หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1363

ตอนที่ 1363

บนท้องฟ้า

ร่างเงาสามร่างยืนอยู่พร้อมกับร่างสีดำและสีขาวที่ดูเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตกใจมากขึ้นก็คือความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินเลย!

“พวกนั้นคือร่างดวงจิตหรือ? ทำไมถึงมีพลังเทียบเท่าร่างหลักได้ล่ะ” มีคนร้องอุทานด้วยความไม่เชื่อ ร่างดวงจิตไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด แต่การมีพลังเฉกเช่นร่างหลักนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน!

ทันใดนั้นใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็แข็งค้างครู่หนึ่ง ก่อนที่ความตกใจจะกะพริบในดวงตา เขารู้สึกถูกคุกคามโดยมู่เฉินที่มาใหม่ด้วย

‘เป็นไปได้ยังไง? ร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังขนาดนี้ได้เหรอ?!’ เจ้าเมฆาม่วงคำรามในใจ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินที่ทรงพลังใกล้เคียงกันสามคนไม่ใช่หรือ?

แค่มู่เฉินคนเดียวก็แทบกระอักเลือดแล้ว ดังนั้นแม้แต่เจ้าเมฆาม่วงยังผวาที่จะต้องเผชิญหน้ากับสามคน

แต่มู่เฉินไม่ได้สนใจกับความตื่นตระหนกของอีกฝ่าย เขาโบกแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะดูดซับและกลั่นพวกมันเพื่อทดแทนพลังที่เสียไป

ขณะที่เขาเติมพลัง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ก้าวออกมาพร้อมกับธนูเล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่จะปล่อยสายธนูโดยไม่มีการแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา

ฮึ่ม ฮึ่ม!

สายธนูดีดออก รังสีสีทองสองสายก็ทะลุผ่านมิติด้วยความคมชัดที่น่ากลัว อึดใจต่อมารังสีทั้งสองก็ปะทะกับเมฆสีม่วงหนาทึบ

ครืน!

จังหวะนั้นเมฆสีม่วงก็สั่นไหวกลิ้งตัวไปมาอย่างรุนแรงพร้อมกับชั้นเมฆสลายไปภายใต้รังสีสีทอง

ก่อนที่เมฆสีม่วงจะสงบลง มู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ทำการโจมตีระลอกสอง รังสีสองสายกระทบกับเมฆสีม่วง ทำให้ชั้นเมฆเริ่มอ่อนตัวลง

ทุกคนที่เฝ้ามองฉากนี้ ท่าทางก็ดูซับซ้อนขึ้น มู่เฉินได้เปรียบในตอนนี้ ทำให้เจ้าเมฆาม่วงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในการปกป้องของเมฆสีม่วงเท่านั้น

ทว่าการป้องกันก็อ่อนแอลงอย่างช้าๆ หลังจากเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามมู่เฉิน ไม่ว่าเจ้าเมฆาม่วงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป

ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการเผชิญหน้าครั้งนี้ การปราบฝ่ายเดียวที่พวกเขาคาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ตรงข้ามมู่เฉินที่น่าจะแพ้กลับทำให้พวกเขาตกใจแทน

มู่เฉินพิสูจน์ด้วยความแข็งแกร่งแล้วว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสามผู้นำจักรวรรดิเหนือ ในกรณีนี้เขามีคุณสมบัติและอำนาจพอที่จะนำตำหนักมู่เข้าเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือได้

ทุกคนมองหน้ากันก็ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจำนวนผู้นำจักรวรรดิเหนือจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่ที่หลังจากวันนี้…

เมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขั้วอำนาจคนอื่นๆ สมาชิกตำหนักมู่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงยินดี สายตาที่มองมู่เฉินเพิ่มความเคารพมากขึ้น พวกเขารู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่มีผู้นำทรงพลังเช่นนี้

“ประมุขน่าเกรงขามอย่างแท้จริง” หลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารัวๆ ขณะนี้เกียรติยศของมู่เฉินในใจของทุกคนถึงจุดสูงสุดแล้ว

มั่นถัวหลัวมองทุกคนที่ตื่นเต้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า นางมองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน

