มอ่อนตัวลง
ทุกคนที่เฝ้ามองฉากนี้ ท่าทางก็ดูซับซ้อนขึ้น มู่เฉินได้เปรียบในตอนนี้ ทำให้เจ้าเมฆาม่วงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในการปกป้องของเมฆสีม่วงเท่านั้น
ทว่าการป้องกันก็อ่อนแอลงอย่างช้าๆ หลังจากเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามมู่เฉิน ไม่ว่าเจ้าเมฆาม่วงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการเผชิญหน้าครั้งนี้ การปราบฝ่ายเดียวที่พวกเขาคาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ตรงข้ามมู่เฉินที่น่าจะแพ้กลับทำให้พวกเขาตกใจแทน
มู่เฉินพิสูจน์ด้วยความแข็งแกร่งแล้วว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสามผู้นำจักรวรรดิเหนือ ในกรณีนี้เขามีคุณสมบัติและอำนาจพอที่จะนำตำหนักมู่เข้าเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือได้
ทุกคนมองหน้ากันก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจำนวนผู้นำจักรวรรดิเหนือจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่ที่หลังจากวันนี้…
เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขั้วอำนาจคนอื่นๆ สมาชิกตำหนักมู่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงยินดี สายตาที่มองมู่เฉินเพิ่มความเคารพมากขึ้น พวกเขารู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่มีผู้นำทรงพลังเช่นนี้
“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง” หลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารัวๆ ขณะนี้เกียรติยศของมู่เฉินในใจของทุกคนถึงจุดสูงสุดแล้ว
มั่นถัวหลัวมองทุกคนที่ตื่นเต้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า นางมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน
ตอนที่นางเจอมู่เฉินครั้งแรก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุน แต่ไม่กี่ปีต่อมาเด็กหนุ่มที่อ่อนแอก็ก้าวนำนางไปโดยไม่รู้ตัว
“ดูท่าข้าก็ต้องฝึกหนักแล้ว ไม่งั้นจะโดนเจ้านี่เหวี่ยงกลับมากกว่านี้” มั่นถัวหลัวพึมพำ
ในฐานะที่เป็นคนมั่นใจตัวเองสูง นางไม่ต้องการอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมู่เฉินตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไร้ประโยชน์ในอนาคต นางก็ต้องพยายามฝ่าฟันเส้นทางเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน
ขณะที่ความคิดสั่นไหวในหัวใจของขั้วอำนาจอื่นๆ เมฆสีม่วงก็ค่อยๆ สลายไปภายใต้การโจมตีของสามมู่เฉิน…
มู่เฉินยืนอยู่ระหว่างมู่เฉินชุดดำและชุดขาวพลางมองไปที่ร่างเจ้าเมฆาม่วงที่ค่อยๆ เผยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา
มู่เฉินยกมือขึ้นธนูสีทองก็รวมตัวอีกครั้ง รังสีสีทองพุ่งข้ามมิติก่อนที่จะกระแทกเข้ากับเมฆสีม่วง
ตู้ม!
ยามนี้แสงสีทองบานสะพรั่งทำลายเมฆสีม่วงได้ในที่สุด
ฟิ้ว!
เมื่อเมฆสีม่วงแตกสลาย ร่างเจ้าเมฆาม่วงก็ทะยานออกไป เขาอ้าปากดูดเมฆเข้าไปสถิตในร่างก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดูเหมือนกระดองเต่าของเจ้าจะไม่น่ากลัวอย่างที่อ้างนะ” มู่เฉินยิ้มบาง
หากพูดประโยคนี้ก่อนหน้า มู่เฉินอาจจะดึงดูดการเยาะเย้ย แต่ขณะนี้ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ผู้คนมากมายตัวสั่นสะท้าน
เพราะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเมฆาม่วงจะถูกมู่เฉินบังคับให้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้…
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับคำสั่งให้หยุดตำหนักมู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดลงหลายส่วน ตอนแรกพวกเขายั่วยุอีกฝ่ายเพราะคิดว่าตำหนักมู่ถึงคราวล่มสลายในวันนี้ แต่เมื่อมองตอนนี้พลังของตำหนักมู่เกินความคาดหมายของพวกเขาไปไกล
ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงดูเคร่งขรึม รูม่านตาสีม่วงกะพริบด้วยความโกรธ ทว่าหลังจากได้สัมผัสกับพลังของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรกับชายหนุ่มคนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือหรือยัง?” มู่เฉินจ้องไปที่เจ้าเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบางขณะที่ถาม
เจ้าเมฆาม่วงเค้นเสียง “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของจักรวรรดิเหนือ ข้ากลัวว่าจะไม่มีที่สำหรับผู้นำคนที่สี่ได้!”