ตอนที่นางเจอมู่เฉินครั้งแรก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุน แต่ไม่กี่ปีต่อมาเด็กหนุ่มที่อ่อนแอก็ก้าวนำนางไปโดยไม่รู้ตัว

“ดูท่าข้าก็ต้องฝึกหนักแล้ว ไม่งั้นจะโดนเจ้านี่เหวี่ยงกลับมากกว่านี้” มั่นถัวหลัวพึมพำ

ในฐานะที่เป็นคนมั่นใจตัวเองสูง นางไม่ต้องการอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมู่เฉินตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไร้ประโยชน์ในอนาคต นางก็ต้องพยายามฝ่าฟันเส้นทางเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน

ขณะที่ความคิดสั่นไหวในหัวใจของขั้วอำนาจอื่นๆ เมฆสีม่วงก็ค่อยๆ สลายไปภายใต้การโจมตีของสามมู่เฉิน…

มู่เฉินยืนอยู่ระหว่างมู่เฉินชุดดำและชุดขาวพลางมองไปที่ร่างเจ้าเมฆาม่วงที่ค่อยๆ เผยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา

มู่เฉินยกมือขึ้นธนูสีทองก็รวมตัวอีกครั้ง รังสีสีทองพุ่งข้ามมิติก่อนที่จะกระแทกเข้ากับเมฆสีม่วง

ตู้ม!

ยามนี้แสงสีทองบานสะพรั่งทำลายเมฆสีม่วงได้ในที่สุด

ฟิ้ว!

เมื่อเมฆสีม่วงแตกสลาย ร่างเจ้าเมฆาม่วงก็ทะยานออกไป เขาอ้าปากดูดเมฆเข้าไปสถิตในร่างก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ดูเหมือนกระดองเต่าของเจ้าจะไม่น่ากลัวอย่างที่อ้างนะ” มู่เฉินยิ้มบาง

หากพูดประโยคนี้ก่อนหน้า มู่เฉินอาจจะดึงดูดการเยาะเย้ย แต่ขณะนี้ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ผู้คนมากมายตัวสั่นสะท้าน

เพราะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเมฆาม่วงจะถูกมู่เฉินบังคับให้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้…

โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับคำสั่งให้หยุดตำหนักมู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดลงหลายส่วน ตอนแรกพวกเขายั่วยุอีกฝ่ายเพราะคิดว่าตำหนักมู่ถึงคราวล่มสลายในวันนี้ แต่เมื่อมองตอนนี้พลังของตำหนักมู่เกินความคาดหมายของพวกเขาไปไกล

ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงดูเคร่งขรึม รูม่านตาสีม่วงกะพริบด้วยความโกรธ ทว่าหลังจากได้สัมผัสกับพลังของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรกับชายหนุ่มคนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว

“ตอนนี้เจ้าคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือหรือยัง?” มู่เฉินจ้องไปที่เจ้าเมฆาม่วงด้วยรอยยิ้มบางขณะที่ถาม

เจ้าเมฆาม่วงเค้นเสียง “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของจักรวรรดิเหนือ ข้ากลัวว่าจะไม่มีที่สำหรับผู้นำคนที่สี่ได้!”

ผู้นำทั้งสามแบ่งแยกดินแดนมากกว่าแปดส่วนของจักรวรรดิเหนือไปแล้ว ดังนั้นหากคนที่สี่ปรากฏขึ้น นั่นจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำลายสถานการณ์ปัจจุบันลงอย่างสิ้นเชิง

“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”

มู่เฉินส่ายหัวด้วยความเสียดายก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ ธนูสีทองปรากฏขึ้นจากนั้นธนูก็ขึ้นสายโดยไม่ลังเล

ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!

ในเวลาเดียวกันมู่เฉินชุดขาวและชุดดำก็ขึ้นสายธนู รังสีสีทองสามสายทะยานออกมาทันทีพร้อมกับความคมกริบที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็งไปที่เจ้าเมฆาม่วง ปิดทางหนีทั้งหมด

เมื่อลูกศรสีทองแหลมคมสามดอกพุ่งออกมา สีหน้าเจ้าเมฆาม่วงก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ แสงสีม่วงรวมตัวกันอย่างรุนแรงในดวงตา กลายเป็นรังสีสีม่วงพวยพุ่งออกมา

ปัง!