ผู้นำทั้งสามแบ่งแยกดินแดนมากกว่าแปดส่วนของจักรวรรดิเหนือไปแล้ว ดังนั้นหากคนที่สี่ปรากฏขึ้น นั่นจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำลายสถานการณ์ปัจจุบันลงอย่างสิ้นเชิง
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเสียดายก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ ธนูสีทองปรากฏขึ้นจากนั้นธนูก็ขึ้นสายโดยไม่ลังเล
ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันมู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ขึ้นสายธนู รังสีสีทองสามสายทะยานออกมาทันทีพร้อมกับความคมกริบที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ปิดทางหนีทั้งหมด
เมื่อลูกศรสีทองแหลมคมสามดอกพุ่งออกมา สีหน้าเจ้าเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ แสงสีม่วงรวมตัวกันอย่างรุนแรงในดวงตา กลายเป็นรังสีสีม่วงพวยพุ่งออกมา
ปัง!
รังสีสีม่วงและสีทองสายหนึ่งปะทะกัน ระเบิดเสียงดังสนั่น ทั้งสองลบล้างกันและกัน
ทว่าอึดใจนี้ลูกศรสีทองอีกสองดอกก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่างเจ้าเมฆาม่วง แต่เมื่อลูกศรสีทองกำลังจะพุ่งทะลุอีกฝ่าย พลังงานไร้ขอบเขตสองสายก็พุ่งลงมาห่อหุ้มลูกศรสีทองไว้
ปัง ปัง!
พลังงานรุนแรงระเบิดออก ลูกศรสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพลังงานสองสาย
ความโกลาหลปั่นป่วนในภูมิภาคนี้อีกครั้ง สายตานับไม่ถ้วนมองไปในทิศทางของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสองกำลังมองมาที่มู่เฉินโดยไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนเป็นคนช่วยเจ้าเมฆาม่วงเอาไว้
“ในที่สุดก็ลงมือแล้วเรอะ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้น ท่าทางไม่ได้แปลกใจมาก
เนื่องจากเขารู้ชัดว่าตนเองสั่นบัลลังก์ผู้นำทั้งสามเข้า หากตำหนักมู่ต้องการขึ้นเป็นหนึ่ง พวกเขามองว่าจักรวรรดิเหนือเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ตอนนี้มีใครบางคนพยายามจะแตะต้อง ทั้งสามคนก็จะมองว่าเขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ
“ประมุขมู่ ในเมื่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าแล้ว ทำไมต้องก้าวล้ำกันด้วย” เจ้าภูเขาเหลยยิงมองไปที่มู่เฉินขณะพูดช้าๆ
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเจ้าสองคนคิดยังไงกับคำถามของข้า?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจกล่าวด้วยความสงสาร “ประมุขมู่สถานการณ์ในจักรวรรดิทางเหนือมั่นคงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งสามของพวกข้ารักษาไว้ ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งเจ้าเหนือหัว ข้ากลัวว่าจะเกิดการนองเลือด”
“ดังนั้นพวกข้าหวังว่าประมุขมู่จะเล็งไปนอกจักรวรรดิเหนือ หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าสามคนจะสนับสนุนเต็มที่”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายเหล่านั้นมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะพูด “ถ้าข้ายืนยันคำพูดเดิมล่ะ?”
เจ้าภูเขาเหลยยิงแลกเปลี่ยนสายตากับเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตำหนักมู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกข้าสามคนจนกว่าจะหยุด”
เขาถอนหายใจพลางส่ายหัว ทว่าดวงตากะพริบอย่างเย็นชาด้วยเจตนาฆ่า พลังของมู่เฉินกระตุ้นความกลัวและเจตนาฆ่าของพวกเขา
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อทำลายผู้ท้าชิงแล้ว…
หากเป็นเช่นนี้ตำหนักมู่ก็คงต้องตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา มากจนสามารถผลักเจ้าเมฆาม่วงไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ตอนนี้ทั้งเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองออกโรงแล้ว ดังนั้นสถานการณ์นี้ก็น่าจะพลิกผัน
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หรี่ตามองไปที่ทั้งสาม ทั่วบริเวณเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัด
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะส่ายหัวมองไปที่ทั้งสามคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
“งั้นก็มาดูกันสิว่าพวกเจ้าสามคนมีความสามารถเพียงพอหรือไม่…”
แม้ว่าน้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่ก็เหมือนเสียงคำรณที่ดังก้องทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว ‘ประมุขตำหนักมู่คิดจะเผชิญหน้ากับผู้นำสามคนด้วยตัวคนเดียวรึ?!’