รังสีสีม่วงและสีทองสายหนึ่งปะทะกัน ระเบิดเสียงดังสนั่น ทั้งสองลบล้างกันและกัน

ทว่าอึดใจนี้ลูกศรสีทองอีกสองดอกก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่างเจ้าเมฆาม่วง แต่เมื่อลูกศรสีทองกำลังจะพุ่งทะลุอีกฝ่าย พลังงานไร้ขอบเขตสองสายก็พุ่งลงมาห่อหุ้มลูกศรสีทองไว้

ปัง ปัง!

พลังงานรุนแรงระเบิดออก ลูกศรสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับพลังงานสองสาย

ความโกลาหลปั่นป่วนในภูมิภาคนี้อีกครั้ง สายตานับไม่ถ้วนมองไปในทิศทางของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสองกำลังมองมาที่มู่เฉินโดยไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนเป็นคนช่วยเจ้าเมฆาม่วงเอาไว้

“ในที่สุดก็ลงมือแล้วเรอะ?” คิ้วของมู่เฉินยกขึ้น ท่าทางไม่ได้แปลกใจมาก

เนื่องจากเขารู้ชัดว่าตนเองสั่นบัลลังก์ผู้นำทั้งสามเข้า หากตำหนักมู่ต้องการขึ้นเป็นหนึ่ง พวกเขามองว่าจักรวรรดิเหนือเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ตอนนี้มีใครบางคนพยายามจะแตะต้อง ทั้งสามคนก็จะมองว่าเขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ

“ประมุขมู่ ในเมื่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าแล้ว ทำไมต้องก้าวล้ำกันด้วย” เจ้าภูเขาเหลยยิงมองไปที่มู่เฉินขณะพูดช้าๆ

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเจ้าสองคนคิดยังไงกับคำถามของข้า?”

เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจกล่าวด้วยความสงสาร “ประมุขมู่สถานการณ์ในจักรวรรดิทางเหนือมั่นคงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจทั้งสามของพวกข้ารักษาไว้ ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งเจ้าเหนือหัว ข้ากลัวว่าจะเกิดการนองเลือด”

“ดังนั้นพวกข้าหวังว่าประมุขมู่จะเล็งไปนอกจักรวรรดิเหนือ หากเป็นเช่นนั้นพวกข้าสามคนจะสนับสนุนเต็มที่”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายเหล่านั้นมู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะพูด “ถ้าข้ายืนยันคำพูดเดิมล่ะ?”

เจ้าภูเขาเหลยยิงแลกเปลี่ยนสายตากับเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตำหนักมู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกข้าสามคนจนกว่าจะหยุด”

เขาถอนหายใจพลางส่ายหัว ทว่าดวงตากะพริบอย่างเย็นชาด้วยเจตนาฆ่า พลังของมู่เฉินกระตุ้นความกลัวและเจตนาฆ่าของพวกเขา

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่อทำลายผู้ท้าชิงแล้ว…

หากเป็นเช่นนี้ตำหนักมู่ก็คงต้องตกอยู่ในอันตราย

แม้ว่ามู่เฉินจะแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา มากจนสามารถผลักเจ้าเมฆาม่วงไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ตอนนี้ทั้งเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองออกโรงแล้ว ดังนั้นสถานการณ์นี้ก็น่าจะพลิกผัน

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็หรี่ตามองไปที่ทั้งสาม ทั่วบริเวณเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัด

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะส่ายหัวมองไปที่ทั้งสามคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

“งั้นก็มาดูกันสิว่าพวกเจ้าสามคนมีความสามารถเพียงพอหรือไม่…”

แม้ว่าน้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่ก็เหมือนเสียงคำรณที่ดังก้องทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว ‘ประมุขตำหนักมู่คิดจะเผชิญหน้ากับผู้นำสามคนด้วยตัวคนเดียวรึ?!’

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท